ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 326 ความประทับใจที่ฝั่งลึก
ครั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถามเช่นนั้น เหล่าขุนนางก็ได้แต่มองกลับมาที่เขาด้วยแววตาประหลาดใจ
ฝ่าบาทตรัสถามกว้างอยู่หนา
โดยทั่วไปแล้ว สตรีที่จะมาเป็นภรรยาเก็บจะเป็นคนเช่นไรกัน โดยมากก็คงหนีไม่พ้นพวกบุตรีจากครอบครัวยาจก หาได้มีภูมิหลังวิเศษวิโส
เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือจะเก็บกวาดเรื่องนี้อย่างไรให้ไม่กระทบกับหน้าที่การงานของฝ่ายชาย ไม่มีผู้ใดมานั่งใส่ใจว่าหญิงผู้นั้นเป็นลูกเต้าเหล่าใคร
สายตาประหลาดใจของเหล่าธารกำนัลอาจมีความหมายว่า ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ลือกันว่าสตรีผู้นั้นสกุลชุย อีกทั้งการแต่งกายก็ละม้ายคล้ายคุณหนูใหญ่ หรือในทำนองเดียวกันอาจมีความหมายว่า สตรีผู้นั้นคือคุณหนูใหญ่ ธิดาขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง
แม้ว่าข่าวลือนี้อาจฟังดูพิลึกอยู่บ้าง ทว่าจวนสกุลจูและจวนตงผิงปั๋วต่างก็นิ่งเงียบไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ
หากปราศจากลมแล้วไซร้ หาใดจักมีคลื่นได้เล่า หรือว่านี่จะเป็นเรื่องจริง
แน่นอนว่าไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ควรเอ่ยถึงประวัติของฝ่ายหญิง
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองเหล่าขุนนางด้วยสายตาเย็นชาอย่างไม่รู้สึกรู้สา
ทำไมรึ ก็แค่สงสัยจะไม่ได้เลยหรืออย่างไร
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้รับคำตอบเพราะเหล่าขุนนางเอาแต่ปิดปากเงียบ จนฮ่องเต้ต้องยอมเลิกราไปทั้งที่ไม่สบอารมณ์นัก
เขากลับไปที่ห้องทรงพระอักษร และนั่งลงบนแท่นประทับลายมังกร ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้พิลึกสิ้นดี
อาการของตาเฒ่าพวกนั้นแปลกชอบกล
เพียรครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนขานเรียกขันที “พานไห่”
พานไห่รีบตอบรับ “กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องนี้ออกจะใหญ่โต คงมีคนรู้เรื่องอยู่ไม่น้อย เจ้าลองไปสืบมาที”
พานไห่เป็นขันทีที่มีหน้าที่เป็นสายตรวจลับในหน่วยตงฉั่ง[1] จึงใช้เวลาไม่นานก็ได้ข้อมูลกลับมารายงานด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ว่าอย่างไรบ้าง” ทั้งคู่อยู่ด้วยกันมาหลายปี ไม่เพียงแต่พานไห่ที่รู้จักฮ่องเต้เป็นอย่างดี ทว่าฮ่องเต้ก็ทรงรู้จักนิสัยใจคอของพานไห่เป็นอย่างดีเช่นกัน ครั้นเห็นอาการของขันทีคนสนิทก็ทราบได้ทันที
พานไห่นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะรายงานตามจริง “กราบทูลฝ่าบาท สตรีที่มาข้องเกี่ยวกับจูจื่ออวี้คือธิดาของชุยซวี่และองค์หญิงใหญ่หรงหยางพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงนิ่งไม่ตอบสนอง พานไห่จึงรีบเสริม “พระภาคิไนยของฝ่าบาทเองพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้แทบจะคว้าแท่นหินฝนหมึกมาทุบศีรษะพานไห่ให้รู้แล้วรู้รอด
ไอ้คนนี้ เห็นว่าเขาอายุมากแล้วเลยความจำไม่ดีหรืออย่างไร เขารู้อยู่แล้วว่าธิดาของหรงหยางก็คือหลานสาวของเขา!
