ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 204 เจียงอี
เจียงอีอายุยี่สิบพอดี นางเป็นคนงดงามสวยสง่า ใบหน้านวลขาวที่แปะไว้ด้วยรอยยิ้ม ชวนให้รู้สึกมีความอ่อนหวานน่าสนิทสนมด้วย
เจียงซื่อมองเจียงอีไม่ละสายตา
จะว่าไป นางกับพี่ใหญ่ไม่ได้เจอกันนานหลายเดือน แต่ความจริงก็อยู่ห่างกันมาแล้วหลายปี
ฤดูหนาวนี้แหละ ที่พี่ใหญ่มีชู้จนถูกปลดตำแหน่ง พอกลับมาถึงจวนตงผิงปั๋วไม่นาน นางก็ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอกับเสา
เจียงซื่อมองเจียงอีอย่างตั้งใจ
ตอนนี้สองแก้มของเจียงอีดูอิ่มเอิบ ดวงตาดูผ่อนคลาย เห็นแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจพอสมควร ไม่เหมือนกับครั้งสุดท้ายที่ได้พบกับพี่ใหญ่เมื่อชาติที่แล้ว กับความซูบผอมอ่อนแอ ราวกับคนที่ทำขึ้นจากกระดาษบางๆ ยามถูกลมพัดก็อาจปลิวหายไปและหาไม่เจออีก
เจียงอีเดินมาหาและจับมือเจียงซื่อเอาไว้ นางยิ้มและกล่าว “ไม่เจอกันนานหลายเดือน หรือว่าจำพี่ไม่ได้เสียแล้ว”
พอพูดถึงตรงนี้ เจียงอีพลันเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา
น้องสี่เป็นคนเหย่อหยิ่ง เดิมทีก็ไม่ค่อยสนิทสนมกับนางอยู่แล้ว แล้วยิ่งตอนที่น้องสี่ยกเลิกงานแต่งงานกับจวนอันกั๋วกง นางกำลังถูกแม่สามีกดดันจนไม่ได้กลับบ้านฝ่ายมารดาและไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนน้องสี่ หากตอนนี้น้องสี่จะรู้สึกโกรธ มันก็สมควรแล้วล่ะ
ท้ายที่สุดแล้ว นางก็เป็นพี่สาวที่ไม่ได้เรื่องคนหนึ่ง
เจียงซื่อบีบมือเจียงอีแน่นพร้อมกับเอ่ยเสียงหวาน “ข้าคิดถึงพี่ใหญ่นัก”
พอเจียงอีได้ยิน ดวงตาก็แดงก่ำ
น้องสี่ไม่เพียงแต่ไม่ถือโทษนาง แต่ยังพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสนิทสนม น้องโตขึ้นแล้วจริงๆ
เสียงแผ่วเบาพลันดังขึ้น “พี่อี น้องซื่อ พวกเจ้าทำเช่นนี้ จะให้ข้าอิจฉาให้จงได้เลยใช่หรือไม่”
เจียงซื่อยิ้มให้กับหญิงสาวที่เดินมาและกล่าว “น้องซวงชอบล้อเล่นกับพวกเราอยู่เรื่อยเลย”
เจียงซื่อทักทายหญิงสาว “พี่ซวง”
หญิงสาวมีนามว่าซูชิงซวง เป็นบุตรสาวของท่านลุงของเจียงซื่อ
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินมีบุตรอยู่สองคน เรือนของบุตรคนโตนั้นคึกคักมาก มีหลานชายที่เกิดจากภรรยาเอกสองคน หลานสาวที่เกิดจากภรรยาเอกหนึ่งคน แล้วยังมีหลานสาวที่เกิดจากอนุภรรยาอีกสองคน เรือนบุตรคนรองนั้นคึกคักน้อยกว่ามาก จนถึงตอนนี้มีเพียงบุตรอายุเพียงห้าขวบคนเดียว
แม้ว่าซูชิงซวงจะเป็นบุตรสาวของภรรยาเอกของจวนอี๋หนิงโหวเพียงคนเดียว แต่นางมีนิสัยใจคอที่ดีมาก ไม่ว่าจะเป็นเจียงอีหรือเจียงซื่อ นางก็ปฏิบัติต่อทั้งสองคนด้วยความสนิทสนมอย่างสม่ำเสมอ กับน้องสาวที่เกิดจากอนุภรรยาแม้ว่าจะเย็นชาไปบ้าง แต่ต่อหน้าก็ยังคงคงไว้ด้วยความปรองดองเสมอมา
ชาติที่แล้ว คนที่ทำให้เจียงซื่ออิจฉามากที่สุดก็คือลูกพี่ลูกน้องคนนี้
ซูชิงซวงยิ้มให้กับเจียงซื่อและกล่าวอย่างไม่พอใจ “ก่อนหน้านี้ข้าได้ส่งคำเชิญไปให้น้องสี่มาเที่ยวหา แต่เจ้าไม่สนใจข้าอีกแล้ว”
หลังจากเจียงซื่อยกเลิกงานแต่งงานกับจวนอันกั๋วกงไม่นาน ซูชิงซวงได้ส่งคำเชิญชวนให้นางมาเที่ยวที่จวนโหว นับว่าเป็นการแสดงท่าทีว่านางอยู่เคียงข้างเจียงซื่อ
ตอนนั้นเจียงซื่อไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเหล่านี้ได้ และด้วยความที่แม่ของนางด่วนจากไปเร็ว ซูชิงซวงจึงไม่กล้าไปหานางที่จวนปั๋ว จะว่าไปแล้ว ก็ไม่ได้พบหน้าลูกพี่ลูกน้องด้วยกันมาพักใหญ่แล้วเหมือนกัน
“ตอนนั้นข้าคิดไม่ตก รู้สึกอับอายผู้คน” เจียงซื่อหาข้ออ้างโดยไม่คิด
ซูชิงซวงกะพริบตา “แล้วตอนนี้ล่ะ ข้าว่าสีหน้าของน้องสี่ดีขึ้นกว่าเมื่อตอนต้นปีที่เราได้พบกันอีก”
เจียงซื่อยิ้มเบาๆ “ตอนนี้ข้าคิดได้แล้วเจ้าค่ะ ไม่ควรไปคิดมากกับคนที่ไม่คู่ควร เอาเวลานั่งจมปลักกับความทุกข์ มิสู้เอาเวลาไปสนิทสนมกับพี่ๆ ยังจะดีเสียกว่า”
ซูชิงซวงปรบมือ “น้องซื่อคิดถูกแล้วล่ะ”
หญิงสาวใส่ชุดสีชมพูที่นั่งอยู่ตรงมุมๆ หนึ่งขยับตัวเข้าไปใกล้สาวน้อยที่ใส่ชุดสีเขียวด้านข้างและพูดข้างหู “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ พี่ซื่อของพวกเราคนนี้ไม่เหย่อหยิ่งเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ทั้งยังพูดคำพูดสวยหรูเป็นอีกด้วย”
สาวน้อยชุดสีเขียวเบ้ปาก “มันน่าแปลกตรงไหนรึ นางชอบอวดสวย รักษาท่าทีสง่างามตั้งแต่เด็ก หลังจากนั้นยังได้คู่สมรสที่ดีจากจวนอันกั๋วกง จิตใจจะไม่สูงเสียดฟ้าอีกรึ ตอนนี้นางตกจากฟ้าลงมาแล้ว ก็ควรจะรู้สึกตัวบ้างแล้วล่ะ”
สาวน้อยชุดสีชมพูมีนามว่าซูชิงเสวี่ย สาวน้อยชุดสีเขียวมีนามว่าซูชิงอวี่ ซึ่งเป็นบุตรสาวสองคนของอนุภรรยาของเรือนเอก
ทั้งสองคนปกปิดอาการความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอย่างระมัดระวัง แต่เผยสีหน้าออกมาจนได้
เจียงซื่อไม่อยากแม้แต่จะมอง การดูถูกเหยียดย่ำคนอื่นเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทำเป็น ในเมื่อนางกล้ามาที่นี่ ก็แปลว่าได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้แล้ว
วันนี้จวนอี๋หนิงโหวคึกคักมาก ไม่ว่าคนที่มีมิตรภาพลึกซึ้งหรือตื้นเขินต่างก็เดินทางมาหรือไม่ก็ส่งพ่อบ้านมามอบของขวัญ สำหรับแขกที่ไม่สนิทสนมกันมากนักถูกจัดให้ร่วมรับประทานอาหารอยู่ด้านส่วนหน้า ส่วนคนที่ได้อวยพรอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินต่อหน้ายังคงเป็นบรรดาญาติที่สนิทจริงๆ
เจียงซื่อเดินตามผู้คนมาถึงห้องโถงและอวยพรให้กับอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องโถงคึกคักเป็นอย่างมาก อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินนั่งอยู่ด้านบนและรายล้อมไปด้วยผู้คน ทับทิมสีแดงเม็ดใหญ่ตรงแถบคาดศีรษะงดงามตระการตา ทำให้เหล่าไท่ไท่ดูกระปรี้กระเปร่าและยินดีปรีดา
เจียงซื่อกวาดสายตามองคนในห้องโถงอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ จากนั้นนางเดินตามหลังเจียงอีเพื่ออวยพรให้กับอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยิน นางเป็นเพียงคนรุ่นหลัง ที่ไม่มีบทบาทสำคัญในโอกาสอย่างเช่นวันนี้ แต่ตอนที่นางยืนขึ้นเพื่ออวยพร ภายในห้องโถงกลับเงียบลงทันทีทันใด สายตาแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนพลางตกมาอยู่ที่นาง
เจียงอีสงสารน้องสาวที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ พลางขมวดคิ้วอย่างรุนแรง
