ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 232 ขอบคุณถึงที่
ท่าทีของเจียงจั้นสร้างความพอใจให้แก่เจียงซื่อยิ่งนัก
พี่ชายของนางเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์ จิตใจดี จึงผูกมิตรกับสหายทุกรูปแบบ และอีกทั้งยังให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ยิ่งกว่าสิ่งใด คุณสมบัติเหล่านี้หาได้ยากนัก ทว่ายังมีสิ่งที่เขาจำเป็นต้องเรียนรู้อีกอย่างคือ การแยกแยะว่าคนเช่นไรจึงจะเรียกได้ว่าเป็นสหายที่แท้จริง คนเช่นไรควรหลบหลีกไม่ข้องแวะ
มิใช่ทุกคนในใต้หล้านี้สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างจริงใจ และมิใช่ทุกคนที่สมควรได้รับการอภัย
คนอย่างหยางเซิ่งไฉเป็นต้น ทันทีที่นางเห็นกับตาว่าเขาผลักพี่ชายของนางลงน้ำราวกับโยนจอกสุราใช้แล้วทิ้งออกนอกหน้าต่าง นางถึงได้รู้ว่าคนอย่างเขาเป็นขยะเน่าเสียโดยแท้
ครั้นคนๆ หนึ่งหมายตาพี่ชาย แม้ครั้งนี้จะรอดไปได้ ทว่าครั้งหน้าอาจไม่โชคดีเช่นนี้
หากไม่มีเหตุการณ์ในชาติที่แล้ว นางก็ไม่อาจรู้ได้ว่าภัยจะมาถึงตัวพี่รองเมื่อไหร่ และมาในรูปแบบใด ฉะนั้นการฆ่าหยางเซิ่งไฉจึงถูกต้องแล้ว เพราะนี่เป็นวิธีที่แก้ปัญหาได้อย่างถอนรากถอนโคน
เจียงซื่อไม่เสียใจเลยสักนิดกับการจบชีวิตหยางเซิ่งไฉด้วยตนเอง การได้ชีวิตกลับคืนมา นางขอเพียงแค่ให้ครอบครัวของนางอยู่เย็นเป็นสุข ถึงแม้ว่าตายไปนางจะต้องตกนรกก็ยอม
“น้องสี่ ข้าผิดไปแล้ว เจ้าช่วยไปโน้มน้าวท่านพ่อให้ข้าที อย่าให้ท่านพ่อโกรธเคืองข้าเช่นนี้เลย”
เจียงซื่อพยักหน้า “ได้เจ้าค่ะ พี่รองก็ลุกขึ้นและไปกินข้าวเถอะเจ้าค่ะ เพราะอีกเดี๋ยวศาลาว่าการพระนครคงจะมาสอบปากคำพี่ในไม่ช้า”
จากสภาพในยามนี้พี่รองคงไม่แผลงฤทธิ์ไปอีกสักพัก แต่ในอนาคตจะกลับมาเป็นแบบเดิมหรือไม่นั้นก็คงต้องรอดูต่อไป ว่าไปแล้ว ไม่รู้ว่าอวี้ชี ‘ดูแล’ พี่รองท่าไหนกัน
เจียงซื่อใคร่รู้จึงเหลือบมองไปที่เจียงจั้น
เจียงจั้นที่ถูกน้องสาวจ้องมองไม่วางตาได้แต่ยกมือขึ้นเกาศีรษะ “ทำไมรึ”
“เปล่าเจ้าค่ะ เพียงแต่ข้าเห็นว่าหน้าตาของพี่ดูซีดเซียว เมื่อคืนคงดื่มไปไม่น้อยสินะเจ้าคะ ข้าว่าข้าตามท่านหมอมาดูอาการพี่รองจะดีกว่า…”
“ไม่ต้อง!” เจียงจั้นปฏิเสธทันควัน
เจียงซื่อมองเขาด้วยสายตางงงวย
เจียงจั้นเก็บอาการตื่นตระหนกและยกมือขึ้นตบเข้าที่หน้าอกตนเอง “ข้าไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่ต้องเชิญหมอมาหรอก”
หากน้องสี่รู้ว่าเขา… จู่ๆ เจียงจั้นก็ตัวสั่นเทิ้ม
ครั้นเห็นใบหน้าพี่ชายซีดหนักขึ้นกว่าเก่า เจียงซื่อก็ยิ่งสงสัย
