ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 38 เงื่อนไข
หลิวเซียนกูพยักหน้าอย่างสำรวม
“เจ้านายของข้าอยากให้ท่านช่วย นี่คือสินน้ำใจค่าน้ำชาเล็กน้อยที่จะมอบให้ท่าน” อาหมานหยิบตั๋วเงินออกมาใบหนึ่งแล้ววางไว้ตรงหน้าหลิวเซียนกู
หลิวเซียนกูเหลือบมองไปอย่างรวดเร็ว พบว่าตัวเลขบนตั๋วเงินที่ระบุไว้ทำให้นางรู้สึกพึงพอใจมากทีเดียว
ที่กล่าวว่าค่าน้ำชานั้นเป็นเพียงการกล่าวอย่างอ้อมค้อม แม้แต่มัดจำยังมากถึงห้าสิบตำลึง เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสรรพแล้วคาดว่าคงจะได้ค่าตอบแทนมากพอควร
หลิวเซียนกูมีชื่อเสียงโด่งดังมากก็จริงอยู่ แต่นางไม่ได้มีโอกาสรับใช้งานให้แก่ตระกูลผู้มั่งคั่งเท่าไหร่นัก โดยมากจะเป็นการช่วยชาวบ้านทั่วไปขับไล่ความชั่วร้ายเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้แก่ตน
“ไม่ทราบว่านายของแม่นางพบเจอปัญหาใดหรือ” เมื่อรู้ว่าผู้ที่เดินทางมานี้ไม่ธรรมดา หลิวเซียนกูจึงได้ใช้ถ้อยคำค่อนข้างเป็นกันเอง
อาหมานมองไปทางหลิวเซียนกูด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพลั้งเอ่ยขึ้นว่า “เซียนกูมองออกหรือ”
นางได้ฝึกศิลปะการต่อสู้มาแต่เยาว์วัยจึงทำให้รูปร่างสูงใหญ่กว่าสตรีทั่วไป ประกอบกับชุดบุรุษที่สวมใส่อยู่นั้น แม้แต่คุณหนูยังกล่าวว่ามองไม่ออก ทว่าเซียนกูผู้นี้กลับมองออกได้โดยง่าย
อาหมานได้นึกอยู่ในใจว่า ‘มองดูแล้วคนผู้นี้มีความสามารถมากทีเดียว ไม่น่าเล่าคุณหนูจึงได้ให้นางมาเชิญตัวไป’
การที่หลิวเซียนกูประกอบอาชีพนี้ได้ แน่นอนว่านางต้องมีความสามารถด้านการสังเกตอยู่ไม่น้อย นางสังเกตเห็นได้เห็นท่าทางของอาหมาน จึงได้เข้าใจในความคิดอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเผยยิ้มอันยากจะคาดเดาออกมา
แน่นอนว่าเป็นเพราะนางสังเกตเห็นที่ติ่งหูของแม่นางผู้นี้เจาะรู
“นายของข้าไม่ได้บอก นางรอท่านเดินทางไปหารืออยู่ที่โรงน้ำชาเทียนเซียง”
หลิวเซียนกูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบตกลง
ตามปกติแล้วต่อหน้าชาวบ้านธรรมดาทั่วไป นางคือผู้ลึกลับและสูงส่ง แต่หากเป็นพวกตระกูลมั่งคั่งนางก็ไม่กล้าจะวางท่ามากนัก
ยิ่งเป็นตระกูลสูงส่งเท่าไรก็จะได้พบเจอกับผู้มีความสามารถมากขึ้น นางเป็นเพียงหนึ่งในตัวเลือกของพวกเขาเท่านั้น
เมื่อพบว่าหลิวเซียนกูกำลังจะลุกขึ้นยืน อาหมานก็ได้เอื้อมมือเข้ามารั้งไว้ “เซียนกูไม่ต้องรีบเดินทางไปหรอก คุณหนูจะเดินทางมารอท่านที่โรงน้ำชาในเวลาบ่ายสามโมง”
“ตกลง ข้าจะไปเมื่อถึงเวลานั้น” หลิวเซียนกูจึงรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายคงต้องเป็นชนชั้นสูงแน่
นางรู้จักพฤติกรรมของชนชั้นสูงเหล่านั้นดี เมื่อใดที่พวกเขาพบเข้ากับสิ่งผิดปกติ ก็จะเชิญคนเช่นนางเดินทางไปทำพิธีปัดเป่าให้ และเนื่องจากต้องรักษาหน้าตาจึงไม่ต้องการให้ผู้ใดรับรู้มากนัก
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว บรรดาชาวบ้านธรรมดาทั่วไปให้ความเคารพนางจากใจจริง แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่พวกเขามีข้อบกพร่องอันสำคัญยิ่ง นั่นก็คือไม่มีเงิน!
