ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 258 วัดไป๋อวิ๋น
เดือนแปดกำลังจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ของชาติที่แล้วเหลืออีกเพียงแค่สองเดือนกว่า เรื่องนี้ทำให้เจียงซื่อ รู้สึกเครียดมาก
ในจดหมายเจียงซื่อไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่เจียงอีช่วยใครไว้ เนื่องจากเรื่องเช่นนี้นางควรจะเอ่ยถามต่อหน้าดีกว่า
เมื่อจดหมายถูกนำส่งไปที่ตระกูลจู ไม่นานต่อมาก็ได้รับจดหมายตอบกลับจากเจียงอี
เจียงซื่ออ่านจดหมายฉบับนั้นเรียบร้อยแล้วก็ได้แต่ขยี้หางตาเบาๆ
ดูเหมือนว่านางจะต้องเดินทางออกไปด้วยตนเอง
ในจดหมาย เจียงอีกล่าวว่าวันมะรืนนี้นางจะไปวัดไป๋อวิ๋นที่นอกเมืองเพื่อสักการบูชาธูปเทียน และนัดหมายกับนางให้ไปพบกันที่วัดไป๋อวิ๋น
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สองพี่น้องไปพบกันที่วัดไป๋อวิ๋น ดูเหมือนจะสะดวกกว่าพบกันที่จวนจู
ในไม่ช้า เจียงซื่อก็ได้ตอบกลับจดหมายของเจียงอี นางเฝ้าอดทนรอให้วันมะรืนมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ
เวลาสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาหมานตื่นมาแต่เช้าตรู่เพื่อจะไปเตรียมรถ แต่ในไม่ช้านางก็กลับมารายงานด้วยใบหน้าเศร้าโศกว่า “คุณหนูเจ้าคะ รถม้าคันใหญ่ของจวนถูกเอ้อร์ไท่ไท่นำไปใช้แล้ว ส่วนรถม้าคันเล็กซานไท่ไท่กับคุณหนูสามนำไปใช้ บัดนี้ไม่มีรถม้าแล้วเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ให้เหล่าฉินไปจ้างรถม้าคันหนึ่งมา เอาที่สะอาดสะอ้านก็พอ”
เหล่าฉินจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ดี ในไม่ช้าก็หารถม้ามาได้คันหนึ่งและพาเจียงซื่อกับอาหมานสองนายบ่าวเดินทางไปยังวัดไป๋อวิ๋นที่นอกเมือง
ท่ามกลางท้องฟ้าอันปลอดโปร่ง เมื่อเดินทางออกจากเมืองแล้ว ตามถนนหนทางก็ไม่มีผู้คนพลุกพล่านนัก ทำให้โลกดูกว้างขวางขึ้น
อาหมานใช้มือเปิดผ้าม่านออก ทำให้ลมเย็นในฤดูใบไม้ร่วงปะทะมาที่แก้มของนาง นางเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ริมถนนด้วยอารมณ์อันมีความสุขยิ่ง
“คุณหนูเจ้าคะ ดูนาข้าวนั่นสิ สีเหลืองทองอร่าม มองไปแล้วงดงามกว่าดอกไม้นัก”
เจียงซื่อที่นั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ในรถม้าจึงลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วชะโงกหน้าออกไปดู
