ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 201 การเปลี่ยนแปลงของเฝิงเหล่าฮูหยิน
พอเจินเหิงพูดจบ เขาเขินอายมากจนไม่กล้าเผชิญหน้ากับสายตาหยอกล้อของพ่อ จึงวิ่งกลับห้องหนังสือทันที หน้าต่างในห้องหนังสือสว่างและสะอาด ในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจาง ๆ ของหมึก เสียงจิ๊บๆ อันไพเราะของนกน้อยที่เกาะอยู่บนกิ่งด้านนอกหน้าต่าง ได้เพิ่มความคึกคักให้กับความเงียบไม่น้อย
ความจริงเจินเหิงไม่ใช่คนวู่วามใจร้อน ต่อหน้าคนนอก เขาทำตัวเป็นคนนิ่งแต่ไหนแต่ไร มิฉะนั้นก็คงไม่ได้ฉายานามว่าคุณชายหรูอวี้[1]
ครั้งนี้เขาใจร้อนมากเกินไปจริงๆ แต่หลังจากที่ใจร้อน เขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกหงุดหงิดใจ แต่ในใจยังเต้นตึกตักไม่หยุด เขาแทบจะฮัมเป็นเพลงตามเสียงร้องของนกน้อยด้านนอกหน้าต่าง เขารู้สึกเพียงแสงแดดนั้นเจิดจ้า ทิวทัศน์นั้นดีงามอย่างไร้จุดสิ้นสุด
เจินเหิงเดินมาถึงด้านหน้าโต๊ะ พลางหยิบภาพวาดจากช่องลับออกมาแล้วเปิดมันออกอย่างช้าๆ เขามองดูหญิงสาวผมดำผิวขาวที่อยู่ในภาพวาดไปมา มองไปมองมาก็อดยิ้มไม่ได้
เขากับนางคงเป็นพรหมลิขิตที่ฟ้าได้ลิขิตเอาไว้ ถึงได้บังเอิญเช่นนี้
ตอนกินข้าวเย็น เจินฮูหยินอดไม่ได้จึงถามเจินซื่อเฉิง “ทำไมวันนี้ข้ารู้สึกว่าเหิงเอ๋อร์เดินไปใจลอยไป ไม่ร่าเริงเหมือนเมื่อก่อนเลยเจ้าคะ”
เจินซื่อเฉิงหรี่ตายิ้มพลางจับนวดเครา “ชายหนุ่มอายุน้อย ร่าเริงมากเกินไปไม่ดี”
เจินฮูหยินเป็นสตรีฉลาด พอฟังออกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่าง นางเหล่ตามองเจินซื่อเฉิงและกล่าว “หมายความว่าอย่างไร สองพ่อลูกมีเรื่องปิดบังข้าใช่หรือไม่”
เจินซื่อเฉิงสั่งสาวรับใช้ที่อยู่คอยรับใช้ข้างๆ ให้ออกไป แล้วถึงตอบ “ข้ามองหญิงสาวไว้คนหนึ่ง…”
“ว่าอย่างไรนะ” เจินซื่อเฉิงยังพูดไม่ทันจบ เจินฮูหยินก็ยื่นมือไปหยิกหู “มองหญิงสาวไว้คนหนึ่ง? เหอะๆ ทำไมข้าถึงไม่รู้เลยว่าท่านอายุปูนนี้แล้วยังคิดถึงเรื่องพรรค์นี้อยู่อีก ข้าว่าท่านไม่อยากได้หนวดเครานี้แล้วใช่หรือไม่ ไว้ข้าจุดเทียนแล้วเผาให้เกลี้ยงดีไหม”
เจินซื่อเฉิงเจ็บถึงขั้นต้องหายใจเข้าลึกๆ “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ เจ้าฟังข้าพูดให้จบก่อน เป็นสามีภรรยากันมานานขนาดนี้แล้ว ไม่มีความเชื่อใจกันสักนิดเลยรึ”
