ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 240 ยังคงเป็นเช่นพบกันครั้งแรก
บริเวณไม่ไกลออกไปนักเป็น โรงหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวง นามว่าเหอชี่ถัง ซึ่งบัดนี้มีผู้คนจำนวนมากเดินทางเข้าออก มองไปแล้วช่างมีชีวิตชีวาครึกครื้นไม่เบา
ชายหนุ่มคนหนึ่งอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีเดินทางออกมาจากโรงหมออย่างเร่งรีบ ฝีเท้าของเขาหนักแน่น แต่หากมองดูดีๆ จะรู้สึกว่าสีหน้าของเขาดูไม่เป็นธรรมชาตินัก
ชายหนุ่มคนนั้นก็คือจี้ฉงอี้ คุณชายสามแห่งจวนอันกั๋วกง
เขาเดินทางมาที่นี่เพื่อซื้อยาให้แก่เฉี่ยวเหนียงภรรยาของเขา
ในจวนอันกั๋วกงเองก็มีห้องยาเล็กๆ อยู่ มีตั้งแต่โสมเก่าแก่นับร้อยปีไปจนถึงสมุนไพรรากหญ้า แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์เท่ากับร้านขายยาขนาดใหญ่ทั่วไปด้านนอก แต่สิ่งใดที่ควรมีก็ล้วนเตรียมไว้เสร็จสรรพ ตามเหตุผลแล้วคนในจวนอันกั๋วกงไม่ควรจะต้องเดินทางออกมาซื้อยาด้านนอกเช่นนี้
แต่ทว่าเฉี่ยวเหนียงมีความลับบางอย่างที่ไม่อาจบอกได้ นับตั้งแต่นางตกลงไปในน้ำเมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากนั้น ทุกเดือนเมื่อถึงช่วงเวลามีรอบเดือนก็จะมีปริมาณมากจนทำให้น่าปวดหัวยิ่งนัก
นับตั้งแต่เฉี่ยวเหนียงแต่งเข้าไปในจวนอันกั๋วกง ความอ่อนหวานและการปฏิบัติอย่างดีของสามีที่มอบให้นางนั้นไม่อาจชดเชยแรงกดดันที่เกิดจากความดูหมิ่นในเรือนได้เลย นางป่วยเป็นโรคนี้แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยกับผู้ใด เนื่องจากแม้แต่บ่าวรับใช้ก็เป็นคนที่ฮูหยินส่งมา บัดนี้หากว่านางบอกออกไปเรื่องก็คงจะถึงฮูหยินอย่างแน่นอน
คนที่เฉี่ยวเหนียงเชื่อถือมีเพียงจี้ฉงอี้คนเดียวเท่านั้น
กว่าจี้ฉงอี้จะรับนางแต่งเข้ามาในจวนได้ ต้องอดทนกับแรงกดดันมหาศาล แน่นอนว่าเขาคงจะไม่ให้ใครมาดูถูกภรรยาของตน ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องอื่น เพียงแค่วันที่สองหลังจากที่เฉี่ยวเหนียงแต่งเข้ามาในจวน ฮูหยินก็สั่งให้ผอจื่อเดินทางมาให้คำสั่งสอนนางเรื่องของกฎและมารยาท การกระทำของฮูหยินอันกั๋วกงเช่นนี้ เป็นการตบหน้าจี้ฉงอี้โดยไม่ต้องสงสัย เพื่อต้องการให้เขาทำตัวไม่ถูก แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ทำได้เพียงต้องอดทนอยู่เงียบๆ
ในใจของจี้ฉงอี้รู้ดีว่าเฉี่ยวเหนียงไม่ได้สง่างามดุจเช่นสตรีผู้สูงศักดิ์ ซึ่งพวกนางเหล่านั้นได้รับการอบรมสั่งสอนอย่างเข้มงวดมาตั้งแต่วัยเด็ก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บัดนี้ก็เป็นเวลาอันดีที่จะได้เรียนรู้เพิ่มเติม เมื่อไหร่ที่เฉี่ยวเหนียงเรียนรู้กฎเหล่านี้ได้ดีแล้ว อย่างน้อยบรรดาผู้อาวุโสจะได้ไม่คอยตามรังควานนางเรื่องนี้อีก
จี้ฉงอี้อ่อนไหวต่อความคิดของคนในจวนยิ่งกว่าตัวเฉี่ยวเหนียงเองเสียอีก เมื่อได้ยินคำร้องขอจากเฉี่ยวเหนียง เขาจึงได้เดินทางออกมาด้วยตนเอง เนื่องจากว่าบ่าวรับใช้และผอจื่อที่อยู่ข้างกายไม่อาจเชื่อถือได้ แต่จะให้บ่าวรับใช้ของเขามาซื้อยาเหล่านี้ให้แก่ภรรยาของเขาได้อย่างไร
จี้ฉงอี้สั่งยาเสร็จแล้วจึงได้เตรียมตัวจะเดินทางกลับ พบว่ารถม้าคันหนึ่งหยุดลงบริเวณไม่ไกลออกไปนัก
คนขับรถม้าเป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างกระตือรือร้น ทันทีที่รถม้าหยุดลงก็มีใครบางคนอุ้มใครอีกคน เอามือเปิดผ้าม่านขึ้นแล้วเดินลงมาจากบนรถม้านั้น
จี้ฉงอี้หยุดฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีด้วยนิสัยของมนุษย์มีลักษณะนิสัยชอบสนใจเรื่องของผู้อื่นอยู่เป็นเดิมทุน และคนขับรถหนุ่มผู้นั้นหันหน้าไปทางเขา จึงทำให้เขาเบิกตามองกว้าง
เขารู้จักคนคนนี้!