สองข้างทางคือนาข้าวสาลีที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นฤดูที่กำลังผลิดอกออกรวง ข้าวสาลีสีทองปลิวไสวไปตามสายลม ดุจคลื่นสีทองอันไม่มีที่สิ้นสุดไปบรรจบแนวเดียวกับเส้นขอบฟ้าสีคราม ทำให้ผู้คนที่พบเห็นรู้สึกสดชื่น ชาวนาที่กำลังก้มตัวใช้เคียวเกี่ยวข้าวอยู่ในทุ่ง มองไปช่างตัวเล็กเหลือเกิน
บัดนี้นางคล้ายกับได้กลิ่นหอมของข้าวสาลีและกลิ่นเหงื่อของชาวนาซึ่งเกิดจากการเกี่ยวข้าวผสมผสานกัน
บรรยากาศเช่นนี้นางชื่นชอบยิ่งนัก
“คุณหนูดูรถม้าที่ด้านโน้นสิเจ้าคะ! เหมือนกับรถม้าที่จวนของเราเลย” สายตาของอาหมานแหลมคมนัก นางชี้ไปยังรถม้าคันหนึ่งที่มีหลังคาสีเขียวอยู่ห่างออกไปไกลโพ้น
เจียงซื่อจับจ้องมองไป พบว่ารถม้าคันนั้นเป็นรถม้าของจวนตงผิงปั๋วจริงๆ
“เอ้อร์ไท่ไท่จะไปที่ใดกัน ดูเหมือนจะเป็นทางเดียวกับพวกเรา” อาหมานกล่าวขึ้นอย่างสงสัย
เจียงซื่อนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกำชับกับเหล่าฉินว่า “เร่งฝีเท้าของม้าเร็วเข้า พวกเราจะได้ไปถึงวัดไป๋อวิ๋นเร็วๆ”
เมื่อนึกถึงช่วงนี้ที่บ้านรองพบเจอกับเรื่องราวอุปสรรคมากมาย ประกอบกับรถม้าที่อยู่ทางด้านหน้า เจียงซื่อก็คาดเดาได้ว่าเซียวซื่อคงจะต้องการไปวัดไป๋อวิ๋นเช่นกัน หากว่าเซียวซื่อเดินทางไปที่นั่นและพบกับพี่สาวคนโตก่อน อาจจะทำให้นางพลาดโอกาสจะได้สนทนากับพี่สาว ด้วยเหตุนี้เจียงซื่อจึงตัดสินใจที่จะเดินทางไปถึงก่อนล่วงหน้า
อีกประเดี๋ยวเมื่อได้พบกับพี่ใหญ่แล้วและได้เอ่ยถามในสิ่งที่ต้องการถามแล้ว ต่อให้เซียวซื่อเดินทางไปรบกวนก็ไม่เป็นไร
เมื่อเหล่าฉินได้ยินคำสั่งของเจียงซื่อ เขาก็ยกแส้ม้าขึ้นพูดว่า “คุณหนูจับให้แน่นนะขอรับ”
เมื่อแส้ถูกฟาดลงไปที่ก้นของมาด้วยเสียงดังสนั่น ในไม่ช้ารถม้าก็วิ่งไปด้วยความรวดเร็ว เร็วกว่ารถม้าของเซียวซื่อเสียอีก
เซียวซื่อที่กำลังโผล่หน้าออกมาดูทิวทัศน์ด้านนอกรถม้า จู่ๆ ก็พบกับรถม้าอีกคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความรวดเร็วฝุ่นตลบคละคลุ้ง นางจึงรีบปล่อยม่านลง ความรู้สึกผ่อนคลายเมื่อสักครู่บัดนี้กับย่ำแย่ขึ้นมาอีกครั้ง
ช่วงนี้ไม่ว่าเรื่องใดล้วนไม่ราบรื่นเอาเสียเลย แม้แต่นางจะเชยชมทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกก็ยังต้องกินฝุ่นเข้าไปคำเบ้อเร่อ ไม่รู้ว่าคนที่อยู่ในรถม้าคันนั้นจะรีบไปที่ใดกัน
เหล่าฉินรีบเร่งบังคับม้าไปด้วยความเร็วสูง ไม่นานต่อมาก็เดินทางมาถึงวัดไป๋อวิ๋น
อาหมานโผล่ศีรษะออกมาดูยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เหล่าฉิน ขับรถม้าได้ยอดเยี่ยมนัก รถคันข้างหลังนั่นไม่เห็นแม้แต่เงา”