เจินฮูหยินคลายมือพร้อมกับทำหน้ามุ่ย
เจินซื่อเฉิงนวดหู “ข้าหมายความว่า ข้าพบสาวน้อยคนหนึ่งไม่เลว อยากรับมาเป็นลูกสะใภ้และให้แต่งงานกับเหิงเอ๋อร์”
“ค่อยยังชั่วหน่อย” เจินฮูหยินโล่งอก หลังจากสงบนางครุ่นคิดได้ครู่หนึ่ง พลันโมโหขึ้นอีกครั้ง “วันนี้เหิงเอ๋อร์ทำตัวแปลกมาก หรือว่าท่านบอกเขาแล้ว”
“หา?” เจินซื่อเฉิงแกล้งโง่ เขาไม่กล้าพูดออกไปว่าเคยบอกแล้วหลายครั้ง
เจินฮูหยินยกมือขึ้นจิ้มเจินซื่อเฉิงหนึ่งที “ท่านนี่เก่งจริงนะ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไม่คิดปรึกษากับข้าสักนิด? แล้วแม่สาวคนนั้นเป็นคนที่ไหน นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ฐานะทางบ้านล่ะเป็นอย่างไร มีเรื่องมากมายที่ต้องรู้อย่างละเอียดนะเจ้าคะ นี่ท่านบอกกล่าวกับเหิงเอ๋อร์ไปอย่างง่ายๆ เช่นนี้หรือเจ้าคะ เดี๋ยวนะ…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เจินฮูหยินพลันสงบใจลง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกระตือรือล้น “เหิงเอ๋อร์เป็นคนแบบไหนข้านั้นรู้ดี กับคำพูดง่ายๆ ของท่านไม่กี่ประโยค เขาไม่มีทางยินดีเป็นแน่ อย่าบอกนะว่า…”
เมื่อเห็นว่าปิดบังต่อไม่ไหว เจินซื่อเฉิงจึงยอมรับ “วันนี้ข้าพาเหิงเอ๋อร์ไปพบนางมาแล้วล่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ!” เจินฮูหยินพลันโกรธจนหน้าดำไปหมด “เจินซื่อเฉิง!”
เจินซื่อเฉิงมองไปด้านนอกแล้วหันกลับมาร้องขอ “เบาเสียงหน่อยสิ เดี๋ยวพวกบ่าวรับใช้ได้ยินเข้าไม่ดี”
เจินฮูหยินหัวเราะเย็นชา “ได้ยินแล้วอย่างไรเล่า พวกนางไม่ใช่ไม่เคยเห็นท่านคุกเข่าที่ไม้กระดานซักผ้าเสียหน่อย”
เจินซื่อเฉิง “…”
“นี่ท่านพาเหิงเอ๋อร์ไปพบสตรีแบบไม่อินังขังขอบอย่างนั้นรึ จะว่าไป ให้บุตรสาวของตัวเองมาพบเหิงเอ๋อร์ง่ายๆ เช่นนี้ ครอบครัวนี้ก็ดูทำไม่เหมาะสมเท่าไหร่นะเจ้าคะ…”
“ไม่ใช่ ข้าให้เหิงเอ๋อร์ปลอมเป็นเด็กรับใช้น่ะ” เจินซื่อเฉิงเสี่ยงตายอธิบายออกไปหนึ่งประโยค
เจินฮูหยินโกรธจนพูดไม่ออก
“ในเมื่อฮูหยินคิดว่าทำไม่เหมาะสม ถ้าเช่นนั้นก็ช่างเถอะ หลังจากนี้หากมีที่เหมาะสมกว่าแล้วค่อยว่ากัน อย่างไรก็ตาม เหิงเอ๋อร์ก็ดูเหมือนไม่รีบตบแต่งภรรยาสักเท่าไหร่” เจินซื่อเฉิงกล่าวด้วยการถอยออกมาก่อนเพื่อเดินหน้าใหม่
