ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 347 พูดเกลี้ยกล่อม
ตรงมุมมืดมุมหนึ่ง มีสุนัขตัวใหญ่เท่าครึ่งตัวคนกำลังนั่งนิ่งไม่ขยับและใช้สายตาอย่างไร้เดียงสามองชายหนุ่มที่กำลังโมโหจัด
เจียงจั้นกังวลจนยืนไม่นิ่ง “ใครให้เจ้านั่งตรงนี้ รีบๆ กลับไป อยากให้คนเห็นหรือไงเล่า”
เอ้อร์หนิวลุกขึ้นสะบัดขนไปมาพร้อมกับเหล่ตามองเจียงจั้นอย่างดูถูกหนึ่งที แล้วจึงจะมุดตัวเข้าไปในรู
เจียงจั้นเกาะต้นไม้ยืนหอบ
น่าโมโหเสียจริง เจ้าเอ้อร์หนิวตัวนี้นี่!
คนกลุ่มหนึ่งวิ่งตามมา
“คุณชายรอง ท่านมิเป็นไรใช่หรือไม่”
เจียงจั้นกลับคืนสู่สภาพเดิมราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาปัดๆ มือ “ข้าไม่เป็นไร”
หญิงรับใช้เฝ้าประตูกลอกตามองไปมา “คุณชายรองเจ้าคะ เมื่อสักครู่ บ่าวเห็นเงาดำขนปุยๆ วิ่งมาทางนี้ ใช่ปีศาจจิ้งจอกหรือไม่เจ้าคะ”
“เจ้าเคยเห็นปีศาจจิ้งจอกตัวใหญ่ขนาดนี้รึ” เจียงจั้งโพล่งออกไป
หญิงรับใช้เฝ้าประตูทวนความจำอย่างตั้งใจ
นั่นสิ ปีศาจจิ้งจอกจะตัวใหญ่ขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
“แล้วนั่นคือสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
เจียงจั้นไอ ค่อกแค่ก หนึ่งที แล้วกล่าวหน้านิ่ง “ข้าเห็นไม่ชัดและตามไม่ทัน เอาล่ะ แยกย้ายกันกลับไปได้แล้ว”
เมื่อเห็นคุณชายรองไขว้แขนและเดินกลับแล้ว ทุกคนต่างมองหน้ากันและกัน
“นี่ เจ้าหยาง เจ้าเห็นปีศาจจริงๆ หรือ”
เมื่อมีคนถาม หญิงรับใช้เฝ้าประตูก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด นางกล่าวขึ้นอย่างหน้าบานเป็นกระด้ง “ใช่น่ะสิ ตอนแรกข้านั่งกินเมล็ดทานตะวันอยู่ในห้อง ข้าได้ยินเสียงจากข้างนอกเลยออกไปดูเสียหน่อย แม่เจ้า มีสิ่งๆ หนึ่งตัวใหญ่มากวิ่งผ่านไป เสียดายที่ฟ้ามืดเกินไป ข้าจึงมองเห็นเจ้าสิ่งนั้นไม่ชัดมาก ข้าเห็นเพียงขนปุยๆ พวกเจ้าคิดว่า ถ้าไม่ใช่ปีศาจแล้วจะเป็นสิ่งใดได้อีก!”
ทุกคนพากันสูดลมหายใจ
“คุณชายรองใจกล้ามากที่วิ่งตามปีศาจ”
“มิน่า คุณชายรองถึงได้เป็นองครักษ์จินอู๋ แม่ข้าเคยพูดไว้ คนเรามีความกล้าเท่าไหร่บุญบารมีก็จะมีมากเท่านั้น…”
“แสดงว่าต่อจากนี้ไป คุณชายรองจะมีอนาคตที่ก้าวไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
เจียงจั้นที่หลบอยู่อีกด้านหนึ่งของกำแพงลูบคลำจมูก
บ่าวรับใช้เหล่านี้เพ้อเจ้อเก่งจริงๆ พูดถึงปีศาจอยู่ดีๆ เลยเถิดมาถึงอนาคตอันก้าวไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเขาได้อย่างไร
แต่ถึงอย่างนั้น อนาคตที่ก้าวไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดของเขา ยังต้องรอให้พวกเขามาพูดอีกหรือ!
