ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 259 ฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ร่วง
บังเอิญไม่มีธุระงั้นหรือ
เจียงซื่อจับไปที่แขนของเจียงอีแล้วเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ดวงตาของนางเป็นประกายเล็กน้อย
บางทีอาจเป็นเพราะนางอ่อนไหวจนเกินไป เมื่อได้ยินคำว่า ‘บังเอิญ’ เข้ามาในหูจึงอดไม่ได้ที่จะคิดมาก
“วันนี้ดูเหมือนไม่ใช่วันหยุด” เจียงซื่อเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเอง
เนื่องจากวันหยุดของทางการถูกกำหนดไว้แล้ว นายท่านรองเจียงเดินทางไปที่หน่วยงานในวันนี้ นั่นหมายความว่าสำนักฮั่นหลินที่พี่เขยนางทำงานอยู่ก็คงไม่ได้หยุดเช่นกัน
เจียงอียิ้มออกมาด้วยความอ่อนหวานอย่างยากที่จะปกปิด “น้องสี่ เจ้าไม่รู้อะไร งานในสำนักฮั่นหลินนั้นสบายนัก พอดีกับวันนี้ที่พี่เขยของเจ้าไม่มีธุระอันใดต้องทำ เมื่อได้ยินว่าข้าจะเดินมาถวายเครื่องหอมที่วัดไป๋อวิ๋น เขาจึงได้ลางานกับหัวหน้าและเดินทางมาเป็นเพื่อนข้า”
“พี่เขยช่างดีกับพี่เสียจริง”
“น้องสี่นี่!” เจียงอีอดไม่ได้ที่จะอายหน้าแดงเรื่อ
เนื่องจากนางเดินทางมาถวายเครื่องหอมในครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อขอบุตร
เจียงอีแต่งเข้าไปในตระกูลจูได้สี่ปีแล้ว บัดนี้นางมีเพียงบุตรสาวคนเดียว ในยุคสมัยนี้หากมีบุตรชายจึงจะนับว่าดำรงตำแหน่งเป็นสะใภ้ในจวนได้อย่างมั่นคง หากจะบอกว่านางไม่มีแรงกดดันเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน ก็คือถึงแม้สามีจะตำหนิติเตียนนาง ทว่าสามีของนางก็คอยปกป้องนางเอาไว้อย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งในวันนี้ยังเดินทางมาถวายเครื่องหอมเป็นเพื่อนนางด้วย
เมื่อเห็นแววตาแห่งความสุขที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของเจียงอี แววตาของเจียงซื่อก็มืดมนลง
นางสัมผัสได้ถึงความสุขที่แท้จริงจากพี่สาวคนโตของนาง แต่ตัวนางอาจจะต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่างนี้ด้วยน้ำมือของตนเอง แต่ในไม่ช้าความลังเลใจในสายตาของเจียงซื่อก็ถูกความแน่วแน่เข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว หากว่าทุกสิ่งอย่างนี้เป็นเพียงภาพลวงตา ต่อให้ทำลายมันลงแล้วอย่างไรเล่า คงจะดีกว่าต้องให้พี่สาวของนางมาแบกรับความอัปยศอดสูจนกระทั่งถึงจุดจบของชีวิตเช่นนั้น
สายลมพัดโชยเย็นสบายมาพร้อมกับกลิ่นอันหอมกรุ่นของต้นหญ้า
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า เมฆกระจัดกระจายที่บนฟ้ารวมตัวทับซ้อนกัน ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปร่างต่างๆ
ช่วงฤดูนี้ไม่ได้ร้อนระอุเช่นฤดูร้อน แสงแดดสอดสองเข้ามาอย่างสดใส นำพาความอบอุ่นมาให้แก่ทุกสรรพสิ่ง แต่เจียงซื่อกลับรู้ว่าฝนกำลังจะตก อีกทั้งจะตกหนักด้วย
ทว่านางก็ไม่ได้เร่งรีบให้เจียงอีเดินทางกลับไป นางสนทนาถึงคนรอบข้างของเจียงอีขึ้นว่า “บ่าวรับใช้ข้างกายพี่ในวันนี้ดูเหมือนจะไม่คุ้นหน้า เหตุใดข้าจึงไม่เห็นอาเจินเล่า”