เจินฮูหยินฟังแล้วโมโหขึ้นอีก “งานแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่จะตามใจเหิงเอ๋อร์ได้อย่างไรเจ้าคะ ลูกบอกไม่รีบก็ไม่ต้องรีบงั้นหรือ โตป่านนี้แล้ว วันๆ นอกจากอ่านหนังสือก็ไปเที่ยวเล่น ทำตัวเหลวไหล”
พอพูดถึงท่าทีของบุตรชายเรื่องแต่งภรรยา เจินฮูหยินถึงกับรู้สึกไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ
นางกลัวบุตรชายจะช้าไปจนอายุยี่สิบกว่าถึงจะยอมแต่งงาน ในเมื่อสองพ่อลูกต่างก็ชอบในสตรีคนนั้น บางทีนางอาจจะไม่เลวก็ได้
“นางเป็นบุตรของใครหรือเจ้าคะ”
เจินซื่อเฉิงได้ยินก็รู้ทันทีว่าภรรยาเริ่มคิดตาม จึงทำการบอกเล่าเรื่องราวของเจียงซื่อออกมาทั้งหมด เจินฮูหยินฟังเสร็จขมวดคิ้ว “ตอนที่ข้าสังสรรค์กับบรรดาฮูหยินต่างๆ ก็เคยได้ยินพวกนางเอ่ยถึงแม่หนูคนนี้อยู่บ้าง”
ชื่อเสียงคล้ายว่าไม่ดีเท่าไหร่นัก
เคยยกเลิกงานสมรสมาก่อน แล้วยังไม่มีมารดาอบรมสั่งสอนตั้งแต่เด็ก ส่วนเรื่องตำแหน่งของจวนตงผิงปั๋วที่กำลังจะสิ้นสุดในรุ่นที่สามนั้นนางไม่ได้สนใจมากนัก
เดิมทีตระกูลเจินก็เป็นเพียงตระกูลทั่วไป ตระกูลของนางเป็นเพื่อนบ้านกับตระกูลเจิน ทั้งสองคนเติบโตมาด้วยกัน หลังจากนั้นเจินซื่อเฉิงเข้าร่วมการสอบจนได้เข้าสู่เส้นทางของการเป็นขุนนาง ด้วยความสามารถที่โดดเด่นกว่าใครทำให้เขาเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น ตระกูลเจินถึงได้เข้าไปอยู่ในแวดวงที่เป็นอยู่ได้
เจินซื่อเฉิงหัวเราะอย่างไม่เห็นด้วย หลังจากฟังความกังวลของเจินฮูหยินเสร็จ “ความคิดของสตรี สนใจเพียงแต่สิ่งไม่สำคัญ”
เจินฮูหยินฟังแล้วโมโหขึ้นมา “เหตุใดถึงกลายเป็นความคิดสตรีไปเล่า ตระกูลไหนรับลูกสะใภ้ไม่คิดคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้บ้าง”
เจินซื่อเฉิงกว่าจะได้ปฏิบัติกับภรรยาอย่างจริงจังสักครั้ง “เหม่ยเหนียง สตรีอย่างคุณหนูเจียงนั้น…หากว่าครอบครัวเราเกิดอะไรขึ้นมา นางจะเป็นคนที่สามารถก้าวออกมาและประคับประคองเอาไว้”
ครอบครัวของพวกเขาไม่ใช่ครอบครัวใหญ่ที่มีประวัติการสืบทอดร้อยๆ ปี กล่าวได้ว่าตำแหน่งที่ได้มาปัจจุบันเป็นเพราะเขาคนเดียว ในสายตาของเขา ลูกสะใภ้ที่สามารถก้าวออกมาและรับมือกับมันได้ มีความสำคัญมากกว่าการได้ลูกสะใภ้ที่เชื่อฟัง
เจินฮูหยินฟังแล้วเงียบไปครู่ใหญ่ นับว่าคงเห็นด้วยในคำพูดของเจินซื่อเฉิงแล้ว “ถ้าเป็นเช่นนั้น ไว้ข้าหาโอกาสไปพบคุณหนูเจียงสักหน่อยแล้วกันเจ้าค่ะ”