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
อาหมานเดินทางออกมาจากตรอกหมากู บรรยากาศรอบด้านทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เมื่อเลี้ยวไปถึงอีกซอยหนึ่งก็มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมากะทันหัน
“ไอ้ลูกหมา! กล้าดีอย่างไรคิดจะจัดการข้า!”
อาหมานเอี้ยวตัวหลบการซุ่มโจมตีนั้น หลังจากที่นางมองเห็นผู้ที่โจมตีตน ดวงตาก็เบิกกว้างกล่าวว่า “เป็นเจ้า!”
ผู้ที่ซุ่มโจมตีนั้นก็คืออาเฟย ชายหนุ่มที่ไม่นานมานี้ถูกอาหมานใช้ปิ่นทองทำร้ายเข้า
เห็นได้ชัดว่าอาเฟยได้จัดการกับสถานการณ์ที่เพิ่งได้พบไปก่อนหน้านี้ได้เป็นอย่างดี ดวงตาคู่นั้นจับจ้องมายังอาหมานดุจเช่นหมาป่าผู้หิวโหยและดุร้าย
บัดนี้ในมือของเขากำปิ่นทองเอาไว้ ที่ปลายของมันเคลือบไปด้วยสีแดงคล้ำ
มันคือคราบเลือดที่จับตัวของอาเฟยนั่นเอง
“ไอ้กระจอก เมื่อครู่เก่งนักไม่ใช่หรือ! เจ้าใช้สิ่งนี้แทงข้าไม่ใช่หรือไร บัดนี้ข้าจะใช้สิ่งเดียวกันทำลายใบหน้าให้เจ้าเสียโฉม ดูซิว่า อ้าก!”
ในท้ายประโยคของอาเฟยเปลี่ยนเป็นเสียงร้องอย่างโหยหวน
อาหมานดึงหมัดที่ต่อยไปยังช่องท้องของอาเฟยกลับมา หมัดที่ถูกส่งออกไปสองครั้งติดต่อกันนั้นดุจดังสายฝนที่ปะทะลงไปยังท้องน้อยของอาเฟย
จนทำให้อาเฟยเจ็บปวดเสียจนต้องย่อตัวลง
จากนั้นอาหมานก็ยกขาขึ้นเตะอาเฟยจนล้มคว่ำ ก่อนจะกระทืบเขาอยู่สิบกว่าทีจึงได้หยุดลง นางปัดมือไปมาแล้วก้มมองดูอาเฟยซึ่งนอนขดตัวอยู่บนพื้นด้วยสายตาเหยียดหยามพร้อมด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ไร้สาระสิ้นดี!”
“เจ้า เจ้า…ข้าฝากไว้ก่อนเถอะ!”
