ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 303 ความคืบหน้า
ในชั่วอึดใจนั้น โลกทั้งโลกพลันเงียบสงัด
อวี้จิ่นจ้องเอ้อร์หนิวด้วยสายตาคมกริบ พลางคิดว่าหากเจียงซื่อไม่อยู่ด้วย เขาคงได้จับมันถลกหนัก
เอ้อร์หนิวส่ายหางไปมาไม่รู้ไม่ชี้
แล้วยังไง
เจียงซื่อกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ นางจิบน้ำหนึ่งอึกเพื่อปรับอารมณ์ให้เข้าที่
ก้นที่ถูกสุนัขตัวใหญ่งับปวดระบมอยู่ไม่น้อย อวี้จิ่นไม่มีหน้าจะอยู่ต่อจึงเอ่ยด้วยใบหน้าปั้นปึ่ง “อาซื่อ เจ้าออกไปไหนไม่ได้แล้วงั้นหรือ”
เจียงซื่อยิ้มอย่างไม่แยแสนัก “วันนี้เกิดเรื่องขึ้นที่จวน ท่านย่าจึงสั่งให้พวกข้าอยู่แต่ในจวนเพื่อความปลอดภัย หากจะไปไหนมาไหนจำต้องขออนุญาตจากท่านย่าเสียก่อน”
“งั้นข้าช่วยเจ้าคิดวิธีเอาไหม”
“ไม่เป็นไร วันนี้ท่านย่าเพิ่งออกคำสั่งเป็นวันแรก ถ้าผ่านไปสักสองวัน แล้วข้ามีเรื่องต้องออกไปนอกจวน ข้าก็มีวิธีของข้า”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้เจียงซื่อก็ชะงักไปชั่วครู่ หันไปมองอวี้จิ่นพลางบอก “ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องที่จวนปั๋วหรอก”
หากเรื่องเล็กน้อยในจวนนางยังจัดการเองไม่ได้ ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากคนนอก นางคงไม่ต้องคิดจะเปลี่ยนชะตาชีวิตของคนในครอบครัวตนเองแล้ว
“ไม่ต้องการให้ข้าช่วยจริงๆ งั้นหรือ”
“ไม่ต้องจริงๆ หากต้องการพบข้าก็หาวิธีบอกผ่านเหล่าฉินก็แล้วกัน ต่อไปอย่าได้ปีนกำแพงเข้ามากลางค่ำกลางคืนอีก เช่นนี้ใช้ไม่ได้เลย” เจียงซื่อเอ่ยระคนเผยยิ้ม สายตาหันไปมองเอ้อร์หนิวก่อนจะหยอกล้อ “มิเห็นหรือว่าขนาดเอ้อร์หนิวยังรับไม่ได้เลย”
อวี้จิ่นหน้าบึ้งตึง ขณะที่กำลังจะกลับ ชายหนุ่มดันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาพอดี
“อาซื่อ แม้ว่าจะอยู่ในบ้านของตัวเอง ดึกดื่นก็อย่าออกไปเดินเพ่นพ่าน เพราะวันนี้ข้าเห็นป้าคนหนึ่งท่าทางสติฟั่นเฟือนอยู่ในสวนบ้านเจ้า นางนั่งอมทุกข์อยู่ที่ริมสระ”
ป้าสติฟั่นเฟือน?
เจียงซื่อนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใดจึงรีบถาม “แล้วนางเห็นเจ้าหรือไม่”
“ดูเหมือนจะไม่ ข้าสับเข้าที่คอจนนางสลบไป” หญิงผู้นั้นเห็นเขาหรือไม่นั้น อวี้จิ่นไม่อาจตอบได้
เมื่อส่งอวี้จิ่นและเอ้อร์หนิวกลับไปแล้ว เจียงซื่อก็ยื่นอยู่ที่ริมหน้าต่างอยู่ครู่หนึ่ง
มือของนางสัมผัสบานกระจก หมอกควันมืดทะมึนในใจยังคงวนเวียนไม่จางหาย
อีกไม่นานก็จะย่างเข้าสู่ฤดูหนาว เจียงอี พี่สาวคนโตของนางก็จะจบชีวิตลงในวันที่หยดน้ำกลายเปลี่ยนเป็นน้ำค้างแข็ง
เมื่อพี่สาวของนางหย่าร้างและจบชีวิตลงอย่างน่าอัปยศ เว่ยซื่อ ฮูหยินแห่งอันกั๋วกง ซึ่งเป็นแม่สามีของนางไม่พอใจที่นางกลับไปร่วมงานศพที่จวน นั่นเป็นครั้งแรกที่นางเลือกที่จะทำสิ่งที่ขัดกับความต้องการของเว่ยซื่อ