นี่คือคุณชายรองแห่งจวนตงผิงปั๋ว และคือพี่ชายของคุณหนูเจียงซึ่งเคยมีสัญญาหมั้นหมายกับเขาก่อนหน้านี้นั่นเอง
หลังจากที่ทั้งสองตระกูลยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกันแล้ว เขาเคยถูกคุณชายรองแห่งจวนเจียงผู้นี้ดักทางขวางอยู่ในตรอกและด่าเสียยกใหญ่ กล่าวว่าเขาเป็นผู้มีตาหามีแววไม่
แท้จริงแล้วยังมีคำพูดไม่น่าฟังอีกมากมาย แต่จี้ฉงอี้ไม่อยากนึกถึงมันอีก
หลังจากที่เขาตัดสินใจอยู่กับเฉี่ยวเหนียงแล้ว ก็ถูกทุกคนด่าทอมากมาย แต่ทว่าบัดนี้ตัวเขาเองก็ไม่เสียใจกับการเลือกเดินทางเช่นนี้ตั้งแต่ในตอนแรก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรู้สึกดีเวลาที่ถูกตำหนิดุด่า
โดยรวมแล้วคือจี้ฉงอี้มีความทรงจำเกี่ยวกับชายคนนี้ที่เกือบได้เป็นพี่ชายภรรยาของเขาได้เป็นอย่างดี
ในไม่ช้า ร่างเรียวบางที่ยืนอยู่ข้างกายของเจียงจั้นก็ดึงดูดความสนใจของเขา
หญิงสาวในชุดกระโปรงสีแดงเสื้อสีขาวผ่อง แม้ว่าท่าทางของนางจะดูเร่งรีบแต่ก็ไม่อาจปิดบังความงดงามเฉลียวฉลาดของนางเอาไว้ได้เลย มองไปเฉกเช่นดอกไม้สีแดงในป่าเขียวขจีที่ส่องกระทบไปยังสายตา และสะท้อนไปยังดวงใจ
จี้ฉงอี้ตกตะลึงอีกครั้ง
สตรีผู้นี้เขาเคยพบมาก่อน
ต่อให้ไม่ต้องนึก จี้ฉงอี้ก็จำได้
ในวันนั้นเป็นวันแต่งงานของเขา ในขณะที่เดินผ่านท่ามกลางฝูงคนโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาก็เห็นม่านสีเขียวของรถม้าคันหนึ่งถูกยกขึ้น ภายในปรากฏใบหน้าอันงดงามและเยือกเย็นดุจดั่งเช่นหิมะของหญิงสาวผู้นี้
ตอนนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความงามของหญิงสาวอันไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็เข้าใจได้อย่างเช่นกันว่าความงดงามนี้เป็นดั่งเช่นจอกแหนที่ไหลผ่านสายธารไป ในอนาคตคงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีก
จี้ฉงอี้คิดไม่ถึงว่าตัวเขาเองจะสามารถจำแม่นางที่พบกันเพียงครั้งเดียวขึ้นมาได้ นี่อาจจะเป็นความสามารถที่เหนือผู้อื่น และทำให้ผู้อื่นอิจฉา
“คุณหนูเจียงอย่าได้รีบร้อนไป คุณชายเจียงน่าจะเพียงอ่อนแอเท่านั้น พักผ่อนสักหน่อยก็คงดีขึ้นเอง” หลงต้านกล่าวปลอบโยน
“อืม” เจียงซื่อทำได้เพียงตอบรับเบาๆ ในไม่ช้าทั้งสามคนก็พากันเข้าไปในห้องโถงของเหอชี่ถัง
จี้ฉงอี้ชะงักลงทันใด เมื่อครู่ คนขับรถม้าดูเหมือนจะเรียกแม่นางผู้นี้ว่าคุณหนูเจียง? เช่นนั้นหมายความว่านางคือ…
จู่ๆ ได้มาพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้จี้ชงอี้รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ภาพสตรีที่เขาเพิ่งจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ดูคลุมเครือกลับค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา ที่แท้นางก็คือคุณหนูเจียงที่สี่ ที่แท้นางคือผู้ที่เกือบจะได้กลายมาเป็นภรรยาของเขา… เมื่อสัมผัสได้ว่าความคิดของตนกำลังสับสน จี้จงอี้จึงได้ส่ายหัวสีหน้าดูไม่น่ามองนัก
เขารู้สึกหงุดหงิดและทำอะไรไม่ถูก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอก หากจะกล่าวถึงของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้แล้ว เขาและเฉี่ยวเหนียงจึงจะเป็นคู่กัน ความดีของเฉี่ยวเหนียงนั้นสตรีอื่นไม่อาจเทียบได้