“ข้าไม่รับฝาก!” อาหมานยกขาขึ้นถีบเข้าอย่างจัง
“โอ้ย! พอๆ หยุดได้แล้ว…” อาเฟยถูกเตะจนกลิ้งไปมากองอยู่บนพื้น ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและร้องขอออกมา
“หากเป็นเช่นนี้ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัว!” อาหมานมองไปทางอาเฟยด้วยสายตาเหยียดหยาม จากนั้นเดินอ้อมเขาไปราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก่อน
อาเฟยใช้มือข้างหนึ่งพยายามตะเกียกตะกายไปที่กำแพงแล้วลุกขึ้นยืน ปากของเขาสั่นเทาเล็กน้อย สายตามองไปยังทิศทางที่อาหมานเดินจากไปเมื่อครู่
ในตอนนั้นเขาถูกสถานการณ์อันแปลกประหลาดทำให้เขาตกใจกลัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่อยากให้ผู้อื่นรู้ว่าตนได้ปิ่นทองอันนั้นมา
สิ่งนั้นทำจากทองแท้เชียว คนอย่างพวกเขานั้นคงไม่เคยมีโอกาสแม้จะได้สัมผัส!
ในตอนนั้นที่อาเฟยหลบหนีไปก็เป็นเพราะผลประโยชน์ส่วนตัว แต่เขาก็ไม่อาจอดทนกับการใช้ชีวิตเช่นนั้นได้ จึงเกิดเหตุการณ์ลอบทำร้ายครั้งนี้ขึ้น
ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่การลอบทำร้ายครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ทำให้อาเฟยที่ใช้ชีวิตเป็นอันธพาลตามท้องถนนมาตั้งแต่เด็กรู้สึกเกิดความกลัวขึ้นอย่างสุดซึ้ง
ครั้งนี้เขาจบเห่แน่จริงๆ เจ้าหมอนั่นไม่ได้เพียงต้องการจะข่มขู่ให้เขากลัว
สำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในตรอกหมากู การที่อาหมานเดินทางมาถึงนั้นเปรียบได้กับการโยนหินลงไปในมหาสมุทร ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดคลื่นแต่อย่างใด มีเพียงชายหนุ่มนามว่าอาเฟยคนนี้เท่านั้นที่กำลังรอคอยเวลาค่ำคืนซึ่งกำลังมาถึงด้วยความกระสับกระส่าย
เมื่อดวงตะวันเคลื่อนคล้อยไปทางทิศตะวันตก แสงแดดสีทองก็สาดส่องผ่านพรรณไม้ที่งอกงามอยู่ด้านหน้าหอน้ำชาเทียนเซียง ตกกระทบไปยังบนธงสีสันงามตา เพิ่มความรู้สึกผ่อนคลายให้แก่ให้หอน้ำชาแห่งนี้ไม่น้อย
“คุณหนูไม่กลัวหรือเจ้าคะว่าเซียนกูผู้นั้นเมื่อได้รับเงินมัดจำจากเราไปแล้ว นางจะไม่เดินทางมาตามนัดหมาย” อาหมานที่เปลี่ยนกลับเป็นชุดสาวรับใช้มองไปยังแสงแดดที่นอกหน้าต่างแล้วเอ่ยถามขึ้น
เจียงซื่อยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “นางจะมาอย่างแน่นอน”
“แต่นางไม่ทราบตัวตนที่แท้0ริงของคุณหนูนะเจ้าคะ”
“ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงต้องเดินทางมา”
ไม่ว่าหลิวเซียนกูจะมีชื่อเสียงโด่งดังเพียงไร แต่นางก็เป็นเพียงแค่แม่หมอเท่านั้น ซึ่งคนจำพวกนี้ก็คงไม่ต้องการอย่างอื่นนอกจาก ‘เงิน’
ยิ่งนางทำตัวลึกลับเพียงใด อีกฝ่ายก็จะยิ่งรู้สึกว่าสามารถแสวงหาผลประโยชน์ได้มากเท่านั้น