เหล่าฉินไม่ได้แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขากล่าวออกมาอย่างเฉยชาว่า “ขับรถม้าไม่ใช่สิ่งที่ข้าถนัด”
“แล้วเจ้าถนัดอะไร”
เหล่าฉินได้แต่ถอนหายใจออกมา แม่นางผู้นี้ขี้ลืมเสียจริง เขาเคยบอกไว้ตั้งนานแล้วว่าตนมีความถนัดด้านฆ่าคน
“อาหมาน เจ้าไปดูว่ารถม้าของจวนจูมาถึงหรือยัง”
เมื่อได้รับคำสั่งของเจียงซื่อ อาหมานก็เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจและรีบวิ่งไปสอบถามพระจือเค่อ ในไม่ช้าก็กลับมาพร้อมกับบอกข้อมูลให้แก่เจียงซื่อรับทราบว่าเดินทางมาถึงแล้ว
สตรีในตระกูลชั้นสูงเช่นเจียงอีเดินทางมาที่วัดไป๋อวิ๋น แน่นอนว่านางจะต้องจองห้องรับรองเอาไว้ เนื่องจากตอนกลางวันจะได้รับประทานอาหารด้วย
แต่ในเวลานี้เจียงอีคงไม่ได้พักผ่อนอยู่ในห้องรับรองแน่ เจียงซื่อพาอาหมานตรงไปที่ห้องโถงต้าสยงและพบร่างอันคุ้นเคยคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์
สิ่งที่ทำให้เจียงซื่อรู้สึกตกตะลึงก็คือ ข้างกายของนางมีใครอีกคนอยู่ด้วย นั่นก็คือจูจื่ออวี้พี่เขยของนาง
ทันใดนั้นเจียงอีก็ลุกขึ้นยืน เงยหน้ามองดูจูจื่ออวี้แล้วยิ้มอย่างบางเบา
เจียงซื่อยืนอยู่ในที่ไม่ไกลออกไปนัก นางมองดูคู่รักที่ยืนเคียงข้างกันบริเวณไกลออกไปนั้นแล้วรู้สึกสับสนในใจเล็กน้อย
หรือความคิดของนางจะผิดไป จูจื่ออวี้พี่เขยของนางไม่ได้มีปัญหาใด…
เจียงซื่อละสายตากลับมามองไปที่ใบหน้าของจูจื่ออวี้
ในวันนี้จูจื่ออวี้สวมชุดยาวสีน้ำเงินสง่างาม ใบหน้าอันหล่อเหลาประกอบกับท่าทางดูแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นอัปกิริยาใดล้วนดูน่าเกรงขามราวปราชญ์บัณฑิต
ต้องยอมรับว่าจูจื่ออวี้ทำให้สตรีหวั่นไหวได้มากจริงๆ
เมื่อชาติที่แล้ว หลังจากที่พี่สาวของนางตายไป จูจื่ออวี้เป็นอย่างไรเล่า
เจียงซื่อจำได้ดีว่า ในตอนนั้นที่นางเดินทางออกไปจากเมืองจูจื่ออวี้ยังไม่ได้แต่งภรรยาเพิ่ม แต่สามปีหลังจากนั้นเมื่อนางกลับมายังเมืองหลวง จึงได้รู้ว่าเมื่อหนึ่งปีก่อนจูจื่ออวี้ได้แต่งภรรยาจากตระกูลธรรมดามาคนหนึ่ง
ดูเหมือนว่าจะสัมผัสได้ถึงแววตาที่มองมาของเจียงซื่อ จูจื่ออวี้จึงหันศีรษะไปสบตากับนาง ในตอนแรกเขาผงะลงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มออกมา รอยยิ้มอันอ่อนโยนกล่าวว่า “อีเหนียง… น้องสี่น่ะ”
เจียงอีจึงได้หันหลังกลับไป แววตาของนางบ่งบอกถึงความประหลาดใจก่อนจะเร่งฝีเท้าตรงเข้าไปกุมมือเจียงซื่อเอาไว้กล่าวว่า “น้องสี่ มาแล้วหรือ”