เมื่อนางไปถึงจวนตงผิงปั๋วกลับกลายเป็นว่าที่นั่นไม่ความโศกเศร้าเลยแม้แต่น้อย เหล่าบ่าวรับใช้ในจวนยังคงทำตามหน้าที่ของตนเองเฉกเช่นทุกวัน ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ครั้นนางเดินไปถึงลานในเรือนที่พี่สาวเคยอยู่ก่อนที่จะออกเรือนไป นางถึงได้เห็นการไว้ทุกข์ที่มีอยู่เพียงน้อยนิด
ผู้เป็นบิดายืนนิ่งอยู่ใต้ต้นท้อกลางสวน มือของเขาเอื้อมไปลูบไล้ผิวขรุขระของลำต้น
ปกติเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ต้นท้อกลางลานในเรือนของพี่สาวจะออกดอกจนเต็มต้น เปล่งปลั่งดาษดา แต่ทว่าปีนี้กลับไร้ดอกบาน มีเพียงใบไม้แผ่นแผ่เกาะตามต้น ครั้นถึงยามนี้จึงเหลือแต่เพียงกิ่งเปล่า ซึ่งในภายภาคหน้าก็คงไร้ดอกไม่ต่างกัน
เนื่องจากพี่สาวของนางออกเรือนไปตั้งนานแล้ว เรือนหลังนี้จึงไร้ผู้อยู่อาศัย อีกทั้งไม่มีผู้ใดนึกได้ว่าจะต้องโค่นต้นไม้เก่านี้ทิ้ง ดูเหมือนว่าต้นไม้เก่ารากเน่าได้ส่งสัญญาณบอกใบ้ถึงความอัปมงคลในวันนี้
ในตอนนั้น นางอดคิดไม่ได้ว่า ลูกที่กำพร้าแม่ช่างน่าสงสาร หากมารดาของนางยังอยู่ และพี่สาวของนางออกเรือนไปหลายปีแล้ว หากรู้ว่ามีต้นท้อตายอยู่กลางเรือน มารดาของนางคงเรียกคนมาจัดการให้เรียบร้อย
นางไม่ได้กล่าวโทษผู้เป็นบิดา เพราะนางรู้ดีว่าการใส่ใจในรายละเอียดของชายหญิงแตกต่างกัน ในมุมของบุนุษที่แทบจะไม่เคยเฉียดกรายเข้ามาที่สวนด้านหลัง จะไปคาดหวังให้เขาจำได้ว่าต้องโค่นต้นไม้เก่าในเรือนของลูกสาวที่ออกเรือนไปแล้วได้อย่างไร
มาจนถึงตอนนี้ เยียนเยียนที่สูญเสียมารดาไปร้องไห้น้ำตาไหลพรากๆ เด็กตัวน้อยใบหน้าแดงก่ำ คร่ำครวญหาผู้เป็นมารดาจนแทบขาดใจ
เมื่อเห็นเยียนเยียนหลานสาวตัวน้อยร้องห่มร้องไห้ บิดาของนางก็ได้แต่ยืนมือไม้อ่อนอยู่ใต้ต้นท้อ ไม่กล้าเข้าไปปลอบใจหลานสาว
ในขณะนั้นนางรู้สึกโกรธเคืองเล็กน้อยจึงรีบเข้าไปกอดปลอบเด็กน้อย แต่เมื่อนางได้ผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาแล้ว นางถึงได้เข้าใจหัวอกของบิดาในขณะนั้น
คนที่สูญเสียภรรยาตั้งแต่ยังหนุ่ม ซ้ำร้ายในช่วงวัยกลางคนยังต้องมาฝังศพลูกสาวอีก เขาคงคิดว่าตนเองเป็นตัวอัปมงคล จึงกลัวว่าจะถ่ายทอดความโชคร้ายไปให้เยียนเยียนผู้เป็นหลานสาวด้วย
ไม่รู้ว่าอาหมานและอาเฉี่ยวแอบย่องเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
อาหมานกำลังเก็บกวาดถ้วยลายครามที่แตกเกลื่อนพื้น ส่วนอาเฉี่ยวก็เดินมาหยุดอยู่ที่ข้างหน้าต่าง และสวมเสื้อคลุมให้เจียงซื่อ
เจียงซื่อหลุดออกจากภวังค์ ใบหน้าของนางยังคงขาวซีดราวกับหิมะ
“คุณหนู ระวังเป็นหวัดนะเจ้าคะ” อาเฉี่ยวเอ่ยเสียงเบา พลางลอบถอนหายใจ
ช่วงหลายเดือนมานี้ จากที่นางเฝ้าดูอยู่ห่างๆ นางรู้สึกว่าคุณหนูดูแปลกไป สงสัยคงเป็นผลกระทบจากการถูกถอนหมั้น
เจียงซื่อประสานมือสองข้างเข้าด้วยกัน ปลายนิ้วเย็นเฉียบ นางค่อยๆ ก้าวเท้าทีละก้าวกลับไปที่เตียง
ในชาตินี้ นางจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่พี่สาวของนางจะไม่ต้องประสบชะตาทับซ้ำรอยเดิม หากหาคนที่คอยบงการอยู่เบื้องหลังไม่ได้… แววตาหญิงฉายแววเย็นเยียบเสียยิ่งกว่าแสงจันทร์ยามราตรี