……
จดหมายขอเข้าพบของเจินซื่อเฉิงทำให้เจียงซื่อถูกเรียกไปเรือนฉือซิน
“ท่านย่าต้องการพบหลานด้วยเรื่องใดหรือเจ้าคะ” เจียงซื่อน้อมทักทายเฝิงเหล่าฮูหยินและเอ่ยถาม
เฝิงเหล่าฮูหยินมองเจียงซื่ออย่างละเอียด เมื่อเห็นสีหน้าที่นิ่งเรียบ คงยากที่จะสืบรู้เรื่องราวแล้ว ในใจพลันเกิดความรู้สึกผิดหวัง หรือว่าที่ผ่านมา นางมองผิดไป หลานสาวคนนี้ไม่ใช่คนกระโตกกระตาก แท้จริงแล้วเป็นคนมีกลอุบาย ถึงขนาดที่ว่าได้รับความสนใจจากผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครได้
ครอบครัวที่มีความดีความชอบกับครอบครัวที่ร่ำรวยนั้นแตกต่างกัน บางครอบครัวมีตระกูลสูงส่งและมีอิทธิพลพิเศษในราชสำนัก ครอบครัวเช่นนี้ย่อมมีแต่คนต้องการเข้าหา แต่อย่างจวนตงผิงปั๋วที่อยู่ไกลจากศูนย์กลางของราชสำนัก และคอยรับเงินตามเวลาที่กำหนด ย่อมไม่อาจเทียบได้กับขุนนางที่มีอำนาจจริงๆ
นี่คือเหตุผลสำคัญที่เหตุใดเฝิงเหล่าฮูหยินจวนตงผิงปั๋วถึงให้ความสำคัญกับเรือนรองมากกว่า นายท่านรองเจียงเป็นขุนนางระดับสี่ ตำแหน่งเส้าชิงแห่งศูนย์พิทักษ์อาชา เวลาเกิดปัญหาขึ้นเขามีบทบาทมากกว่าบุตรคนโต
เฝิงเหล่าฮูหยินให้ความสำคัญกับเรือนรองมาแต่ไหนแต่ไร แต่หลังจากเจียงเชี่ยนกลับบ้านฝ่ายมารดาด้วยสภาพลำบาก ความคิดนี้ก็เริ่มเปลี่ยนไป วันนี้เจียงซื่อไม่ใช่คนกระโตกกระตากแต่ได้รับความสนใจจากขุนนางระดับสาม แล้วพอนึกถึงเมื่อไม่นานมานี้ที่ซื่อจื่อแห่งหย่งชังปั๋วมาส่งด้วยตนเองอีก ท่าทีของนางที่มีต่อเจียงซื่อก็พลันเปลี่ยนไปทันทีทันใด
เมื่อเจียงซื่อถามเช่นนี้ เฝิงเหล่าฮูหยินจึงยิ้มอย่างเอ็นดูให้ “ไม่มีอะไร ย่าเพียงนึกขึ้นได้ว่าใกล้ถึงวันเกิดของท่านยายเจ้าแล้ว เดี๋ยวให้พ่อบ้านซื้อผ้าดิบกลับมา เจ้าไปเลือกผ้าที่เจ้าชอบสักผืนสองผืนไปตัดเสื้อผ้านะ แล้วก็ เครื่องประดับก็ควรทำชุดใหม่แล้ว ถ้าเจ้าไม่มีธุระใดก็ไปเที่ยวที่ร้านเจินเป่า ชอบอันไหนก็ซื้อซะ ค่าใช้จ่ายจดไว้เป็นของจวนปั๋วแล้วกัน”
“ขอบคุณท่านย่ามากเจ้าค่ะ”
เมื่อนึกถึงวันเกิดของท่านยาย เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะรอคอยวันนั้นให้มาถึง
นางจะได้เจอหน้าพี่ใหญ่แล้ว!
—————–
[1]หรูอวี้ หมายถึง ดุจหยกอันล้ำค่า เป็นการเปรียบบุรุษว่าประพฤติตนได้อย่างสำรวม