เจียงซื่อจัดการกับอารมณ์อันครุ่นคิดวุ่นวายของนางอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มออกมาว่า “คิดไม่ถึงว่าพี่จะอยู่ที่นี่”
ประโยชน์ของนางนี้ดูกำกวม เนื่องจากนางไม่รู้ว่าเจียงอีได้บอกกับจูจื่ออวี้หรือไม่ว่าพวกนางนัดแนะกันอยู่ที่นี่
หลังจากสองพี่น้องสนทนากันไปสองสามประโยค จูจื่ออวี้ก็ได้เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าสนทนากันไปก่อน ข้าจะไปเดินเล่นตรงนั้นสักหน่อย”
สายตาของเจียงซื่อมองไปตามจูจื่ออวี้ที่เดินจากไป เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าความตื้นลึกหนาบางของชายผู้นี้ยากจะคาดเดา
หากมองจากด้านกฎเกณฑ์และมารยาท จูจื่ออวี้นับว่าเป็นสุภาพบุรุษชั้นสูง
แต่ว่ามีอยู่อย่างหนึ่งที่นางมั่นใจก็คือ หากนางทำอะไรบางอย่าง คงดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ต่อให้ทำแล้วสูญเปล่าก็ตาม
“น้องสี่” เจียงอีรู้สึกสงสัยขึ้นเล็กน้อย
เจียงซื่อเข้ามากุมมือนางเอาไว้แล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ พวกเราก็ไปเดินเล่นกันเถอะ”
เจียงอีชี้ไปที่ด้านหลังแล้วกล่าวว่า “น้องสี่จะไม่นมัสการพระพุทธรูปหน่อยหรือ”
เมื่อเจียงซื่อครุ่นคิดแล้ว จึงได้เดินเข้าไปคุกเข่าอยู่ต่อหน้าพระพุทธรูปแล้วก้มหัวคารวะ นางคุกเข่ากราบอย่างจริงใจ ภาวนาสวดขอว่า ‘ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้อยู่เบื้องบนสวรรค์ โปรดอวยพรพี่สาวคนโตของข้า ให้มีแต่ความสงบสุขปราศจากหายนะและความวิตกกังวลทั้งสิ้นเถิด’
เจียงซื่อลุกขึ้นยืน เจียงอีจึงยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างติดตลกว่า “น้องสี่ขอพรอันใดหรือ ขอคู่ครองหรือไม่”
“พี่ใหญ่อย่าได้เอ่ยวาจาไร้สาระไป” เจียงซื่อทำท่าทางเขินอาย
เจียงอีมีนิสัยไหลลื่นดุจเช่นสายน้ำ เมื่อเห็นท่าทางอันเขินอายของน้องสาวก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยล้อเลียนและถามถึงสถานการณ์ในจวนปั๋ว
ต้นไม้โบราณที่ปลูกอยู่ในวัดแผ่ใบร่มรื่น บัดนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ยิ่งเดินไปด้านหลังผู้แสวงบุญก็น้อยลงไปด้วยเช่นกัน
เมื่อเจียงซื่อเห็นว่าบัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว จึงได้เอ่ยถามออกมาอย่างเป็นกันเองว่า “หากรู้ว่าพี่เขยเดินทางมานมัสการเป็นเพื่อนพี่ ข้าก็คงจะไม่เข้ามาขัดขวางหรอก”
“อย่าได้เอ่ยไร้สาระไป” สีหน้าของเจียงอีแดงเรื่อแล้วผลักเจียงซื่อเบาๆ ก่อนจะอธิบายว่า “เดิมทีนั้นข้ามาคนเดียว แต่พี่เขยของเจ้าเขาไม่มีธุระใด จึงได้เดินทางมาเป็นเพื่อนข้าเท่านั้น”