ท่าทางอวี้ชีคง ‘ดูแล’ พี่รองได้ดีทีเดียว
“จริงสิ แล้วเหตุใดศาลาว่าการต้องมาสอบปากคำข้าด้วยเล่า” เจียงจั้นกลัวว่าเจียงซื่อจะซักไซ้เอาความจึงเปลี่ยนประเด็นอย่างรวดเร็ว
“ก็เพราะคนที่รอดชีวิตเมื่อคืนเล่าว่าสาเหตุเพลิงไหม้บนนาวาใหญ่เกิดจากคณิกาชายผู้หนึ่งจงใจจุดไฟเจ้าค่ะ อีกทั้งตอนนี้หลานชายของเสนาบดีกรมพิธีการเสียชีวิตเช่นนี้ ตระกูลหยางคงเร่งเร้าให้ทางการหาตัวคนวางเพลิงให้ได้โดยเร็ว ดังนั้นจึงเป็นไปได้จากเก้าในสิบว่าใต้เท้าเจินจะต้องมาถามเรื่องเหตุการณ์เมื่อคืนจากพี่รองอย่างไรเจ้าคะ”
“ข้าว่าเด็กหนุ่มที่ลอบวางเพลิงนั่นช่วยปัดเป่าเภทภัยแก่มวลชนเสียมากกว่า”
ในขณะนั้นเจียงจั้นเกลียดหยางเซิ่งไฉเข้าไส้ เขาถึงได้รู้สึกขอบคุณเด็กหนุ่มนั่นอย่างสุดซึ้ง
จากการคาดการณ์ของเจียงซื่อ ไม่นานคนจากศาลาว่าการพระนครก็มา และเชิญเจียงจั้นไปที่แผนกตรวจการ
เจียงจั้นคือผู้เสียหาย ฉะนั้นคนจากแผนกตรวจการจึงสุภาพกับเขา
เจียงอันเฉิงบอกกับเจ้าหน้าที่นายนั้นว่า “ข้าจะไปกับไอ้ลูกหมานี่ด้วย”
สองพ่อลูกมายังศาลาว่าการพระนคร ถึงกระนั้นเจินซื่อเฉิงไม่ได้ให้เข้าไปพบในศาลพิจารณาดี แต่เชิญให้ไปคุยกันที่ศาลาที่อยู่ในสวนด้านหลัง
เจินซื่อเฉิงรินชาใส่ถ้วยและส่งให้เจียงอันเฉิง “น้องเจียง หลานชายกลับมาโดยสวัสดิภาพ ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ”
ยามอยู่ต่อหน้าคนนอก เจียงอันเฉิงแสดงท่าทีเป็นปกติ เขาเบนสายตาดุดันไปที่เจียงจั้นแวบหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา “ลูกตัวดีนี่สร้างเรื่องไม่เว้นวัน หากเมื่อคืนไม่ไปสำมะเลเทเมาอยู่ที่แม่น้ำจินสุ่ย เรื่องราวคงไม่บานปลายใหญ่โตเช่นนี้…”
เจินซื่อเฉิงฟังเจียงอันเฉิงบ่นบุตรชายของตนเอง พลางพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ แม้ว่าบุตรชายของเขาจะดูเหมือนคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ แต่แท้จริงแล้วนั่นเป็นเพียงภาพลวงตา
โธ่ถัง ว่าอย่างไรแล้วลูกสาวก็ดีกว่าเห็นๆ เหมือนบุตรสาวของน้องเจียง นอกจากจะไม่สร้างปัญหาแล้ว ยังช่วยไขคดีเสียด้วย
เจินซื่อเฉิงได้สอบปากคำเหล่าคณิกาชายและบ่าวรับใช้ที่รอดชีวิตจากนาวาใหญ่นั้นแล้ว ขณะนี้แม้แต่เจ้าของเรือก็ถูกขังอยู่ที่ฝ่ายตรวจการเพื่อรอการสอบสวนครั้งต่อไป
แม้จะถามอยู่หลายต่อหลายครั้งกลับไม่มีผู้ใดสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับชายหนุ่มที่ลอบวางเพลิงได้เลย
เจินซื่อเฉิงจึงเริ่มแน่ใจว่าตัวละครคณิกาชายผู้นั้นถูกใส่เข้ามาเพื่อจุดประสงค์ในการแก้แค้นโดยเฉพาะ
แม้ว่าการสืบหาเกี่ยวกับการแก้แค้นที่เห็นได้ชัดแจ้งเช่นนี้จะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ทว่าเจินซื่อเฉิงรู้สึกลึกๆ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างของเหล่าคุณชายอาภรณ์ผ้าแพรไหมพวกนั้นน่าจะยุ่งยากเอาการ
หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าเหล่าลูกผู้ลากมากดีพวกนี้ไปก่อกรรมทำเข็ญกับผู้คนตั้งเท่าไหร่ ที่ยังอยู่รอดปลอดภัยจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะมีชาติตระกูลคอยคุ้มกะลาหัว
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น เนื่องจากมีเรื่องหนึ่งที่เจินซื่อเฉิงรู้สึกเอือมระอาเป็นที่สุด
หลานชายของเสนาบดีกรมพิธีการเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน เมื่อปีก่อนเขาดันไปถูกใจบัณฑิตจากครอบครัวยากไร้นายหนึ่ง และทำกับชายคนนั้นจนชอกช้ำยับเยิน นึกไม่ถึงว่าบัณฑิตผู้นั้นรักในศักดิ์ศรีถึงขึ้นยอมกระโดดน้ำตาย
ช่างน่าเวทนา บัณฑิตผู้นั้นเพิ่งออกเรือนไปได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น ส่วนภรรยาก็กำลังตั้งครรภ์ได้สองเดือน
ภรรยาของบัณฑิตผู้นั้นพบว่าสามีของตนทิ้งจดหมายเลือดเอาไว้จึงไปรายงานกับศาลาว่าการ แต่ทว่านางไม่ได้พบแม้แต่หน้าของผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครเสียด้วยซ้ำ ได้รับคำตอบกลับเพียงว่า ‘หลักฐานไม่เพียงพอ ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดคะเนทั้งนั้น’ และถูกไล่กลับไป
นางไม่หยุดเพียงเท่านั้น แต่ตรงไปที่จวนเสนาบดีกรมพิธีการ และบังเอิญพบหยางเซิ่งไฉที่หน้าประตู นางถูกซ้อมจนตกเลือด ท้ายที่สุดแล้วนางก็เป็นคนเสียสติไปโดยสมบูรณ์
จวนเสนาบดีใช้เงินก้อนหนึ่งจัดการให้เรื่องนี้เงียบลง หลังจากนั้นไม่นานพ่อแม่ของบัณฑิตนายนั้นได้จัดงานแต่งงานให้กับน้องชายของเขาอีกสองคน ครอบครัวยากจนข้นแค้นได้มีโอกาสจัดงานวิวาห์ใหญ่โตย่อมรู้สึกเป็นภาคภูมิใจเป็นธรรมดา แต่ทว่าลูกสะใภ้คนโตที่เสียสติกลับไม่ปรากฏกายในงานนั้นเลย ราวกับว่าไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นข้อมูลที่เจินซื่อเฉิงได้จากการส่งคนไปสอบถามจากเพื่อนบ้านในละแวกใกล้ๆ หากหยางเซิ่งไฉยังอยู่ ความปรารถนาที่จะชี้ความผิดของเขาคงเป็นได้เพียงฝันกลางวัน