จิ่งหมิงฮ่องเต้ลุกพรวด เรื่องราวที่ได้ทราบเมื่อครู่ทำให้เขาเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องนั้น แม้แต่กองหนังสือนิทานที่ซ่อนเอาไว้ก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไป
หนังสือพวกนั้นจะมีอะไรให้สนใจ ในเมื่อมีหลานสาวของประมุขผู้ทรงสง่าแอบคบหากับชายที่มีภรรยาอยู่แล้วทั้งคน
หากมีเรื่องเช่นนี้ในหนังสือที่อ่าน เขาคงหัวเราะเยาะเพราะความไร้สาระของเนื้อเรื่อง
“แน่ใจรึ” ใบหน้าเก็บอาการไม่อยู่ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถามขึ้น
พานไห่ก้มหน้า “องค์หญิงใหญ่หรงหยางเสด็จไปที่จวนจูด้วยพระองค์เอง และให้คนจากตำหนักฉือหนิงไปที่จวนตงผิงปั๋วพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถามด้วยความสงสัยอีกครั้ง “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับจวนตงผิงปั๋ว”
หมู่นี้ชื่อของจวนตงผิงปั๋วแว่วเข้ามาในหูอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขารู้สึกประทับใจจวนปั๋วที่แสนจะธรรมดา เขาจำได้แม้กระทั่งคุณหนูสี่แห่งจวนปั๋วที่เขาเคยมอบหยกสมปรารถนาให้แก่นาง
ไม่รู้ว่าเด็กนั่นออกเรือนไปหรือยัง… จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกว่าตนกำลังคิดเตลิดไปไกลจึงรีบกลบเกลื่อน
ใบหน้าของพานไห่ที่กล่าวถึงจวนตงผิงปั๋วก็ดูแปลกประหลาดไม่ต่างกัน “กราบทูลฝ่าบาท ภรรยาของจูจื่ออวี้ก็คือคุณหนูใหญ่แห่งจวนตงผิงปั๋ว ครั้นเกิดเรื่องตงผิงปั๋วจึงพาบุตรสาวกลับไปอยู่ที่จวนพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเสด็จไปที่ตำหนักฉือหนิง
คนเราเมื่อแก่ตัวลงก็มักจะเริ่มหวาดหวั่นต่ออากาศหนาว ทันทีที่เห็นว่าอากาศเริ่มเย็นลง ไทเฮาจึงขลุกตัวอยู่แต่ในตำหนักที่มีเปลวเพลิงค่อยให้ความอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา
โดยปกติแล้ว นางมักจะเพลิดเพลินไปกับการฟังงิ้ว คัดบทสวดจากคัมภีร์ หรือบางครั้งก็เสวยผลไม้สด วันแต่ละวันผ่านไปอย่างเกษมสำราญ ทว่าในวันนี้อารมณ์ของนางเหมือนจมอยู่ในช่วงวันเวลาที่แสนอึมครึม ทรงเป็นทุกข์ใจอยู่ไม่น้อย
“ฮ่องเต้เสด็จ…”
เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ดวงตาของไทเฮาที่ปิดอยู่ก็พลันเบิกกว้างขึ้นทันที
จิ่งหมิงฮ่องเต้สาวเท้าก้าวใหญ่เข้ามา
“เสด็จแม่กำลังพักผ่อนอยู่หรือ”
ไทเฮาปรับอารมณ์ให้เข้าที่พลางตรัสด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทนั่งก่อนเถิด”
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งลงข้างไทเฮาก่อนจะหยิบพรมผืนบางขึ้นคลุมเข่าของนาง
แม้ในตำหนักจะอบอุ่นราวกับเป็นฤดูใบไม้ผลิ แต่ครั้นถึงฤดูหนาว เข่าของนางจะรู้สึกมากเป็นพิเศษ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทรงจำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ
ในตอนที่เขายังเป็นเพียงองค์ชาย เขาเคยถูกสนมใส่ร้ายจนเป็นเหตุให้เสด็จพ่อทรงพระพิโรธ และมีรับสั่งให้ไปนั่งคุกเข่าบนพื้นหิมะเป็นการลงโทษ
ครั้นไทเฮาทรงทราบเรื่องก็รีบมาคุกเข่าอยู่ข้างๆ เพื่อวิงวอนให้เสด็จพ่อพระราชทานอภัย เวลาผ่านไปนานกว่าหนึ่งชั่วยาม และในที่สุดเสด็จพ่อก็ทรงเปลี่ยนพระทัย
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ไทเฮาจึงมีปัญหาเกี่ยวกับขารุมเร้ามาโดยตลอด
จิ่งหมิงฮ่องเต้หวนคิดถึงถึงเรื่องนี้แล้วก็กลืนคำถามที่ตั้งใจมาถามลงคอไปเงียบๆ เขาเพียงแต่เอื้อมมือไปนวดขาให้ไทเฮาอย่างเบามือ
“ฝ่าบาทเสด็จมาถึงนี่ด้วยเหตุอันใดหรือ”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเพียงแต่คิดถึงเสด็จแม่เท่านั้น”
ไทเฮาได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วขึ้น มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่หางตาของนาง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้รับสั่งสิ่งใด เพียงแต่ประทับเป็นเพื่อนไทเฮาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงขอตัวกลับ
ครั้นฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้ว คิ้วของไทเฮาก็ขมวดกันยุ่ง ใบหน้าของนางหม่นลงทันที
คนเป็นมารดาย่อมรู้จักบุตรของตนเป็นอย่างดี แม้ว่าฝ่าบาทจะมิได้เกิดจากนาง แต่นางก็เลี้ยงดูเขามาตั้งแต่ยังเล็ก จู่ๆ ก็เสด็จมาหาถึงตำหนัก แต่จากไปโดยไม่ตรัสสั่งอะไร ก็ย่อมรับรู้ได้ว่ามีเรื่องคาใจบางอย่าง
ไทเฮาเพียรคิดหาเหตุผล
ฝ่าบาทคงได้ทราบเรื่องหมิงเย่ว์แล้วเป็นแน่!
