ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 369 ปฏิกิริยาจากทุกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อพูดเหมือนเป็นเรื่องตลก เจียงอันเฉิงก็ทุบอกตัวเอง “ซื่อเอ๋อร์เจ้ายังเด็ก การเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าจะเหมาะกับการฝากชีวิตไว้ได้นะ!”
ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวอวี๋ไม่ใช่คนซื่อสัตย์ ไม่เช่นนั้นทำไมถึงหลอกเขา แถมยังหลอกลูกสาวเขาอีกด้วย
ไม่มีผู้ใดน่าเกลียดน่าชังไปกว่าเสี่ยวอวี๋แล้ว
“แต่ลูกรู้สึกว่าสามารถฝากชีวิตไว้กับคุณชายอวี๋ได้” เจียงซื่อยิ้มออกมาจางๆ
“แต่ว่านั่นคือพระราชวัง สถานที่อันโหดเหี้ยมอำมหิต…”
เจียงซื่อยิ้มพลางเอ่ยตอบ “หากไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ล้วนอับจนสิ้นหวัง สุดท้ายแล้วเราก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอยู่ดี”
“ซื่อเอ๋อร์ เจ้าเชื่อว่าเยี่ยนอ๋องจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังหรือ เขาเป็นองค์ชาย จากนี้ไปหากเขาเกิดความรู้สึกดีกับหญิงอื่น เจ้าเอะอะโวยวายไปมันก็ไร้ประโยชน์ ถึงเวลานั้นจะไม่มีแม้แต่โอกาสได้คืนดีกัน” เจียงอันเฉิงเอ่ยพูดน้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจ
เจียงซื่อหุบรอยยิ้มลง “ท่านพ่อ พระราชโองการพระราชทานการแต่งงานได้แจ้งออกมาแล้ว ถึงลูกจะไม่ยินยอม แล้วจะทำอย่างไรได้”
เจียงอันเฉิงคิดเรื่องพวกนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็พูดโดยไม่คิดออกมา “เช่นนั้นแกล้งทำเป็นป่วย แล้วก่อนหน้าที่จะมาสู่ขอก็ทูลกล่าวไปว่าป่วย จากนั้นพ่อจะแอบส่งเจ้าออกไปเงียบๆ หาครอบครัวที่น่าไว้วางใจได้ให้ลูกแต่งงานด้วย ได้เที่ยวชมภูเขาแล้วท่องนาวา การใช้ชีวิตอย่างอิสระเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
สถานที่อย่างพระราชวังแบบนั้นหากไม่ระวังก็อาจตายได้ เขาก็แค่อยากจะให้ลูกสาวได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
เจียงซื่อส่ายหน้า “ท่านพ่อ ลูกไม่อยากอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตลอดชีวิต ที่แม้แต่เป็นตัวเองก็เป็นไม่ได้”
ชาติภพที่แล้วได้เป็นคนอื่นมากพอแล้ว ชาติภพนี้นางจะเป็นเจียงซื่อเท่านั้น!
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องกังวลแทนลูกไปหรอก จากนี้ไปหากเยี่ยนอ๋องกล้าทำให้ข้าเสียใจ…” นางหยิบกรรไกรออกมาจากในตระกร้าปักผ้าแล้ววางลงตรงหน้าเจียงอันเฉิง
เจียงอันเฉิงตะลึง
เจียงซื่อยิ้มร่า “ท่านพ่อวางใจเถอะ เขาไม่กล้าหรอก”
จนกระทั่งเดินออกมาจากเรือนไห่ถัง นายท่านใหญ่ก็ยังคงรู้สึกสงสัยอยู่ในใจ ที่ซื่อเอ๋อร์หยิบกรรไกรออกมามันหมายความว่าอย่างไรกัน
ไม่ คงไม่ใช่อย่างที่เขาคิดแน่!