ถึงแม้เจินซื่อเฉิงจะเป็นข้าราชการในอุดมคติ แต่เขาก็ตระหนักถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง การที่แม้นองค์ชายจะกระทำความผิดก็จะได้รับโทษเฉกเช่นเดียวกับปุถุชนคนธรรมดาคือความฝันที่เขาอยากทำให้เป็นจริง แต่เกรงว่านั่นคงเป็นเพียงฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น
สิ่งที่เขาปรารถนาจะทำที่สุดคือการคืนความยุติธรรมให้แก่เหล่าราษฎร
แต่สำหรับหยางเซิ่งไฉ…
ครั้นนึกถึงตอนที่ลูกชายของเขาได้รับเทียบเชิญจากหยางเซิ่งไฉเมื่อไม่นานมานี้ เจินซื่อเฉิงก็อยากจะหัวเราะเยาะออกมา
“เสี่ยวอวี๋บอกกับข้าว่า เมื่อคืนเขาบังเอิญช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้” เจินซื่อเฉิงหันไปพูดกับเจียงจั้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หลานช่างโชคดีจริงๆ ขอรับ”
เพราะความดีความชอบของน้องสาวตัวเองแท้ๆ เขาถึงได้กล้าเรียกตัวเองว่า ‘หลาน’ ยามอยู่ต่อหน้าผู้ตรวจการที่เป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั่วไป
เมื่อนึกถึงตรงนี้ แม้เจียงจั้นจะรู้สึกภาคภูมิใจ แต่ก็มีความทุกข์ใจในคราวเดียวกัน เขาปฏิญาณกับตนเองว่า ต้องมีสักวันที่น้องสี่จะต้องได้ดีเพราะเขาบ้าง น้องสี่จะได้ภูมิใจในตัวเขาเช่นกัน
“หลานเจียงคงหมายถึงเรื่องเมื่อคืนสินะ”
“ความจริงแล้ว หลานยังสับสนอยู่เล็กน้อย เนื่องด้วยดื่มไปมากทีเดียวขอรับ” เจียงจั้นจำสิ่งที่อวี้จิ่นกำชับขึ้นใจ ยิ่งพูดมากต่อหน้าเจินซื่อเฉิงที่มีนิสัยไม่ต่างอะไรจากจิ้งจอกเฒ่าก็จะยิ่งมากความ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหา ควรปล่อยให้เรื่องที่รู้ทั้งหมดถูกลืมไปพร้อมกับอาการเมาสุราจะดีกว่า
เจินซื่อเฉิงไม่ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี น้ำเสียงของเขาจึงเปลี่ยนไป “ว่ากันว่าหลานเจียงและคุณชายจวนแม่ทัพไม่ค่อยถูกชะตากันเท่าใดนัก”
เจียงจั้นพยักหน้าอย่างสงบ “ใช่ขอรับ หยางเซิ่งไฉถึงได้เรียกให้พวกเราไปสังสรรค์ร่วมกัน เพราะหวังว่าจะใช้น้ำเมาขจัดความบาดหมาง”
เจินซื่อเฉิงถามอีกสองสามคำถามแต่กลับไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติม จึงหันไปชวนเจียงอันเฉิงคุยเรื่องสัพเพเหระ
เจียงจั้นลอบถอนหายใจเบาๆ
พี่อวี๋ชีพูดถูกแล้ว หยางเซิ่งไฉผลักเขาตกน้ำต่อหน้าเหล่าคุณชาย ทั้งสามจึงถูกนับว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แม้ว่าตอนนี้หยางเซิ่งไฉจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ทั้งสามก็มิใช่คนโง่ที่จะแพร่งพรายเรื่องเมื่อคืนออกไป
หลังจากกลับออกมาจากศาลาว่าการ เจียงอันเฉิงชะงักฝีเท้าและหันไปเอ่ยเสียงเรียบ “พาข้าไปที่เรือนสหายของเจ้า ข้าจะได้ขอบคุณเขา”