เจียงจั้นหลับไม่สนิททั้งคืน โชคดีที่วันถัดมาเป็นเวรหยุด เขาชำระล้างตัวอย่างเร่งรีบเสร็จก็ตรงไปเรือนฉือซินทันที
น้องสี่ต้องไปน้อมทักทายท่านย่า ไปจับตัวคนที่นั่นสะดวกที่สุด
เตาเผาในเรือนฉือซินยังคงเผาไหม้ตามปกติ ตอนที่เจียงจั้นกำลังไป อาหญิงโต้วได้มาถึงแล้ว นางกำลังซุบซิบพูดคุยอยู่กับเฝิงเหล่าฮูหยิน
“น้อมทักท่านย่า ท่านอาหญิงขอรับ” เจียงจั้นน้อมทักทายต่อทั้งสองท่านด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส
อาหญิงโต้วมองเจียงจั้นนานไปหน่อยอย่างอดไม่ได้ พลางคิดในใจ เมื่อเทียบกับคุณหนูสี่ที่ทำตัวลึกลับยากจะคาดเดาแล้ว คุณชายรองกลายเป็นคนที่ไม่มีความลับ กล้าเปิดเผย ซึ่งชวนให้รู้สึกสบายใจมากกว่า
ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ นางหย่อนตามองปลายเท้า พลางรู้สึกเป็นห่วงพี่ชายที่อยู่ด้านนอกเพียงลำพังขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พี่ใหญ่ออกไปตั้งหลายวันแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่ายังไม่ก่อเรื่องใดๆ ขึ้น…
เฝิงเหล่าฮูหยินไม่ทราบถึงความวิตกกังวลของอาหญิงโต้ว เมื่อเห็นรอยยิ้มของเจียงจั้นที่ยากจะได้เห็น “วันนี้จ้าไม่เข้าเวรหรือ”
ตั้งแต่เจียงจั้นมีการงาน เขาออกไปทำงานเช้ายิ่งกว่าไก่ขัน การน้อมทักทายเฝิงเหล่าฮูหยินจึงไม่มีความแน่นอนนัก
“ไม่ขอรับ หลานเลยมาเยี่ยมท่านย่าขอรับ”
เฝิงเหล่าฮูหยินฟังแล้วรู้สึกสบายใจ จึงยิ้มและกล่าว “ขอบใจในน้ำใจของเจ้านะ”
จากนั้น เจ้านายตามเรือนต่างๆ ก็ทยอยกันเข้ามาน้อมทักทาย เจียงซื่อเพิ่งก้าวข้ามประตูก็พบกับสายตาของพี่ชาย นางแอบถอนหายใจ
นี่พี่รองตามมาคิดบัญชีแน่
หลังจากเดินออกจากเรือนฉือซินแล้ว เจียงจั้นเดินตามมาติดๆ จริงๆ
เจียงซื่อจึงถามออกไปอย่างไม่อ้อมค้อม “พี่รองมีธุระกับข้าหรือไม่”
เมื่อเห็นว่าไม่มีบ่าวรับใช้อยู่รอบๆ เจียงจั้นจึงเอ่ยถามอย่างหน้าเครียด “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น”
เจียงซื่อกะพริบตาปริบๆ อย่างไร้เดียงสา
“เอ้อร์หนิวไปหาเจ้าได้อย่างไร”
เจียงซื่อหยิบผ้าขึ้นมาปิดริมฝีปากพร้อมกับแสดงสีหน้าตกใจ “นั่นคือเอ้อร์หนิว? ข้าได้ยินว่าเป็นปีศาจ…”
เจียงจั้นโกรธน้องสาวสุดที่รักจนเกือบหัวเราะ เขากดเสียงต่ำลงแล้วเริ่มตำหนิ “น้องสี่ เจ้าคิดว่าข้าโง่หรืออย่างไร”
เจียงซื่อก้มหน้าลงและกล่าวออกไปอย่างจริงใจ “ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมเอ้อร์หนิวถึงมาหาข้า”
เจียงจั้นสูดลมหายใจเข้าลึก
นิ่งไว้ก่อน น้องสาวไม่ได้เป็นอย่างสารเลวพวกนั้น เขาจะลงมือทุบตีไม่ได้
เมื่อสงบอารมณ์ได้บ้างแล้ว เจียงจั้นจึงลากเจียงซื่อไปยังศาลาเปิดโล่งที่อยู่ไม่ไกล
ในช่วงฤดูหนาว ศาลาที่ไม่มีอะไรกั้นรอบด้านจึงมีลมพัดผ่านไปมาค่อนข้างแรง
เจียงจั้นยืนตรงทางเข้าฝั่งมีลมพัดเพื่อบังลมให้ แล้วเขาก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าเข้ม “น้องสี่ เจ้าพูดความจริงกับข้าเถอะ พี่อวี๋ชีใช้เอ้อร์หนิวมาส่งจดหมายใช่หรือไม่”
อาหมานที่ยืนไม่ไกลเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเงียบๆ
คุณชายรองช่างไร้เดียงสาเสียจริง
เจียงซื่อลังเลเล็กน้อยก่อนแล้วถึงพยักหน้า “เคยส่งไม่กี่ครั้งเจ้าค่ะ”
ปิดบังพี่ชายและท่านพ่อก็ไม่ใช่ความตั้งใจของนาง อวี้ชีกำลังพยายามอยู่ทางนั้น นางเองก็ควรแสดงอาการออกมาช้าๆ และให้ท่านพี่กับท่านพ่อค่อยๆ ยอมรับอาจจะดีกว่า
ไม่สิ ให้พี่รองเป็นคนยอมรับต่างหาก ส่วนท่านพ่อ…แค่กๆ ท่านพ่อเหมาะกับการปลอบใจหลังจากที่เรื่องราวมีบทสรุปแล้วมากกว่า
“เขา เขาพูดว่าอย่างไรบ้าง” เจียงจั้นกระทืบเท้า
พี่อวี๋ชีร้ายกาจนัก แอบส่งจดหมายให้น้องสี่จริงๆ ด้วย นี่ยังเป็นสุภาพบุรุษอยู่หรือไม่!
เจียงซื่อหย่อนตาลง จากนั้นสองแก้มก็เริ่มแดงระเรื่อ
เจียงจั้นเห็นอาการนี้ พลางคิดในใจว่าแย่แน่ เขารู้สึกโกรธและเดินวนไปมาอยู่ในศาลา
หลังจากที่เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ลมเย็นที่พัดผ่านมาจากรอบด้านก็พลอยช่วยให้เขาสงบลง
“น้องสี่ คำพูดที่หวานไพเราะของผู้ชายมันเชื่อไม่ได้…” เจียงจั้นร่ายยาวเป็นบทความและพูดเกลี้ยกล่อมไม่หยุด เขากำลังช่วยเหลือหญิงสาวที่หลงทาง
เจียงซื่อยังหย่อนตาก้มหน้าไม่พูดไม่จา
ท้ายที่สุด เจียงจั้นทนไม่ไหวจนระบายความโกรธออกมาพร้อมกับกระทืบเท้า “น้องสี่ เจ้าพูดมาดีกว่าว่าเจ้าคิดอย่างไร”
เจียงซื่อเงยหน้าขึ้นสบตากับพี่ชาย “พี่รอง น้องมีใจให้เขาเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้า…” เจียงจั้นเกือบสะดุดล้มเพราะหายใจไม่ทัน เขาเกาะเสาไว้ก่อนแล้วถึงหายใจช้าลง จากนั้นจึงมองหน้าน้องสาวอีกครั้ง
สายตาที่จริงจังของน้องสาวทำให้เขาชะงักและตามมาด้วยอาการแน่นอก
พี่อวี๋ชีคนร้ายกาจ หลอกน้องสาวที่ไร้เสียงดาของเขาสำเร็จจนได้
ยังมีเอ้อร์หนิวเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดอีก!