จี้ฉงอี้สลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง ก่อนจะเดินทางกลับไปยังจวนอันกั๋วกงอย่างเร่งรีบ
บัดนี้เฉี่ยวเหนียงรู้สึกนั่งไม่ติดที่ เมื่อนางเห็นจี้ฉงอี้เดินทางกลับมาก็ได้ลุกขึ้นไปทักทายต้อนรับ
จี้ฉงอี้นึกถึงท่าทางอันสง่างามของหญิงสาวอย่างรีบร้อนเมื่อครู่ จากนั้นหันไปมองทางเฉี่ยวเหนียงที่ย่างกายด้วยท่าทางงุ่มง่าม คิ้วของเขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดเข้าหากัน
จะว่าไปแล้ว บรรดาพี่น้องของเขาก็เป็นเช่นนั้น แต่เฉี่ยวเหนียงแตกต่างไปกับพวกนางอย่างสิ้นเชิง
จี้ฉงอี้รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล จู่ๆ เขากล่าวกับเฉี่ยวเหนียงว่า “เดินดีๆ ดูท่าทางของเจ้าเข้าสิ ประเดี๋ยวก็สะดุดกระโปรงหรอก”
“แต่ว่า…” เฉี่ยวเหนียงอดไม่ได้ที่หันไปมองดูผอจื่อด้วยท่าทางดูหวาดกลัว
หากว่านางลืมสิ่งเหล่านี้ ประเดี๋ยวตอนกลับไป ผอจื่อก็จะต้องสั่งสอนนางอีก
จี้ฉงอี้รู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก เขาหันไปตะโกนกับบ่าวรับใช้ว่า “พวกเจ้าออกไปให้หมด”
ในไม่ช้าบรรดาบ่าวรับใช้ก็เดินทางออกไป เฉี่ยวเหนียงจึงได้ถอนหายใจออกมา ใบหน้าของนางยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ซื้อมาแล้วหรือ”
จี้จงอี้มองดูนางแล้วถอนหายใจกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้ไม่ดีหรอกหรือ”
เฉี่ยวเหนียงเก็บรอยยิ้มลงแล้วกระซิบว่า “แต่หากว่าข้าเรียนรู้ได้ไม่ดี ก็จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเวลาออกไปข้างนอก”
นับตั้งแต่ที่แต่งงานเข้ามาในจวนของอันกั๋วกง นางยังไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากว่าฮูหยินจวนอันกั๋วกงไม่อนุญาต มักจะกล่าวว่านางยังศึกษากฎระเบียบมารยาทได้ไม่ดี และคงจะไปสร้างแต่ความอับอายขายหน้า
แน่นอนว่าเฉี่ยวเหนียงเองก็มีศักดิ์ศรี
จี้ฉงอี้รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขาถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าจงตั้งใจศึกษาให้ดี เรียนรู้ให้รวดเร็วว่องไว ยานั้นข้าสั่งให้บ่าวรับใช้ไปต้มให้แล้ว จงกินให้ตรงเวลา”
จะฝึกฝนหรือไม่ก็ย่อมได้ แต่อย่าให้เป็นเช่นตอนนี้ก็พอ
“อาอี้ เจ้าจะไปที่ใด” เมื่อพบว่าจี้ฉงอี้กำลังจะเดินจากไป เฉี่ยวเหนียงก็ตกตะลึง
จี้ฉงอี้ยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือสักหน่อย”
เมื่อมองไปยังร่างของจี้ฉงอี้ที่เดินจากไป เฉี่ยวเหนียงก็กล่าวออกมาด้วยความงุนงงเพียงประโยคหนึ่งว่า “อ้อ”
แต่ประโยคนี้เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายหนึ่งฟังไม่ได้ยิน สิ่งที่ตอบนางกลับมานั้นมีเพียงลูกปัดผ้าม่านที่โยกย้ายไปตามแรงกระทบของแรงลม
……
ณ ศาลาว่าการพระนคร
เจินซื่อเฉิงมองกลุ่มคนที่สายตรวจพาเดินทางกลับมา จู่ๆ เขาก็มีความรู้สึกไม่อยากจะทำงานนี้เสียแล้ว
บัดนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าเหตุใดเพื่อนร่วมงานในอดีตนั้นทำได้ไม่นานจึงได้ลาออก