เจียงซื่อกลับไม่รู้สึกอะไร นางอวยพรให้กับอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินอย่างใจเย็น
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินมองหลานสาวที่ไม่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ยิ้มอย่างเอ็นดูและเอ่ยปลอบหลายคำ
ซูชิงเสวี่ยพูดข้างหูซูชิงอวี่อีกครั้ง “เจ้าดูความลำเอียงของท่านยายสิ เจียงซื่อและจวนตงผิงปั๋วสร้างความขายหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านยายกลับไม่สนใจเลยสักนิด”
ซูชิงอวี่กวาดสายตาไปยังเจียงซื่อที่ถอยมายืนอยู่ข้างๆ เจียงอี พร้อมกับเอ่ยอย่างดูถูก “หน้าที่ขายออกไปไม่ใช่หน้าของจวนอี๋หนิงโหวเสียหน่อย ท่านยายจะสนใจทำไมเล่า”
ซูชิงเสวี่ยหลุดขำ “ฮิฮิ ก็ใช่”
งานเลี้ยงเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในที่สุด เจียงซื่อก็มีโอกาสได้คุยเป็นการส่วนตัวกับเจียงอีเสียที
“พี่ใหญ่ พี่รองฝากข้าให้มาทักทายท่านพี่น่ะ”
เมื่อได้ยินเจียงซื่อพูดถึงเจียงจั้น เจียงอียิ้ม “ช่วงนี้น้องรองเป็นอย่างไรบ้าง ยังหาเรื่องจนถูกลงโทษอยู่หรือไม่”
เจียงซื่ออดขำไม่ได้ “พี่รองยังเหมือนเดิม”
เจียงอีส่ายหัว “น้องรองไม่เคยทำให้วางใจได้เลย น้องสี่ ข้ากลับไปบ่อยๆ ไม่ได้ เจ้าต้องคอยเตือนเขานะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว ควรรู้จักเพลาๆ ลงบ้าง”
“ข้าจะดูพี่รองให้ดีเจ้าค่ะ ว่าแต่พี่ใหญ่ นอกจากช่วงตรุษจีน ปกติแทบจะไม่ได้พบหน้าเลย ไม่รู้ว่าพี่เป็นอย่างไรบ้าง พวกเราคิดถึงพี่มาก”
เมื่อพูดถึงตัวเอง เจียงอียังคงยิ้ม “ข้าไม่มีเรื่องไม่ดี พวกเจ้าวางใจได้”
เจียงซื่อสังเกตสีหน้าของเจียงอีอย่างตั้งใจ เมื่อเห็นอาการและสีหน้าของนางที่ไม่เหมือนว่าแสร้งทำ นางยิ่งเกิดความสงสัย
หากดูจากตอนนี้ พี่ใหญ่คงมีชีวิตที่ไม่เลวจริงๆ แต่เหตุใดจึงเกิดเรื่องน่าตกใจเช่นนั้นขึ้นในฤดูหนาวหลังจากนั้นไม่นาน
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นางไม่มีวันเชื่อว่าพี่ใหญ่จะคบชู้กับคนอื่น
“พี่ใหญ่ พี่กับพี่เขยทะเลาะกันหรือไม่ แม่สามีเมตตาและอ่อนโยนกับพี่หรือไม่”
เจียงอีชะงักกับคำถาม “เหตุใดเจ้าถึงถามเช่นนี้”
“ข้าเพียงนึกสงสัย ไม่เคยรู้ว่าการไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แปลกหน้าแล้วจะเป็นอย่างไร พี่ใหญ่รู้ไหม ความจริงตอนที่ยังไม่ได้ยกเลิกงานแต่งงานกับจวนอันกั๋วกง วันๆ ข้าเอาแต่คิดและถามคำถามเหล่านี้ แต่หลังจากที่ยกเลิกงานแต่งงานไป พอข้าคิดได้ว่าจะไม่ได้แต่งงานในทันที ข้ากลับแอบรู้สึกโล่งอก…”
เจียงอีรู้สึกว่าความคิดของน้องสาวนั้นอันตราย จึงส่ายหัวไปมา “น้องสี่ เจ้ามีความกังวลเช่นนี้นั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ตราบใดที่เจ้าเรียนรู้ที่จะอดทน เจ้าจะเข้ากับผู้อื่นได้ดี”
ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยประกายระยิบระยับงดงาม “พี่เขยใหญ่เจ้าดีต่อข้ามาก แม้ว่าแม่สามีจะดุบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับมีข้อกำหนดที่มากเกินไป ส่วนเยียนเยียนทั้งฉลาดและน่ารัก…ชีวิตเช่นนี้ ข้าพอใจมาก”