เงินจำนวนห้าสิบตำลึงนั้นเป็นเพียงเหยื่อล่อ ซึ่งปลาใหญ่โดยทั่วไปต้องติดเบ็ดเป็นแน่
“ใกล้ถึงเวลาบ่ายสามแล้ว บ่าวจะออกไปดูให้นะเจ้าคะ” อาหมานไม่อาจนั่งนิ่งนอนใจได้เช่นคุณหนูของนาง ในสายตาของนางนั้นเงินห้าสิบตำลึงไม่ใช่น้อยๆ หากว่าถูกเบี้ยวละก็นางจะต้องกลับไปตามคืนแน่นอน
เจียงซื่อไม่ได้รั้งนางไว้แต่อย่างใด กลับพยักหน้าเบาๆ
อาหมานจึงได้เดินออกไปทางประตูอย่างรวดเร็ว ขณะที่เพิ่งจะเปิดประตูออกไปนั้น นางก็พบว่าหลิวเซียนกูพาลูกศิษย์คนหนึ่งยืนอยู่ที่นอกประตู
“พบกันอีกแล้วนะ” หลิวเซียนกูเผยอยิ้มมองดูอาหมาน
อาหมานแสดงสีหน้าเหมือนว่าคาดเดาเอาไว้แล้ว “นายของข้าให้ข้ามาเปิดประตูแก่เซียนกู”
คุณหนูช่างคาดการณ์ได้แม่นยำเหลือเกิน นางจะทำให้คุณหนูเสียหน้าไม่ได้
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของอาหมาน แววตาของหลิวเซียนกูก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย กำชับใช้ลูกศิษย์ผู้นั้นรออยู่ด้านนอก ส่วนตนเดินตามอาหมานเข้าไปด้านใน
“คุณหนูเจ้าคะ เซียนกูเดินทางมาถึงแล้วเจ้าค่ะ”
หญิงสาวนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะใกล้หน้าต่าง นางหันมาพยักหน้าให้กับหลิวเซียนกูเป็นการทักทาย
ในใจของหลิวเซียนกูเกิดความไม่พึงพอใจขึ้นอย่างยิ่ง
เนื่องจากพบว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ลุกขึ้นยืน เป็นการแสดงออกว่าไม่เคารพนาง
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ นางก็ยิ่งรู้สึกสงสัยว่าสตรีผู้นี้คือใคร จึงไม่กล้าหันหลังเดินจากไป
นางก็เป็นเพียงแค่แม่หมอที่ร่อนเร่พเนจร หากทำให้ชนชั้นสูงขุ่นเคืองใจเข้า ชีวิตต่อจากนี้คงจะยากเข็น
“เชิญนั่งก่อนเถิด” เจียงซื่อเอ่ยปากเชิญ
หลิวเซียนกูนั่งลงตรงข้ามกับเจียงซื่อ จากนั้นใช้โอกาสที่ยกน้ำชาขึ้นดื่มแอบพิจารณามองอีกฝ่าย
ทั้งอายุและหน้าตาของสตรีนางนี้ทำให้หลิวเซียนกูตกใจมากทีเดียว ทั้งยิ่งทำให้นางเดาไม่ได้เลยว่าแม่นางผู้นี้เป็นผู้ใดมาจากไหนกันแน่
“ไม่ทราบว่าแม่นางมีเรื่องใดต้องการให้ข้าช่วยจัดการหรือ” ความสงสัยมากมายในสมองเหล่านั้นไม่ได้ทำให้หลิวเซียนกูแสดงท่าทางอันผิดปกติออกมาแต่อย่างใด
นางต้องสุขุมเข้าไว้ การที่อีกฝ่ายเดินทางมาพบนางหมายความว่ามีเรื่องให้นางช่วย ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะต้องไม่แสดงท่าทางหวาดกลัวออกมา
นี่คือความสามารถของนางที่ทำให้มีกินมีใช้ทุกวันนี้
“เซียนกูได้รับเรื่องจ้างวานจากเอ้อร์ไท่ไท่แห่งจวนตงผิงปั๋วใช่หรือไม่” เจียงซื่อเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ข้าไม่รู้ว่าแม่นางกล่าวเรื่องใดอยู่!” หลิวเซียนกูสีหน้าเปลี่ยนไปทันที จากนั้นลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป