ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 219 คนชั่วย่อมถูกสวรรค์ลงโทษ
เหล่าฉินยังไม่ทันได้เอารถกลับไปรับ เจียงอันเฉิงก็งัดทักษะขับรถม้าที่ทิ้งร้างไปนานพาตัวตนเองกลับมาถึงจวน ครั้นก้าวขาลงมาก็พุ่งตรงไปหาเจียงซื่อทันที
เจียงซื่อคิดว่าตนเองจะถูกบิดาต่อว่า แต่ไม่นึกว่าทันทีที่เจียงอันเฉิงอ้าปากคำแรกกลับเป็นการต่อว่าเจียงจั้น “ไอ้พี่รองเวรของลูกน่ะ ตอนแรกที่มันแนะนำคนรถให้ลูกก็ตกปากรับคำอย่างดีว่านายคนนี้ซื่อสัตย์พึ่งพาได้ ที่แท้แล้วสิ่งที่มันพูดเชื่อถือไม่ได้เลยสักคำ”
เจียงซื่อยิ้มเจื่อน
ตอนที่รับเหล่าฉินเข้ามาทำงานในจวน นางไม่สะดวกออกไปดูเองจึงได้ไหว้วานให้พี่รองช่วยเป็นธุระให้ ไม่คิดว่าจะเป็นการสร้างปัญหาให้พี่รองเอาตอนนี้
เจียงอันเฉิงยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น “ที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ไอ้ลูกเวรนั่นเอาม้าของข้าไปให้คนอื่นขี่ หนำซ้ำเพื่อนพี่รองของเจ้ายังเป็นแค่ผู้ตรวจการชั้นผู้น้อยภายใต้การดูแลของใต้เท้าเจิน หึ ถึงรูปลักษณ์จะหล่อเหลา แต่ก็ดันมาคลุกคลีกับพี่รองของลูก ดูก็รู้ว่าเป็นพวกไม่เอาถ่าน”
มุมปากของเจียงซื่อกระตุกเล็กน้อย
เพราะท่านพ่อมักจะโทษพี่รองอยู่เสมอ ฉะนั้นทุกคนที่ข้องแวะกับพี่รองจึงถูกเหมารวมว่าเป็นสหายเกเรไปเสียหมด แต่เมื่อสหายผู้นั้นคืออวี้ชี นางกลับไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด
เอาเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ปล่อยให้ความแค้นของท่านพ่อโหมต่อไปแล้วกัน
เมื่อเจียงอันเฉิงได้ระบายอารมณ์โกรธออกมาบ้างก็ค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอลูกชายกลับมาเสียก่อน ไฟแค้นที่โหมกระหน่ำจึงจะถูกขจัดได้จนหมดสิ้น
“ซื่อเอ๋อร์ เรื่องวันนี้ลูกไม่ต้องกลัวไป เพราะมันไม่เกี่ยวกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย ต่อไปหากไม่มีธุระจำเป็นใดๆ เจ้าก็อย่าเข้าใกล้จวนนั้นอีกเป็นอันขาด”
“ลูกทราบดีเจ้าค่ะ”
เมื่อรู้ว่าท่านป้าสะใภ้โหยวซื่อโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ หากมิใช่เหตุจำเป็น นางคงมิกล้าเฉียดกรายเข้าไปที่จวนนั้นอีก
ครั้นเจียงอันเฉิงเห็นว่าใบหน้าของเจียงซื่อดูเรียบเฉยเป็นปกติก็รู้สึกเบาใจจึงยอมจากไปแต่โดยดี
ในบริเวณนั้นจึงเหลือเพียงนายหญิงและสาวรับใช้ อาหมานจึงถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “คุณหนู คุณหนูชิงเสวี่ยร้ายออกปานนั้น และยังมีชิงอีสาวรับใช้ที่หายตัวไปนั่นอีก คนจิตใจเน่าเฟะพวกนี้ควรปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้หรือเจ้าคะ พวกนางทำเรื่องเลวร้ายมิต้องรับโทษเลยหรือเจ้าคะ”
เจียงซื่อยิ้ม “คนชั่วย่อมถูกสวรรค์ลงโทษ”
คนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังซูชิงเสวี่ยคือท่านป้าสะใภ้โหยวซื่อ แต่เพราะมารดาบังเกิดเกล้าของซูชิงเสวี่ยฆ่าซูชิงอี้ ฉะนั้นชะตาชีวิตของซูชิงเสวี่ยในกำมือของท่านป้าสะใภ้จะทนได้สักกี่น้ำ
ส่วนชิงอีผู้เป็นสาวรับใช้นั้น เจียงซื่อไม่เคยเห็นนางอยู่กับท่านป้าสะใภ้มาก่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นบ่าวรับใช้ที่มิได้สลักสำคัญแต่อย่างใด ไม่แน่ว่าอาจเป็นความตั้งใจที่จะหาคนที่ไม่เป็นที่สะดุดตามาทำเรื่องเช่นนี้แต่แรก สุดท้ายแล้วบ่าวรับใช้ที่ทำเรื่องน่าละอายแทนเจ้านายย่อมถูกฆ่าปิดปากหรือไม่ก็คงถูกส่งตัวไปอยู่แดนไกล