ต้องฆ่าจูจื่ออวี้และจูเส้าชิงให้หมด จะได้ไม่ต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง
ตั้งแต่พี่สาวคนโตของนางออกเรือนไป นางก็ไม่เคยออกนอกประตูใหญ่หรือก้าวล่วงประตูสองเลยสักครั้ง ฉะนั้นคนที่จ้องจะเล่นงานพี่สาวของนางก็คงไม่พ้นคนพวกนี้
เจียงซื่อนอนอยู่บนเตียงนุ่มนิ่มพลางหลับตาลงเชื่องช้า
ค่ำคืนเงียบงันผ่านพ้นไป นางลืมตาขึ้นมาพบกับรุ่งอรุณของเช้าวันใหม่
อาหมานเข้ามาพร้อมกับข่าวคราวความคืบหน้าใหม่ตั้งแต่เช้าตรู่
“คุณหนูเจ้าคะ เมื่อเช้ามีบ่าวในจวนไปพบเซียวผอจื่อสลบเป็นตายอยู่ที่ริมสระ นางคิดว่าเซียวผอจื่อตายแล้วจึงตกใจกรีดร้องเสียงดัง พอคนในจวนไปถึงจึงลองปลุกนางดู คุณหนูเดาสิคะว่าพอนางตื่น นางเอ่ยว่าอย่างไร”
เมื่อคืนเจียงซื่อหลับสนิท เช้าวันนี้จึงมีพลังงานเต็มเปี่ยม สมองของนางปลอดโปร่งกว่าทุกๆ วัน ครั้นได้ยินน้ำเสียงหยอกเย้าของอาหมานจึงเอ่ยขึ้นว่า “รีบบอกมาเถอะน่า”
อาหมานแลบลิ้นพลางเอ่ยด้วยใบหน้าสดใส “เซียวผอจื่อแกบอกว่าเมื่อคืนแกนอนอยู่ในห้องดีๆ ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมานอนอยู่ริมสระได้ พอคนพวกนั้นได้ยินก็หน้าเสียกันเป็นแถว จนบัดนี้เรื่องนี้กระจายไปทั่วทั้งจวนแล้วว่า วิญญาณของหงเย่ว์ไม่ยอมไปสู่สุคติ ถึงได้มาพามารดาของนางออกไป กลายเป็นว่าตอนนี้ทั้งจวนกลัวกันขี้ขึ้นสมองเลยเจ้าค่ะ…”
เจียงซื่อรับฟังเงียบๆ และในที่สุดนางก็ได้ทราบแล้วว่าเมื่อคืนอวี้จิ่นบังเอิญพบใครเข้า
สำหรับนาง การมีข่าวลือเรื่องผีสางนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะอีกหน่อยนางคงได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ และไม่แน่ว่าแผนการของนางคงจะง่ายขึ้น
ในเมื่อมีเรื่องวิญญาณร้ายเช่นนี้แล้ว คงไม่มีผู้ใดกล้าออกมาเพ่นพ่านกลางค่ำกลางคืนอีกแล้ว
แล้วเรื่องก็เป็นไปตามที่คาด ทันทีที่เรื่องเซียวผอจื่อไปนอนสลบอยู่ริมสระถึงหูของเฝิงเหล่าฮูหยิน นางก็เป็นเดือดเป็นร้อนจึงเรียกเอ้อร์ไท่ไท่มาตำหนิ
ภายในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือน เซียวซื่อที่เคยเป็นท่านแม่ใหญ่ที่น่าภาคภูมิใจกลับกลายมาเป็นสะใภ้ที่นำมาแต่ความอัปยศอดสู เกรงว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้คงมีแต่นางเท่านั้นที่เข้าใจรสชาติขมขื่นนี้ได้ดีที่สุด
อีกทั้งการตายของหงเย่ว์ยังสร้างความหวาดกลัวให้นางอยู่ไม่น้อย เพราะตั้งแต่วันนั้นนางก็แทบไม่เป็นอันนอน
เรื่องราวผีสิงนี้ขับกล่อมให้คนในจวนตงผิงปั๋วตกอยู่ในภวังค์ของอาการหวาดผวา ประดุจว่ามีเงาทะมึนที่มองไม่เห็นกำลังปกคลุมจวนทั้งหลัง
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง เจียงซื่อได้รับข่าวความคืบหน้าจากอวี้จิ่นว่า หาตัวคนที่ไถ่ตัวอวี่เอ๋อร์พบแล้ว!
เจียงซื่อเกล้าผมมวยง่ามคู่แบบที่เห็นได้ทั่วไป และสวมชุดสาวรับใช้ของเรือนไห่ถัง เมื่อเห็นดังนั้น อาหมานจึงได้แต่ถามอย่างจนใจว่า “คุณหนูจะออกไปคนเดียวจริงๆ หรือเจ้าคะ”