ครั้นนึกถึงชุยหมิงเย่ว์ พระพักตร์ของไทเฮาก็พลันเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกทันที
เด็กคนนี้ช่างอาจหาญเสียจริง บังอาจทำให้นางต้องผิดหวัง!
“ไทเฮา องค์หญิงใหญ่หรงหยางและคุณหนูใหญ่มาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
ไทเฮายกมือขึ้นพลางตอบด้วยน้ำเสียเย็นชา “ให้พวกนางกลับไป”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเข้าวังมาแต่ละครั้งไม่เคยต้องขออนุญาต ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกไทเฮาปฏิเสธการเข้าเฝ้า
เมื่อกลับไปถึงจวน องค์หญิงใหญ่ก็ปะทุออกมาทันที นางขว้างถ้วยชาใส่ชุยหมิงเย่ว์อย่างเดือดดาลพลางตวาด “ดูเรื่องงามหน้าที่เจ้าทำ!”
โชคดีที่ถ้วยนั้นเป็นถ้วยเปล่า จึงไม่มีน้ำชาเปรอะเปื้อนตามตัวของนาง
ชุยหมิงเย่ว์ทนต่อความเจ็บนั้น พลางร้องไห้ออกมาด้วยความคับข้องใจ “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้วเจ้าค่ะ แต่เสด็จยายไม่ต้องการพบหน้าลูกอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางจ้องมองใบหน้าลูกสาวอย่างขมขื่น “เจ้าทำเรื่องฉาวเพียงนี้ เจ้ายังหวังว่าเสด็จยายจะทะนุถนอมเจ้าอย่างไข่มุกในมืออยู่อีกหรือ ต่อไปนี้เจ้าต้องอยู่แต่ในจวนเท่านั้น อย่าได้ออกไปสร้างเรื่องขายหน้าอีก!”
ชุยหมิงเย่ว์ขบริมฝีปากแน่น มาถึงตอนนี้นางเพิ่งรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป
รู้อย่างนี้ สู้นางคอยบงการอยู่เบื้องหลังอย่างตอนที่แนะนำให้หยางเซิ่งไฉรู้จักกับเจียงจั้นยังดีเสียกว่า ดีกว่าการลงมือเองเป็นไหนๆ
“ลูกตาบอดไปเอง ผู้ใดจะคาดคิดว่าบุรุษที่ดูสุภาพพึ่งพาได้จะเป็นคนหลอกลวง…”
ทันใดนั้น ดวงตาของผู้เป็นมารดาก็ฉายแววเย็นเยือก เมื่อลองนึกถึงชะตากรรมที่จวนจูต้องประสบแล้ว นางถึงได้ระงับความโกรธในใจเอาไว้
ในยามนี้ หลังจากได้รับราชโองการ จวนจูทั้งหลังก็ตกอยู่ในเมฆหมอกแห่งความเศร้าโศก
ครั้นจูจื่ออวี้ได้ทราบถึงราชโองการที่ว่า ‘จูจื่ออวี้จะไม่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งไปชั่วชีวิต’ เขาก็เป็นลมหมดสติไปทันที อาการของเขาคล้ายกับปลาที่นอนตายตากแดดอยู่บนบก ส่งกลิ่นคละคลุ้ง น่าขยะแขยง
ไม่มีผู้ใดเข้าไปพยุงร่างของชายหนุ่ม
ส่วนอาการเจ็บหน้าอกของจูฮูหยินก็กำเริบหนักจนนางล้มพับลงไปเช่นกัน สาวรับใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์จึงต้องเรียกให้คนมาช่วย
จูเส้าชิงเดินโซเซไปที่หน้าจูจื่ออวี้ด้วยอาการสิ้นหวัง และเตะลูกชายอย่างเต็มแรง
ถูกลดตำแหน่งถึงสองขั้น บวกกับลูกชายคนโตอนาคตดับวูบ จวนจูคงได้กลายเป็นตัวตลกประจำเมืองหลวงเป็นแน่…
เขาทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ถึงได้มีบุตรไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้!
———————
[1]ตงฉั่ง คือ หน่วยงานที่ให้ขันทีมีอำนาจในการตรวจสอบทั้งขุนนางและราษฎรว่ามีผู้ใดที่มีข้ออันพึงสงสัยได้ว่าจะเป็นผู้ที่เตรียมก่อการกบฏ