แท้จริงแล้วป้าสะใภ้โหยวซื่อที่เป็นตัวการของเรื่องนี้ก็ได้รับโทษไปเรียบร้อยแล้ว เพราะจะมีโทษสถานใดที่หนักหนาไปกว่าการที่ผู้เป็นมารดาต้องมาฝังศพลูกตัวเอง ทว่ายังมีเรื่องที่เจียงซื่อยังไม่ทราบคือ ไม่กี่วันหลังจากนั้นมีคนพบศพสาวรับใช้นางนั้นที่ทะเลสาบจวีสยา แต่ผู้คนในจวนต่างทึกทักว่าเป็นเพราะคุณชายรองต้องการหาผีตัวตายตัวแทน โหยวซื่อฮูหยินแห่งจวนอี๋หนิงโหวจัดการคนที่กระจายข่าวโคมลอยนี้ เป็นเหตุให้เรื่องนี้มิได้ถูกแพร่งพรายออกไป
เรื่องราวเป็นไปตามที่เจียงซื่อเคยว่าเอาไว้คือคนชั่วย่อมถูกสวรรค์ลงโทษ คนที่มีเจตนาร้ายไม่ว่าจะเป็นคนสั่งการหรือคนที่ลงมือล้วนได้รับบทลงโทษทั้งสิ้น
…….
ภายในห้องทรงพระอักษร จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังง่วนอยู่กับการอ่านบทละครเพียงลำพัง ทว่าเนื้อความในนั้นได้จุดประกายความคิดบางอย่าง เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาได้ถามไถ่ถึงการทำงานของเหล่าองค์ชายกับขุนนางใหญ่จากหกกรม
ว่าไปแล้ว หมู่นี้บรรดาองค์ชายก็สร้างเรื่องมาให้จิ่งหมิงฮ่องเต้พะวงอยู่เป็นระยะๆ เขาจึงคิดว่าพวกลูกตัวดีทั้งหลายนี้คงจะว่างเกินไป ในแต่ละวันหากไม่หาเรื่องสนุกใส่ตัวก็รังแต่จะหาเรื่องทะเลาะวิวาท จึงได้ส่งพวกเขาเข้าไปฝึกงานในหกกรมเพื่อจะได้สร้างคุณประโยชน์แก่ราชสำนัก
ลึกๆ แล้วในใจจิ่งหมิงฮ่องเต้มิอาจยอมรับว่าตนเองรู้สึกอิจฉาลูก เจ้าพวกลูกเวรพวกนี้ใคร่อยากออกไปเที่ยวเล่นก็ไปได้ ใคร่อยากจะหาเรื่องชวนทะเลาะก็ทำได้ หนำซ้ำการลวนลามสตรีนางไหนก็มิได้ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร แต่กับเขาที่ต้องตื่นเช้าก่อนไก่ขัน ทั้งยังต้องออกว่าราชการในท้องพระโรงและตรวจฎีกาที่เหล่าขุนนางนำมาถวายด้วยความระมัดระวัง แม้แต่การอ่านบทละครยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะเกรงว่าหากถูกจับได้จะถูกกล่าวโทษ การเป็นลูกสบายกว่าการเป็นพ่อเป็นไหนๆ คนเป็นพ่อจะมีทางได้เริงรมย์สมใจบ้างหรือไม่ แน่นอนว่าคงเป็นไปไม่ได้!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ฟังเหล่าขุนนางใหญ่จากหกกรมกราบทูลเพื่อเบี่ยงประเด็นก็อดเลิกคิ้วเสียไม่ได้
‘องค์ชายทรงปรีชายิ่งนัก องค์ชายมิทรงถือตัว องค์ชาย…’ นี่ยังต้องฟังวาจาไร้สาระเหล่านี้อยู่หรือ ไม่มีความคืบหน้าใหม่ๆ บ้างเลยหรืออย่างไร
เสนาบดีกรมอาญาเป็นคนไหวพริบดี ครั้นเห็นพระพักตร์ไม่สบอารมณ์ของฮ่องเต้ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบกราบทูล “กราบทูลฮ่องเต้ เยี่ยนอ๋องเพิ่งจะเสด็จไปช่วยผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครไขคดี เป็นคดีที่หลานชายแห่งจวนอี๋หนิงโหวตกน้ำพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “หื้ม คดีความอะไรกัน”
เสนาบดีกรมอาญาจึงรีบกราบทูลคดีความนั้นโดยสรุปให้กับฮ่องเต้จิ่งหมิง ในตอนท้ายยังกล่าวชื่นชมอีกว่า “ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครยังกล่าวชมว่าเยี่ยนอ๋องทรงละเอียดรอบคอบ ประสูติมาพร้อมพรสวรรค์พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ฟังก็ปลื้มปีติยิ่งนัก รีบสั่งให้เหล่าขุนนางกลับออกไป และให้ขันทีพานไห่ไปเชิญอวี้จิ่นเข้าวังทันที
อวี้จิ่นที่เพิ่งร่ำสุรากับเจียงจั้นและแอบสืบความเป็นไปของเจียงซื่อเมื่อครู่พาเจ้าสุนัขตัวใหญ่กลับไปที่เรือน เมื่อกลับไปถึงก็พบพานไห่ยืนอยู่ข้างต้นพุทราคอคดที่หน้าประตู