เจียงอีมีสาวรับใช้ข้างกายที่ติดตามออกไปจากจวนเจียงอยู่สองคน คนหนึ่งชื่ออาเจินอีกคนหนึ่งชื่ออาจู ตามปกติแล้วเวลาที่นางเดินทางออกไปข้างนอกก็จะพาพวกนางทั้งสองไปด้วย ทว่าในวันนี้เจียงซื่อกลับเห็นเพียงอาจูแค่คนเดียว ส่วนอาเจินถูกแทนที่ด้วยบ่าวรับใช้แปลกหน้าคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินเจียงซื่อเอ่ยถึงอาเจิน เจียงอีก็มีสีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่นัก “อาเจินป่วยจึงไม่ได้พานางออกมาข้างนอกด้วย”
เจียงซื่อหยุดฝีเท้าลง ดวงตาของนางมองไปทางเจียงอีอย่างไม่กะพริบ
ทำให้เจียงอีรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย “น้องสี่ เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม”
เจียงซื่อขมวดคิ้วเข้าหากันเบาๆ “ข้ารู้สึกว่าพี่ใหญ่มีเรื่องปิดบังข้าอยู่”
เจียงอียื่นมือออกไปจิ้มที่แก้มอันขาวผ่องของเจียงซื่อแล้วกล่าวว่า “เจ้านี่ อายุยังน้อยแต่ชอบคิดมากไปได้ แม้แต่บ่าวข้างกายข้าไม่ได้ติดตามมาก็เอ่ยถามให้มากความ”
เมื่อเจียงอีกล่าวเช่นนี้ เจียงซื่อก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเรื่องราวบางอย่างซ่อนเอาไว้ นางก้มหน้าก้มตาลง แววตาดูอ้างว้างแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่มักจะบอกว่าข้านั้นยังเด็ก ที่จริงปีนี้ข้าอายุสิบหกแล้ว ข้าจำได้ว่าตอนพี่อายุสิบหกปีก็แต่งเข้าไปในตระกูลจูแล้ว”
“น้องสี่” เจียงอีอึ้งจนพูดไม่ออก
เจียงซื่อจึงได้กล่าวต่อไปด้วยท่าทางน่าสงสารว่า “เมื่อตอนข้าอยู่สิบห้า ได้ยกเลิกการแต่งงานไปแล้วด้วยซ้ำ ที่จริงจะว่าไปประสบการณ์ชีวิตข้ามีมากกว่าพี่เสียอีก แต่พี่มักจะเห็นข้าเป็นเด็กเป็นเล็กอยู่ได้ หากคนอื่นรู้จะมองเป็นเรื่องตลกเอา”
เจียงอีตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นนางก็รู้สึกโศกเศร้า
นางเป็นพี่สาว นางมักจะรู้สึกว่าน้องชายและน้องสาวที่ได้รับความรักการคุ้มครองจากบิดามารดายังคงเป็นเด็ก แต่บัดนี้ความเป็นจริงบอกกับนางว่า ไม่มีใครจะเป็นเด็กไปตลอด บางทีเรื่องบางเรื่องนางอาจจะสนทนากับน้องสี่ได้ มิเช่นนั้นน้องสี่อาจจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย และต้องทนทุกข์ทรมานในอนาคต
เมื่อคิดเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว เจียงอีจึงไม่อยากจะปิดบังเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับอาเจินอีก ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกล่าวว่า “อาเจินมีความคิดที่ไม่ควรมีขึ้น จึงทำให้พี่เขยของเจ้าโมโหยิ่งนัก และส่งนางไปยังห้องตัดเย็บ”
“ความคิดที่ไม่ควรมีหรือ พี่หมายความว่า…”
เจียงอีอายหน้าแดงเรื่อ ก่อนจะเอ่ยต่อไปด้วยความอับอายว่า “ค่ำคืนหนึ่งขณะที่พี่เขยของเจ้ากำลังทำงานอยู่ในห้องหนังสือ นางยกน้ำซุปหวานไปให้เขา…”
“นางกล้ามีความคิดเช่นนี้กับพี่เขยได้อย่างไร!” ใบหน้าของเจียงซื่อโกรธยิ่งนักแต่ในใจนางกลับสงบนิ่ง อาจจะเป็นเพราะความน่าขยะแขยงของเจียงเชี่ยนสองสามีภรรยานั้น จึงทำให้เรื่องที่บ่าวรับใช้คนหนึ่งต้องการจะปีนขึ้นไปบนเตียงนายกลายเป็นเพียงเรื่องธรรมดา ไม่มีผลกระทบต่ออารมณ์ของนาง
“แล้วพี่เขยในตอนนั้น?”
