ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 331 เหมือนฝัน
เด็กหญิงผิวพรรณขาวผ่องดุจรูปปั้นหยก ดวงตากลมโตดั่งผลองุ่น ยืนมือออกไปทางอวี้จิ่นแล้วใช้น้ำเสียงอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเรียกเขาว่าพี่ชาย แต่นางหาได้รู้ไม่ว่าสองคำนี้โจมตีจิตใจของอวี้จิ่นมาก
นางเรียกอาซื่อว่าท่านน้า แต่กลับเรียกตนว่าพี่ชาย
การแบ่งรุ่นอายุเช่นนี้ไม่ถูกต้อง!
อวี้จิ่นชักสีหน้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เรียกข้าว่าอา!”
“พี่ชาย”
“เรียกข้าว่าอา!”
“พี่ชาย”
“เรียกอา!”
“แง!”
เจียงซื่อที่อุ้มหลานสาวซึ่งบัดนี้ร้องไห้เสียงดังจ้าทำสีหน้าไม่พอใจ “เจ้าจะต้องเอาชนะเด็กสามขวบให้ได้เชียวหรือ”
จู่ๆ นางก็นึกถึงเมื่อชาติที่แล้ว หลังจากที่นางแต่งงานกับเขาในเช้าของวันหนึ่ง
ทั้งสองคนนอนเล่นอยู่บนเตียง แต่รอบเดือนของนางมาช้าไปหลายวันแล้ว จึงได้เอ่ยถึงเรื่องของการตั้งครรภ์ขึ้น
ในตอนนั้น เขาเอื้อมมือมาลูบคลำไปที่ท้องน้อยนางแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “หากจะมีลูก ข้าคิดว่ามีลูกสาวดีกว่า ถ้ามีลูกชาย ข้าเพียงจินตนาการว่าเขาจะใช้เวลาร่วมกับเจ้ามากกว่าข้า เท่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะฟาดเขาแล้ว…”
เป็นอย่างไรเล่า บัดนี้นางแน่ใจว่าต่อให้มีลูกสาว ตาคนนี้ก็ไม่ได้อดทนสักเท่าไร
ไม่ใช่สิ จู่ๆ นางจะคิดถึงเรื่องในอนาคตอันแสนไกลเช่นนี้ทำไมกัน
หน้าเจียงซื่อร้อนผ่าว นางรีบดึงสติกลับคืนมา
“ให้ข้าอุ้มเอง” เจียงจั้นเอื้อมมือมารับเยียนเยียนแล้วเดินออกจากจวนจู จากนั้นส่งเจียงซื่อและเยียนเยียนขึ้นรถม้าไป
รถม้ามุ่งหน้าตรงไปที่จวนตงผิงปั๋วอย่างไม่ได้รีบร้อน อวี้จิ่นและเจียงจั้นขี่ม้านำไปอยู่ด้านหน้า
เมื่อผ่านทางเลี้ยวโค้งไป เจียงจั้นก็ได้เอ่ยเตือนขึ้นว่า “พี่อวี๋ชี ศาลาว่าการอยู่ทางนั้น”
อวี้จิ่นนั่งอยู่บนรถม้าทำท่าทางสงบนิ่งกล่าวว่า “ใต้เท้าเจินได้กำชับข้าให้ช่วยพาหลานสาวแห่งจวนปั๋วกลับบ้าน แน่นอนว่าข้าต้องพานางไปส่งให้ถึงบ้าน”
“พี่อวี๋ชีช่างมีความรับผิดชอบยิ่งนัก” เจียงจั้นเอ่ยชม จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“น้องเจียงเอ้อร์มีเรื่องไม่สบายใจหรือ”
เจียงจั้นมองไปทางอวี้จิ่น แววตาของเขาแฝงไปด้วยความเสียดาย
อวี้จิ่นอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน “หากว่าน้องเจียงเอ้อร์พบกับปัญหาใด ลองกล่าวกับข้ามา หากว่าข้าช่วยได้แน่นอนว่าข้าจะช่วยอย่างสุดกำลัง”
เจียงจั้นยิ่งรู้สึกเสียดายเข้าไปกว่าเดิม
ดูสิ พี่อวี๋ชีเป็นคนดีถึงเพียงนี้ แต่น้องสี่กลับพนันกับท่านย่าเอาไว้…
“ไม่มีอะไรหรอก” ท้ายที่สุดแล้วเจียงจั้นก็ไม่ได้เอ่ยเรื่องนั้นออกมา
ช่างเถอะ ตัวเขาเองยังไม่อาจแก้ไขปัญหาเรื่องเหล่านี้ได้ แล้วจะบอกออกไปให้พี่อวี๋ชีไม่สบายใจทำไมกัน
อวี้จิ่นเหลือบมองไปยังรถม้าที่อยู่ด้านหลัง
หรือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาซื่อกัน
เอาเถอะ ในเมื่อเจียงจั้นไม่อยากบอก ประเดี๋ยวข้าไปถามอาซื่อเอาก็ได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ ริมฝีปากของเขาก็เผยอยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ในที่สุดก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะข้ามกำแพงไปสนทนากับนางแล้ว
ภายในรถม้า เยียนเยียนนอนหลับอยู่ในอ้อมอกของเจียงซื่อ บัดนี้มีเพียงเสียงล้อรถม้าที่เสียดสีกันไปมา
เจียงซื่อจึงเอื้อมมือเปิดมุมผ้าม่านขึ้นดู แล้วมองออกไปด้านนอก
พบว่าด้านหน้ามีชายหนุ่มรูปร่างกำยำสองคนเคียงคู่กันไป ภาพนี้นางคุ้นเคยยิ่งนัก
คนหนึ่งคือพี่ชายคนโตของนาง อีกคนหนึ่งคือชายหนุ่มในดวงใจ
ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว นางควรจะหาโอกาสสนทนากับเขา…
คนที่อยู่ด้านหน้าหันหลังกลับมาหากะทันหัน ทำให้สายตาของทั้งสองคนสบประสานกันโดยบังเอิญ
เจียงซื่อยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
อวี้จิ่นรีบหันศีรษะกลับไป หัวใจของเขาเต้นดังโครมคราม มันยุ่งเหยิงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
แม้แต่อาซื่อยังไม่หวั่นไหวเลย แล้วตนจะไปหวั่นไหวทำไม
เขามีพ่อตาในอนาคตและพี่ชายภรรยาคอยช่วยเหลืออยู่ไม่ใช่หรือ เขาไม่กลัวหรอก
“เสี่ยวอวี๋”
อวี้จิ่นสะดุ้งเล็กน้อยจนเกือบจะพลัดตกลงจากหลังม้า ก่อนจะจัดการกับความคิดอันยุ่งเหยิงแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านลุงมีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
เมื่อทำเรื่องหย่าร้างและพาหลานสาวกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว บัดนี้เจียงอันเฉิงจึงอารมณ์ดียิ่งนัก เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ในเมื่อเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ก็เข้ามาดื่มน้ำชาสักถ้วยสิ ข้าจะได้ถือโอกาสสนทนากับเจ้าด้วย”
“เช่นนั้นหลานต้องขอรบกวนด้วยขอรับ”
เมื่อเข้าไปยังจวนตงผิงปั๋ว เจียงอันเฉิงก็ได้สั่งให้เจียงจั้นนั่งเป็นเพื่อนกับอวี้จิ่น ก่อนจะพาเจียงซื่อและเยียนเยียนไปคารวะเฝิงเหล่าฮูหยินที่เรือนฉือซิน
“เหล่าฮูหยินเจ้าคะ นายท่านใหญ่กับคุณหนูสี่มาแล้วเจ้าค่ะ”
เฝิงเหล่าฮูหยินลืมตาขึ้น “พาเด็กกลับมาด้วยหรือไม่”
“พากลับมาด้วยเจ้าค่ะ คุณหนูสี่อุ้มรออยู่ด้านนอก”
สำหรับเฝิงเหล่าฮูหยินแล้ว เยียนเยียนไม่ได้มีความหมายกับนางเท่าไรนัก หากเห็นหน้าจะพาให้อารมณ์เสียมากกว่า นางจึงได้กล่าวเบาๆ ว่า “เรียกให้นายท่านใหญ่เข้ามาก็พอแล้ว”
อาฝูรับคำแล้วกำลังจะเดินจากไป แต่เฝิงเหล่าฮูหยินได้เอ่ยเรียกเอาไว้ว่า “ช้าก่อน”
อาฝูหยุดฝีเท้าลง รอให้เฝิงเหล่าฮูหยินออกคำสั่ง
“ให้นายท่านใหญ่และคุณหนูสี่เข้ามาพร้อมกัน”
อาฝูจึงเดินออกไปข้างนอกแล้วส่งต่อคำสั่งของเฝิงเหล่าฮูหยิน ”เหล่าฮูหยินเชิญนายท่านใหญ่และคุณหนูสี่เข้าไปข้างในเจ้าค่ะ”
เมื่อพบว่าเจียงซื่ออุ้มเยียนเยียนเดินเข้าไปข้างในด้วย อาฝูก็รีบกล่าวขึ้นว่า “เหล่าฮูหยินกำชับบ่าวไว้ว่าให้บ่าวอุ้มคุณหนูเยียนเยียนไปส่งที่ต้ากูไหน่ไนก่อนเจ้าค่ะ”
เมื่อเจียงซื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของนางก็มืดมนลงทันใด
ท่านย่าไม่ต้องการแม้แต่จะเห็นหน้าเยียนเยียนเสียด้วยซ้ำ จากนี้ในอนาคต ทั้งพี่สาวนางและเยียนเยียนชีวิตคงจะไม่ราบรื่นเท่าไรนักในจวนปั๋ว
และคนที่มีอำนาจใหญ่สุดในจวนปั๋วก็คือเฝิงเหล่าฮูหยิน การที่ผู้มีอำนาจในจวนมีท่าทางเช่นนี้ต่อสองแม่ลูก ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ในจวนด้วย
“เยียนเยียนกลัวคนแปลกหน้า ให้ข้าอุ้มนางไปส่งให้แก่พี่สาวข้าเองเถิด” เมื่อเจียงซื่อกล่าวจบ นางก็ไม่ได้สนใจสีหน้าท่าทางของอาฝู นางอุ้มเยียนเยียนเข้าไปในเรือนไห่ถัง
ในเมื่อท่านย่าไม่อยากเจอเยียนเยียน นางก็ยิ่งต้องยืนกรานทัศนคติของตนเองออกมา ให้บรรดาพวกที่คิดว่าตนเองสูงส่งและชอบเหยียบย่ำคนอื่นรู้ว่าต่อจากนี้หากใครกล้ารังแกหรือเหยียบย่ำสองแม่ลูก นางก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน
เฝิงเหล่าฮูหยินพบว่ามีเพียงเจียงอันเฉิงที่เดินเข้ามา นางจึงเอ่ยถามว่า “หนูสี่เล่า”
“นางส่งเยียนเยียนกลับไปที่เรือนไห่ถังขอรับ”
“เจ้าเด็กนี่ยังเห็นว่าข้าเป็นย่าของนางอยู่หรือไม่!” เฝิงเหล่าฮูหยินโมโหขึ้นมาแล้วใช้ไม้เท้ากระทุ้งไปที่พื้นอย่างแรง
“ท่านแม่อย่าได้โมโหไป เยียนเยียนอายุยังน้อยเหลือเกิน นางกลัวคนแปลกหน้า”
“ไปเชิญคุณหนูสี่กลับมาให้ข้า!” เฝิงเหล่าฮูหยินเน้นย้ำคำว่า ‘เชิญ’ ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ฤดูหนาวในเรือนไห่ถัง เยียนเยียนโผล่ศีรษะน้อยๆ ของนางออกมาจากผ้าคลุมแล้วมองไปทางรอบด้านด้วยท่าทางสงสัย
นับแต่เจียงอีออกเรือนไป นางกลับมาที่จวนบ้านเกิดแทบนับครั้งได้ ทำให้เยียนเยียนที่อายุได้เพียงสามปีรู้สึกแปลกหน้าและไม่คุ้นเคยกับที่นี่เอาเสียเลย
“น้าเล็ก นี่คือที่ที่ท่านอาศัยอยู่หรือ”
“ใช่แล้ว น้าอาศัยอยู่ที่นี่ เยียนเยียนเห็นต้นไม้นั่นหรือไม่ นั่นเรียกว่าต้นไห่ถัง เมื่อถึงฤดูร้อนมันจะผลิดอกออกบานงดงามยิ่ง…”
“ท่านแม่ของข้าเล่า” การพรรณนาถึงความงดงามเหล่านี้ สำหรับเจ้าหนูแล้วไม่น่าดึงดูดเท่ากับการที่ไม่ได้เห็นมารดาตนเลย
“ต้ากูไหน่ไน ระวังที่เท้าด้วยเจ้าคะ”
เจียงอีตะเกียกตะกายออกมาจากปากประตู
“ท่านแม่!” เยียนเยียนพยายามดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของเจียงซื่อ
เจียงอีพุ่งตรงออกไปรับเยียนเยียนเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ราวกับว่านางกำลังกอดสมบัติล้ำค่าที่สูญหายไปนาน
เจียงซื่อยืนอยู่ด้านข้างและอมยิ้มเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปสักพัก เจียงอีจึงได้เช็ดน้ำตาของตนแล้วก้มหน้ามองบุตรสาวในอ้อมกอด ก่อนหันไปถามเจียงซื่อว่า “จู… จูจื่ออวี้ยินยอมที่จะหย่ากับข้าแล้วหรือ”
ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนาน แต่การตัดสัมพันธ์กลับทำได้ง่ายดายเหลือเกิน
เจียงอีไม่กล้าที่จะจินตนาการไปถึงวันที่จูจื่ออวี้พยายามอ้อนวอนร้องขอบิดามารดาของเขาและบิดาของตนให้เห็นด้วยกับการแต่งงานของทั้งสอง เพียงแค่หวนระลึกถึงก็ช่างเจ็บปวดใจยิ่งนัก ราวกับมีธนูพันดอกปักลงกลางอก
เจียงซื่อนิ่งลงชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวออกมาตามความจริงว่า “มิใช่เพียงหย่าร้าง แต่เป็นการตัดขาดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด ทางศาลตัดสินให้เยียนเยียนอยู่ในความดูแลของพี่ นับจากนี้ไปจะไม่เกี่ยวข้องกับจวนจูอีก”
“ตัดขาดความสัมพันธ์?” เจียงอีอุทานออกมาเสียงหลง ใบหน้าของนางดูเหลือเชื่อ
เจียงซื่อเอื้อมมือไปโอบนางแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ เราเข้าไปสนทนากันด้านในเถิด”
เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่เจียงซื่อเล่าให้ฟังแล้ว เจียงอีก็ตกอยู่ในความคิดเนิ่นนาน
“พี่ใหญ่”
เจียงอีหัวเราะออกมาจากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา แต่ยิ่งซับก็ยิ่งไหลริน
“พี่ใหญ่”
“ตัดความสัมพันธ์ก็ดีแล้ว ดีแล้ว…”
นางสร้างความวุ่นวายให้กับคนในตระกูลมากมาย แต่ยังสามารถอยู่ดูแลบุตรสาวซึ่งเติบโตขึ้นในทุกวันได้ จะมีสิ่งใดอีกเล่าที่นางรู้สึกไม่พอใจ
ส่วนเรื่องจูจื่ออวี้ ชายหนุ่มผู้ที่นำพาทั้งฝันร้ายและฝันดีมาสู่นาง…ก็ลืมมันไปเสียเถิด