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเมื่อลูกสาวชอบพอและยอมรับในการแต่งงานครั้งนี้ ในฐานะที่เป็นพ่อก็ไม่มีทางเลือกใดนอกจากอวยพรให้ลูกมีความสุข
เจียงอันเฉิงเดินไปถึงเรือนหมิงหวาโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่หลังจากแต่งงาน ตั้งแต่ภรรยาป่วยตายก็น้อยมากที่จะมาที่นี่ เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่ที่ห้องหนังสือหน้าลานบ้าน
เรือนหมิงหวาเป็นเรือนที่กว้างที่สุดในจวนปั๋ว เจียงอันเฉิงเดินเข้าไป พร้อมกับเอามือไขว้หลังเดินวนเวียนอยู่ในลานกว้าง สุดท้ายก็หยุดลงตรงหน้าแปรงดอกไม้
อีกไม่กี่วันต้นยวนยางเถิงก็จะเขียวชะอุ่มขึ้นมาอีกครั้ง
เขายกมือขึ้นลูบใบที่เป็นรอยด่างพร้อย จากนั้นเอ่ยพูดพึมพำออกมา “อาเคอ เมื่อห้าปีก่อนข้ามาบอกเจ้าว่าอีเอ๋อร์ออกเรือนแล้ว และปีที่แล้วอีเอ๋อร์ก็กลับมาอยู่ที่เรือนเรา ข้ากลัวว่าเจ้าจะกังวลใจเลยไม่กล้าพูด ครั้งนี้ที่มา ข้าอยากจะบอกเจ้าว่า ซื่อเอ๋อร์ของพวกเราก็จะเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว…”
เจียงอันเฉิงยืนอยู่ข้างแผงดอกไม้ที่ทรุดโทรมอยู่นานถึงได้จากไป
……
เมื่อขันทีอีกกลุ่มหนึ่งอ่านพระราชโองการที่จวนโซ่วชุนโหวเสร็จ บรรยากาศภายในจวนโซ่วชุนโหวเต็มไปด้วยความสุข จึงพยายามรั้งให้ขันทีอยู่ดื่มชา
ขันทียิ้มพลางขอตัวลา “ไม่เป็นไรหรอกนายท่านโหว พวกเราต้องรีบกลับไปรายงาน เพราะหากกลับช้ากว่าคนที่ไปแจ้งพระราชโองการที่จวนตงผิงปั๋ว มันจะชี้แจงเหตุผลได้ยาก”
“จวนตงผิงปั๋วงั้นหรือ” โซ่วชุนโหวรู้สึกงงเล็กน้อย
“ใช่ คุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วยอมรับเป็นพระชายาของเยี่ยนอ๋องแล้ว”
โซ่วชุนโหวตกใจมากกว่าตอนที่ได้ยินว่าลูกสาวตัวเองจะแต่งงานกับสู่อ๋องซะอีก ขนาดขันทีเดินออกไปแล้วปากก็ยังอ้าค้างอยู่
ข่าวคุณหนูสี่แห่งจวนตงผิงปั๋วได้เป็นพระชายาของเยี่ยนอ๋องแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
ทั่วทั้งเมืองหลวงลุกฮือกันขึ้นมาทันที
หลังจากที่เฉินฮุ่ยฝูลูกสาวของหนิงลัวจวิ้นจู่ได้ยินข่าวก็ลุกพรวดขึ้นมา “เป็นไปได้อย่างไรกัน เจียงซื่อนางสารเลวนั่นกลายเป็นพระชายาของเยี่ยนอ๋องไปได้อย่างไร นี่ต้องเป็นการเข้าใจผิดแน่!”
“หุบปากนะ! มีพระราชโองการออกมาแล้ว จะเข้าใจผิดได้อย่างไร ฮุ่ยฝูเจ้าเก็บความอารมณ์ร้อนของเจ้าลงไปเลยนะ ถูกไล่ออกจากงงานเลี้ยงชมดอกเหมยยังไม่ขายหน้าพออีกรึ” หนิงลัวจวิ้นจู่ที่รักและทะนุถนอมลูกสาวมาตลอด เวลานี้ ไม่ว่านางจะมองลูกสาวยังไงก็มีแต่ความรู้สึกไม่พอใจ
งานเลี้ยงชมดอกเหมย เด็กสาวที่มีชื่อเสียงด้านลบคนหนึ่งได้กลายเป็นพระชายาอ๋อง ทว่าลูกสาวของนางกลับถูกไล่ออกมานอกประตู มันแตกต่างกันขนาดนี้เชียวหรือ
เฉินฮุ่ยฝูไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้
ต้องโทษนางแซ่เจียงนั่นที่บังคับให้นางแสดง นางถึงได้ขายหน้าในงานชมดอกเหมยมากขนาดนั้น นางจะไม่มีวันลืมเรื่องนี้เด็ดขาด!
“ท่านแม่ นางเคยถอนหมั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เป็นพระชายาอ๋อง!”
หนิงลัวจวิ้นจู่กลับนิ่งเฉย “เรื่องในราชวงศ์มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้กัน”
หากพูดถึงกฎเกณฑ์ ที่จริงผู้ที่ไม่มีกฎเกณฑ์ก็คือพระราชวังต่างหาก
“มัน…มันไม่ใช่การเข้าใจผิดจริงรหรือ” เฉินฮุ่ยฝูค่อยๆ ยอมรับความจริง แล้วเตรียมจะเดินออกไปข้างนอก “ท่านแม่ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
“เจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปหาหมิงเย่ว์…”
“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” หนิงลัวจวิ้นจู่มองไปที่ลูกสาวของตัวเองด้วยสีหน้าเข้มงวด “เจ้าอยู่ที่เรือนเลยนะ หน้าตายังไม่ได้แต่งแต้มอะไรเลยจะไปหาหมิงเย่ว์อะไรกัน!”