“องค์ชาย ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้มาเชิญองค์ชายเสด็จเข้าวังพ่ะย่ะค่ะ”
นัยน์ตาของอวี้จิ่นกลับมาเป็นประกายดังเดิม “รบกวนกงกงรอสักครู่ ข้าจะรีบไปเปลี่ยนอาภรณ์เดี๋ยวนี้”
หลังจากนั้นไม่นาน อวี้จิ่นที่จัดแจงเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบร้อยแล้วก็ตามพานไห่เข้าไปในวัง
“ฮ่องเต้ เยี่ยนอ๋องขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่อวี้จิ่นย่างกรายเข้ามาใกล้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ได้กลิ่นสุราจางๆ จากตัวของลูกชาย
กลิ่นนั้นสร้างความไม่พอใจให้แก่จิ่งหมิงฮ่องเต้
ร่ำสุรามาตั้งแต่หัววันเลยงั้นหรือ
“เจ้ามาจากไหน”
อวี้จิ่นตอบตามความจริง “เพิ่งดื่มสุรากับสหายเมื่อครู่พ่ะย่ะค่ะ ขณะที่กำลังกลับเรือนก็บังเอิญพบกับพานกงกงเข้าพอดี”
“ชั่วยามนี้เจ้ามิต้องทำงานหรอกรึ”
“ลูกติดตามผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครไปสืบคดีคนจมน้ำ มีเรื่องน่ายินดีเล็กน้อยจึงได้เรียกสหายมาดื่มสองสามจอกพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้นเห็นใบหน้าขึ้นสีแดงจางๆ ของลูกชาย ในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ลอบถอนหายใจเบาๆ
ลูกชายที่เติบโตอยู่นอกวังคงปราดเปรื่องไม่สู้ลูกชายที่เติบโตขึ้นในวัง คงถูกเอาเปรียบได้ง่ายๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรแล้ว ก็ต้องถือว่ามีความรับผิดชอบไม่น้อย
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิด สายตาที่มองไปที่อวี้จิ่นอ่อนโยนลงพลางถาม “ตั้งแต่เจ้ากลับมามีสหายที่ไหนบ้างแล้วล่ะ”
“ลูกมีสหายเพียงคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ เขาเป็นคุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋ว แต่จนบัดนี้เขายังไม่ทราบสถานะที่แท้จริงของลูกพ่ะย่ะค่ะ”
“จวนตงผิงปั๋ว?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ใคร่ครวญก่อนจะระลึกขึ้นได้ “ข้านึกออกแล้ว จวนตงผิงปั๋วที่หมั้นหมายกับจวนอันกั๋วกง แต่สุดท้ายแล้วก็ถอนหมั้นเหตุเพราะลูกชายคนเล็กของอันกั๋วกงจะปลิดชีพตัวเองตามนางในดวงใจ ถูกต้องหรือเปล่า”
อวี้จิ่นทำสีหน้างุนงง “ลูกมิทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเพิ่งกลับมาอยู่ที่เมืองหลวงได้ไม่นาน ไม่ทราบเรื่องพวกนี้ก็มิใช่เรื่องแปลก”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองดูแววตาเป็นประกายของลูกชายพลางยิ้ม “จริงสิ ลูกชายคนเล็กของอันกั๋วกงนับเป็นลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาของเจ้า เจ้าเจ็ด เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้”
ใบหน้าของอวี้จิ่นชะงักไปทันที และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ลูกคิดว่าคนอย่างจี้ซานไร้ความรับผิดชอบ หญิงสาวที่ถูกถอนหมั้นช่างโชคร้ายเกินกว่าจะบรรยายได้เหตุเพียงเพราะเข้าไปพัวพันกับคนอย่างเขา”
ฮ่องเต้จิ่งหมิงลูบคางพลางคิด
ความคิดของเจ้าเจ็ดช่างแตกต่างจากคนอื่นๆ เสียจริง
ในตอนแรกที่ได้ยินเรื่องนี้ เขาเพียงแต่รู้สึกประหลาดใจ แต่ไม่ทันคิดเลยว่าคุณหนูจวนตงผิงปั๋วที่ถูกถอนหมั้นจะต้องประสบชะตากรรมเช่นไร
เมื่อคิดได้ดังนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดว่าตนเองควรทำอะไรบางอย่างในฐานะประมุข
อื้ม มาคิดๆ ดูแล้วคงต้องหาโอกาสตกรางวัลให้คุณหนูนั่นเสียหน่อย