สักวันในไม่ช้าและไม่เร็ว เขาจะจัดการทั้งคนทั้งสุนัขให้ได้!
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เจียงจั้นก็นับว่าได้ระบายความโกรธเรียบร้อย
พี่อวี๋ชีเป็นท่านอ๋อง อยากสั่งสอนแต่ก็คงไม่ง่ายเช่นนั้น ที่สำคัญตนก็สู้เขาไม่ได้
เจ้าเอ้อร์หนิวสุนัขบ้านั่นก็เจ้าเล่ห์เกินไป เขาเองก็เอาเปรียบและสู้ไม่ได้เช่นกัน
อ๊ากก น่าโมโหเสียจริง
เจียงซื่อมองพี่ชายที่โมโหจัดแล้วเม้มปากแอบยิ้ม
เจียงจั้นหยุดความโมโหลงกะทันหันแล้วเอ่ยถามเจียงซื่ออย่างจริงจัง “เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ หรือน้องสี่”
“เรื่องแบบนี้จะล้อเล่นได้อย่างไรเจ้าคะ”
เจียงจั้นใช้มือสัมผัสฝักกระบี่ที่เอว
ถึงแม้เป็นเวรหยุด แต่เขาก็เคยชินกับการพกกระบี่ไปแล้ว
ไม่รู้ว่าหากจัดการพี่อวี๋ชีไปซะ น้องสี่จะตัดใจได้หรือไม่…
“น้องสี่ เจ้ากับพี่อวี๋ชีไม่มีทางเป็นไปได้ เขาเป็นองค์ชาย”
“ข้ารู้”
“เขาบอกสถานะของเขาแก่เจ้าแล้ว?”
เจียงซื่อยิ้มและพยักหน้า “เจ้าค่ะ น้องว่าเขาก็มีความจริงใจและเชื่อถือได้นะเจ้าคะ”
เจียงจั้นลูบใบหน้า
จริงใจบ้าอะไรกัน หากมิใช่เพราะท่านพ่อบอกกับเขา จนถึงตอนนี้เขาคงยังเป็นกบในกะลาที่ไม่รู้เรื่องอะไร
“พี่รองไม่ชอบพี่อวี๋ชีหรือ”
เจียงจั้นอยากตอบว่าใช่มากๆ แต่เขาไม่สามารถตอบในสิ่งที่ตรงกันข้ามได้จริงๆ เขาส่งเสียง ฮึ่ม และกล่าว “พูดถึงสิ่งเหล่านี้ไปก็ไร้ประโยชน์ เขาเป็นองค์ชาย เจ้ามีใจให้เขา อย่าบอกนะว่าเจ้าอยากเป็นอนุภรรยา”
เจียงซื่อหลุดขำ “พี่รองจะเป็นกังวลเรื่องนี้ทำไมเล่า เขาอยากแต่งงานกับข้า ถ้าเช่นนั้นก็ให้เขาคิดหาวิธีเอง หากว่าไม่สำเร็จ พวกเราก็ไม่เสียหายนี่เจ้าคะ”
เจียงจั้นตะลึงงัน
อืม สิ่งที่น้องสี่พูดก็ดูเหมือนจะมีเหตุผล
แต่ก็ยังวางใจไม่ลงจึงถามต่อ “หากว่าไม่สำเร็จ เป็นตายร้ายดีอย่างไรเจ้าก็จะตามเขาไปหรือ”
“ไม่ตามไปหรอกเจ้าค่ะ”
เจียงจั้นครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ดีใจขึ้นมา
หากเป็นเช่นนี้ ก็ดีหน่อย
ปีใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว วันเวลาของงานชมดอกเหมยได้ถูกกำหนดแล้ว