ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 344 การอภิเษกขององค์ชาย
เป็นเวลานานมาแล้วที่ในวังหลังไม่มีพระสนมใหม่เข้ามา ดังนั้นเหล่านางสนมจึงไม่มีอะไรให้น่ามอง แต่บรรดาโอรสอีกทั้งสะใภ้ และบรรดาองค์หญิงเหล่านี้ แต่ละปีไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมารวมตัวกันพร้อมครบเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้โอกาสนี้มองให้เนิ่นนานสักหน่อย ไม่เช่นนั้นอาจจะจำไม่ได้
จะทำอย่างไรได้เล่า การที่มีบุตรธิดามากก็นับว่าเป็นปัญหาเช่นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์หญิง เขามีธิดามากถึงยี่สิบหกองค์ ต่อให้มีความทรงจำที่ดีสักเพียงใดก็คงจะจำไม่ได้ครบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เพียงแค่มองดูบรรดาองค์หญิงก็รู้สึกวิงเวียน
หากไม่นับรวมบรรดาองค์หญิงที่อภิเษกแล้ว ในราชวังยังมีองค์หญิงที่ไม่ได้อภิเษกอยู่ถึงสิบกว่าองค์ ในงานเลี้ยงเช่นนี้พวกนางสวมใส่ชุดของพระราชวังซึ่งเหมือนกัน และทำผมทรงเดียวกัน มองไปรูปลักษณ์ไม่ต่างกันมากนัก พวกนางตั้งใจทำเช่นนี้ให้เขาตาลายหรือ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบพระพักตร์ไปมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะละสายตากลับมาอย่างเบื่อหน่าย
โชคดีเหลือเกินที่ตามปกติแล้วบรรดาองค์หญิงไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าพระพักตร์สักเท่าไร จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จำโอรสและเหล่าสะใภ้ได้ก็เป็นพอ
จิ่งหมิงฮ่องเต้จิบสุราเข้าไปก่อนจะทอดพระเนตรไปยังด้านล่าง
ในแถวแรกคือองค์รัชทายาทและชายาองค์รัชทายาท จากนั้นก็เป็นองค์ชายใหญ่ฉินอ๋องและพระชายาของเขา องค์ชายสามจิ้นอ๋องและพระชายา องค์ชายสี่ฉีอ๋องและพระชายา องค์ชายห้าหลู่อ๋องและพระชายา องค์ชายหกสู่อ๋อง องค์ชายแปดเซียงอ๋อง…ช้าก่อน ดูเหมือนจะหายไปคนหนึ่ง?
จิ่งหมิงฮ่องเต้นั่งนับอยู่ในใจเงียบๆ ก่อนจะตระหนักขึ้นว่าเจ้าเจ็ดหายไป!
ดังนั้นจึงได้ทอดพระเนตรไปทางซ้ายขวา และพบอวี้จิ่นอยู่ในมุมหนึ่ง
ข้างกายเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของนางสนม หรือเสียงกระซิบกระซาบของธิดา บางคราก็พบว่าองค์ชายและพระชายาสบตากันโดยบังเอิญ บางคราก็เห็นดวงตาอันห่วงใยของสนมที่มีต่อโอรสของตนซึ่งอบอุ่นยิ่งนัก มีเพียงชายหนุ่มรูปงามผู้เดียวที่นั่งอยู่ในมุมเงียบและดื่มสุราเพียงลำพัง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดขึ้นมา นี่ก็คือโอรสของเขาเช่นกัน หากจะกล่าวถึงด้านพฤติกรรมต่อให้เติบโตมาในชนบทก็ไม่ได้แย่ไปกว่าองค์ชายคนอื่น แต่เหตุใดจึงน่าสงสารเช่นนี้
เสด็จแม่ของเจ้าเจ็ดคือผู้ใดกันนะ?
จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดแล้วมองไปทางเสียนเฟย ในวังไม่เคยขาดแคลนสาวงามจริงๆ ต่อให้เสียนเฟยให้กำเนิดองค์ชายถึงสององค์ แต่วัยของเสียนเฟยนั้นมองดูแล้วก็ยังสดใสยิ่งนัก
ทันใดนั้นพระชายาฉีอ๋องก็ได้ขยับเข้าไปข้างกายเสียนเฟย ไม่รู้ว่าสนทนาเรื่องใดกัน จากนั้นเสียนเฟยก็สดับฟังด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปทางฉีอ๋องที่อยู่ไม่ไกลนักแล้วยิ้มขึ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน
เจ้าสี่มีภรรยาแล้ว ในฐานะมารดา นางจะทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด แต่เจ้าเจ็ดบัดนี้กลับนั่งโดดเดี่ยวอยู่ในมุมห้องเพียงลำพัง ไม่เห็นว่าเสด็จแม่ของเขาจะเข้าไปห่วงใยสักเล็กน้อย
ดูเหมือนเสียนเฟยจะสัมผัสได้ นางจึงชำเลืองมองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้กระแอมอยู่ในลำคอก่อนจะตรัสถามว่า “สนทนาเรื่องใดกับสะใภ้สี่อยู่หรือ ดูท่าทางมีความสุขยิ่งนัก”
เสียนเฟยคาดไม่ถึงว่าท่ามกลางผู้คนมากมายในห้องโถง ฝ่าบาทจะสังเกตเพียงแค่นาง จึงได้รู้สึกปลาบปลื้มใจและภูมิใจยิ่งนัก ก่อนจะยิ้มแล้วทูลกลับว่า “หม่อมฉันได้ยินสะใภ้สี่กล่าวถึงย่วนเจี่ยเอ๋อร์เพคะ ฝ่าบาททรงดูสิเพคะ นี่คือผ้าเช็ดหน้าที่ย่วนเจี่ยเอ๋อร์ปักลายด้วยตนเอง นางเพิ่งจะอายุห้าหกปีแต่ปักได้งดงามยิ่งนัก”
“เช่นนั้นหรือ ขอข้าดูสักหน่อย”
จากนั้นนางในก็ได้นำผ้าเช็ดหน้าจากมือของเสียนเฟยรับไปถวายต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองมอง พบว่าบนผ้าเช็ดหน้านั้น มีการปักลายกล้วยไม้กลุ่มหนึ่งและนกที่ดูแปลกประหลาดเกาะอยู่บนกล้วยไม้บานสะพรั่ง
“นี่คือนกอะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้ตรัสถามขึ้น เนื่องจากเป็นผลงานของหลานสาว ไม่ว่าจะงดงามหรือไม่ ก็ต้องแสดงท่าทีให้ความสำคัญออกมาเสมอ
สีหน้าของเสียนเฟยบิดเบี้ยวเล็กน้อย ภายใต้แววตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่รอคอยคำตอบ นางกัดฟันแล้วทูลว่า “นี่คือผีเสื้อเพคะ”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังลั่น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยกมือขึ้นแตะจมูกเนื่องด้วยรู้สึกเขินอาย ก่อนจะหันพระพักตร์ไปทางเสียนเฟยตรัสว่า “หากเทียบกันแล้วกับผีเสื้อของย่วนเจี่ยเอ๋อร์ เหตุใดจึงไม่ไปกังวลเกี่ยวกับเรื่องอภิเษกของเจ้าเจ็ดบ้าง”
เมื่อประโยคนี้ถูกกล่าวออกไป ไม่เพียงแค่เสียนเฟยเท่านั้นที่ตกตะลึง แต่เสียงในห้องโถงก็เงียบลงทันที
ท่าทางของฮ่องเต้จริงจัง ดูไม่พอใจมากยิ่งขึ้น
เจ้าเจ็ดก็เป็นโอรสของเขาเช่นกัน ปีนี้อายุได้สิบแปดปีแล้ว แต่ในงานเลี้ยงของตระกูลเขากลับนั่งดื่มสุราเพียงลำพัง ตนในฐานะบิดาเพียงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงจะเป็นไรไปเล่า!
อวี้จิ่นมองไปทางฮ่องเต้ด้วยแววตาเต็มไปด้วยความหวัง หัวใจของเขาสงบลงทันที
ไม่เสียแรงที่เขาแสร้งทำเป็นน่าสงสารอย่างโดดเดี่ยวอยู่ตั้งนาน ฮ่องเต้มีสายพระเนตรแหลมคมยิ่งนัก ไม่ต้องรอให้เขากล่าวเรื่องที่แต่งขึ้นออกมาเรียกความเห็นใจ แต่ฝ่าบาทกลับเปิดประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาเอง
ความรู้สึกยินดีที่ไม่อาจปิดบังไว้ได้ของอวี้จิ่นทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกกล่าวไม่ถูก ดูท่าทางอันมีความสุขของเจ้าเจ็ดนั่นสิ เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะมีภรรยาเหลือเกินแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครไปสนใจเขา
ช่างน่าสงสารเหลือเกิน
จิ่งหมิงฮ่องเต้โศกพระทัยเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบไปมองดูเสียนเฟยแล้วหันไปมองจวงเฟย “เจ้าหกอายุมากกว่าเจ้าเจ็ด เรื่องเหล่านี้จะรอต่อไปไม่ได้เช่นกัน”
นอกจากองค์รัชทายาทแล้ว สนมของโอรสคนอื่นเขาไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปแทรกแซง จากธรรมเนียมเดิมๆ จะปล่อยให้เสด็จแม่ของพวกเขาเป็นคนจัดการ เมื่อคัดเลือกพระสนมได้แล้วเพียงนำมาให้เขาทำความรู้จักก็พอ หากไม่มีปัญหาใดมากนักเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
จวงเฟยตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยิ้มขึ้นกล่าวว่า “หม่อมฉันตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ทูลฮ่องเต้อยู่พอดีเลยเพคะ หม่อมฉันตั้งใจว่า หลังงานปีใหม่แล้วจะจัดงานเฉลิมฉลอง เชิญสตรีในตระกูลใหญ่ทั้งหลายมาเข้าร่วม หากมีผู้ใดเหมาะสมก็จะจัดการเรื่องงานอภิเษกของเจ้าหกเสีย…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “อืม ขอบใจเจ้านักที่เอาใจใส่”
เสียนเฟยได้ยินเช่นนั้นก็โมโหแทบระเบิดออกมา
สิ่งที่ฝ่าบาทตรัสว่าขอบใจที่เอาใจใส่หมายความว่าเช่นไร ทรงไม่พอพระทัยที่นางไม่เอาใจใส่เจ้าเจ็ดหรือ เจ้าเจ็ดเพิ่งจะกลับมาถึงเมืองหลวง นางเรียกเขาเข้าเฝ้าหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยเห็นเดินทางมา ต่อให้นางอยากเอาใจใส่เขาสักเพียงไรนางก็ไม่อาจมีอำนาจบังคับได้
เสียนเฟยยังคงไม่ยอมรับว่านางเมินเฉยอวี้จิ่น
ในความเห็นของนาง สำหรับบุตรชายที่อนาคตไม่อาจคาดเดาได้เช่นนี้จะรีบจัดการเรื่องงานอภิเษกไปเพื่อสิ่งใด รอให้ผ่านไปสักพัก ดีไม่ดีทัศนคติของฮ่องเต้อาจดีขึ้น
แต่คาดไม่ถึงว่าในโอกาสเช่นวันนี้ จู่ๆ ฮ่องเต้จะทำให้นางลำบากใจเนื่องจากเจ้าเจ็ด
เมื่อคิดได้ดังนี้เสียนเฟยก็ตกใจ
บางทีความรู้สึกที่ฝ่าบาทมีต่อเจ้าเจ็ดอาจจะไม่ได้เฉยเมยอย่างที่นางคิดเอาไว้…
นางครุ่นคิดอยู่ในใจถึงเรื่องเหล่านี้ จากนั้นเสียนเฟยก็ยิ้มขึ้นกล่าวว่า “หม่อมฉันก็คิดเช่นนี้เพคะ ที่แท้หม่อมฉันและจวงเฟยคิดอย่างเดียวกันนี่เอง เช่นนั้น รอให้ถึงปีใหม่แล้วจัดขึ้นพร้อมกันเถิด”
เมื่อเห็นเสียนเฟยกล่าวดังนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่ได้ขัดใจแล้วพยักหน้าตอบรับ
เสียนเฟยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ในที่สุดเรื่องนี้ก็ผ่านพ้นไปสักที ยังมีเวลาเหลือพอนับจากนี้จนกระทั่งปีใหม่ นางจะได้คัดเลือกผู้ที่เหมาะสมกับเยี่ยนอ๋อง
ซึ่งผู้ที่เหมาะสมนั้นจะต้องมาจากตระกูลไม่ย่ำแย่จนเกินไป ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจช่วยสนับสนุนเจ้าเจ็ดได้ ในอนาคตเจ้าเจ็ดก็อาจไม่สามารถช่วยเจ้าสี่ได้ แต่จะมาจากภูมิหลังของตระกูลที่ดีมากก็ไม่ได้ เพราะอาจจะข้ามหน้าข้ามตาสะใภ้สี่
ด้านอุปนิสัยยิ่งเชื่อฟังมากเท่าไรยิ่งดี
ภรรยาขององค์ชายที่ไม่ได้มีความสำคัญนัก หากว่าแข็งกระด้างจนเกินไปหาได้มีประโยชน์ไม่ อาจจะทำให้นางไม่มีความสุขโดยใช่เหตุ
จะหาสตรีในจวนใดให้เจ้าเจ็ดกันดีหนอ
เสียนเฟยเหลือบมองไปทางอวี้จิ่นแล้วเริ่มคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อวี้จิ่นวางแก้วสุราลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน “ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ทรงห่วงใยลูก เช่นนั้นความสุขสมหวังของลูกคงต้องฝากไว้ที่เสด็จพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังจะพยักหน้าตอบรับ แต่ทันใดนั้นเขาก็ชะงักลง
ว่าอย่างไรนะ? ฝากฝังความสุขสมหวังนี้ไว้ที่เขาหรือ ตนเพียงเห็นว่าควรจะหาสะใภ้ให้เจ้าเจ็ดสักทีเท่านั้น แต่ไม่ได้รับปากว่าภรรยาที่หามาให้นั้นจะถูกใจเขา
เหอะๆ ชายหนุ่มช่างไร้เดียงสาเสียจริง ง่ายหรือที่จะหารักแท้ แม้ตัวเขาเองยังไม่มีด้วยซ้ำ
แม้ว่าในใจจะคิดเช่นนี้ แต่เมื่อเห็นดวงตากลมโตอันสดใสของบุตรชายจ้องมองมา ท้ายที่สุดแล้วจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากความ เขาทำเพียงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
อวี้จิ่นนั่งลงแล้วยิ้มขึ้น
เมื่อเสด็จพ่อพยักหน้าตอบรับเช่นนี้ ตัวเขาเองก็รู้สึกวางใจสักที