เจียงอียิ้มอย่างเขินอาย “ในตอนนั้นพี่เขยของเจ้ารู้สึกหงุดหงิดมาก จึงได้พาอาเจินมาหาข้า ให้ข้าจัดการนาง เนื่องจากอาเจินมีความคิดเช่นนี้แล้ว จะให้ข้าเก็บนางไว้ข้างกายได้อย่างไร แต่กระนั้นนางก็เติบโตมาพร้อมกับข้า จะให้ข้าขับไล่ออกไปก็คงไม่ได้ ดังนั้นจึงให้นางไปทำงานที่ห้องตัดเย็บ หากไม่ได้พบหน้าก็คงจะไม่รู้สึกอย่างไร”
“แล้วบ่าวรับใช้ที่เดินทางมากับพี่ในวันนี้นามว่าอะไร นางแทนที่อาเจินได้หรือไม่”
“บ่าวที่เดินทางมากับข้าในวันนี้นามว่าอาหยา ข้าเองก็ยังไม่รู้เช่นกัน”
ดวงตาของเจียงซื่อแสดงถึงความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “อาหยาเป็นบ่าวรับใช้ในจวนจูใช่หรือไม่ การที่นางเข้าตาพี่ หมายความว่านางมีบางอย่างที่พิเศษ? หรือว่าพี่เคยมีบุญคุณกับนาง คิดว่านางน่าเชื่อถือหรือไม่”
เจียงอีดูตกตะลึงไปเล็กน้อย นางหัวเราะออกมาเบาๆ “น้องสี่กล่าวสิ่งใดอยู่ นั่นก็แค่สาวรับใช้ธรรมดา ข้าเพียงรู้สึกว่าตามปกติแล้วข้ารับสั่งสิ่งใดนางก็ทำตามได้ จึงได้ให้นางติดตามออกมาด้วย ข้าจะไปคิดมากทำไมกัน”
เจียงซื่อหัวเราะออกมาแหะๆ “ข้าก็เพียงเอ่ยถามไปเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้พบกับพี่ ข้าเพียงสนทนาไปเรื่อยเปื่อย เพื่อข้าจะมีความสุขตามไปด้วย”
เดิมทีนางคิดว่าการที่ได้เห็นบ่าวรับใช้หน้าตาไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นข้างกายพี่สาว อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง แต่มองดูแล้วนางคงคิดมากไปเอง
ประโยคของเจียงซื่อเมื่อครู่ทำให้เจียงอีรู้สึกผิดขึ้นมา นางจึงกล่าวขึ้นเสริมทันทีว่า “หากน้องสี่คิดถึงข้า จะไปหาข้าที่จวนจูเมื่อใดก็ได้”
“ดียิ่งนัก ข้าเองก็คิดถึงเยียนเยียนเช่นกัน ไว้วันหลังข้าจะไปหานาง”
เจียงอียิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ที่จริงวันนี้เยียนเยียนร้องจะตามข้าออกมาด้วย แต่ที่วัดอากาศค่อนข้างหนาวเย็นกว่าข้างนอก ข้าเกรงว่านางสภาพร่างกายจะรับไม่ไหวจึงไม่ได้ให้นางติดตามมา เจ้าเด็กน้อยจึงอารมณ์เสียหงุดหงิดใส่ข้า”
“พี่ใหญ่”
“หืม?”
เจียงซื่อตัดสินใจเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “พี่เคยช่วยใครเอาไว้หรือไม่” เจียงอีถูกถามเช่นนี้ก็รู้สึกมึนงง “น้องสี่เจ้าเป็นอะไรกัน วันนี้เอาแต่ถามคำถามแปลกๆ ต่อข้า”
“พี่ก็แค่ตอบข้ามาว่ามีหรือไม่”
เจียงอีรักและทะนุถนอมน้องสาวของตนยิ่งนัก ต่อให้นางรู้สึกว่าคำถามของเจียงซื่อดูไม่มีเหตุผล แต่นางก็ยังตอบกลับไปว่า “ตามปกติแล้วข้าก็อยู่แต่ในเรือนทั้งวัน จะให้ข้าทำตัวเป็นผู้ชอบธรรมกล้าหาญไปช่วยผู้ใดเล่า น้องสี่ เหตุใดเจ้าจึงได้ถามเช่นนี้”
เจียงซื่อจึงได้กล่าวสิ่งที่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าว่า “เมื่อไม่นานมานี้ข้าฝัน ในฝันนั้นพี่ได้พบกับงูตัวหนึ่งนอนหนาวอยู่ข้างทาง แต่หลังจากที่พี่ช่วยมันให้ได้รับความอบอุ่นแล้ว มันกลับแว้งกัดพี่ อีกทั้งยังเป็นงูมีพิษ…” เจียงซื่อกล่าวด้วยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที นางบีบมือของเจียงอีแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ความฝันนี้ทำให้ข้าหวาดกลัวเหลือเกิน”
เจียงอีจึงเข้ามาโอบและปลอบโยนนางว่า “เจ้ายังเป็นเด็กอยู่จริงๆ เพียงแค่ความฝันก็ทำให้เจ้ารู้สึกหวาดกลัวไปได้เช่นนี้”
ครืนนนนนน
ทันใดนั้นเองจู่ๆ ก็มีเสียงดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
ท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วง กลับเกิดฟ้าผ่าได้เสียอย่างนั้น