ชุยหมิงเย่ว์มีข่าวอื้อฉาวแบบนั้น มีเหตุผลใดที่คนชั้นสูงในวังจะไม่รู้ แล้วเด็กคนนี้ยังจะวิ่งเต้นไปหาอีก
ชุยหมิงเย่ว์ที่ไม่มีวาสนาได้ไปร่วมงานชมดอกเหมยก็ได้ทราบข่าวจากปากของพี่ชายเช่นเดียวกัน
“ทำไมเจ้าเจียงจั้นถึงโชคดีขนาดนี้ เดิมยังอยากจะหาโอกาสสั่งสอนมันสักหน่อย แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นพี่เขยขององค์ชาย จากนี้ไปหากจะไปหาเรื่องมันคงไม่สะดวกแล้ว…”
ชุยหมิงเย่ว์ได้ยินชุยอี้พูดบ่นฉอดๆ ไม่หยุดปาก จึงเอ่ยพูดเสียงเรียบออกไป “หากพี่พูดจบแล้วก็ออกไปเถอะ ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว”
“นี่เจ้า…” เมื่อครู่ชุยอี้กำลังคิดว่าจะบ่นน้องสาวของตัวเองที่ไม่พยายาม หากไปร่วมงานเลี้ยงชมดอกเหมย ไม่แน่อาจจะมีดีกว่าน้องสาวของเจียงจั้นด้วยซ้ำ เมื่อประจันหน้าเข้ากับสายตาอันนุ่มลึกของชุยหมิงเย่ว์จู่ๆ เขาก็ไม่กล้าพูดออกมา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตั้งแต่เล็กจนโตเขาก็รู้กลัวน้องสาวอยู่เล็กน้อย
รอชุยอี้ออกไป ชุยหมิงเย่ว์เดินอ้อมไปที่ด้านหลังห้องด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก พร้อมกับถือแส้ยาวไว้ในมือแล้วเฆี่ยนตีกวางน้อยที่เลี้ยงไว้…
กวางตัวขนาดปานกลางล้มลงบนพื้น เลือดไหลออกมาจากปากพร้อมกับชักกระตุกโดยไม่มีเสียง
น่าเบื่อ!
ชุยหมิงเย่ว์โยนแส้ม้ายาวออกไป จู่ๆ ก็มองกวาดไปที่สาวรับใช้เลี้ยงกวาง
สาวรับใช้ไม่กล้าเงยหน้า รู้สึกปั่นป่วนในท้อง
นี่เป็นกวางตัวที่เก้าแล้วที่ถูกคุณหนูใหญ่เฆี่ยนตาย นางมีความรู้สึกว่าไม่นานคุณหนูใหญ่อาจจะไม่อยากใช้กวางมาระบายความโกรธอีกต่อไป
พอถึงตอนนั้น มันจะเป็นอย่างไร
สาวรับใช้ไม่อยากจะคิดต่อ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ จากไปไกล ก็นั่งนิ่งเป็นอัมพาตอยู่กับพื้น
……
เมื่อเจินซื่อเฉิงได้ยินข่าวก็รับเรียกเจินเหิงเข้ามาทันที
“เหิงเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง”
เจินเหิงนิ่งเงียบ แล้วยิ้มพูดออกมา “หากจะบอกเรื่องที่น้องเจียงซ่อได้รับพระราชทานให้แต่งงานกับเยี่ยนอ๋อง ท่านพ่อไม่ต้องบอก ลูกทราบข่าวแล้วขอรับ”
เวลานี้มีใครผู้ใดในเมืองหลวงบ้างที่ไม่รู้เรื่องคุณหนูแห่งจวนตงผิงปั๋วที่เปลี่ยนจากนกกระจอกกลายเป็นหงส์
“เช่นนั้นเจ้า…”
เจินเหิงยังคงยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร ข้าสบายดี”
“หากไม่เป็นไรงั้นก็กลับไปอ่านหนังสือเถอะ การสอบคัดเลือกขุนนางในฤดูใบไม้ผลิใกล้จะถึงแล้ว”
เจินเหิงมุมปากกระตุกขึ้นมา
นี่ใช้เวลาปลอบใจกันสั้นเกินไปหน่อยไหม
“เหิงเอ๋อร์…”
เหิงเอ๋อร์หยุดลงที่ปากประตู
เจินซื่อเฉิงลูบเคราด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม “อะแฮ่มอะแฮ่ม อันตำรานั้นมีเกียรติดั่งหยก…”
เจินเหิงกำหมัดแน่น
เดิมในใจก็รู้สึกแย่มากอยู่แล้ว หากตอนนี้ต่อยท่านพ่อสักหมัด ท่านพ่อคงจะไม่ถือโทษหรอกนะ