ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 393 เปลี่ยนวิธีรักษา
องค์หญิงฝูชิงที่เดินไปเกือบจนถึงประตูแล้วแทบเกือบสะดุดล้ม
แต่นางในข้างกายเข้ามาพยุงนางไว้ได้ทัน นางพูดด้วยอาการตกใจว่า “องค์หญิง ระวังด้วยเพคะ”
ชีวิตขององค์หญิงล้ำค่าเสียยิ่งกว่าทองคำ หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับพระนาง ต่อให้ชีวิตสาวรับใช้อย่างนางตายแทนเป็นร้อยเป็นพันครั้งก็ยังไม่สาสม
ราวกับว่าองค์หญิงฝูชิงมิได้ยินเสียงบอกของนางในผู้นั้น นางดันตัวนางในก่อนจะวิ่งกลับไป
แม้ว่าดวงตาของนางมองเห็นไม่ชัดเจน แต่นางก็คุ้นชินกับมันมาหลายปี ปกติแล้ววิถีการเดินของนางแทบจะไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่คราวนี้กับเดินตุปัดตุเป๋ไร้ทิศทางจนเซไปชนเข้ากับมุมโต๊ะ
“องค์หญิง…”
องค์หญิงฝูชิงทอดสายตาไปเบื้องหน้า พลางถามเสียงสั่น “พี่สะใภ้เจ็ด เมื่อครู่พี่บอกว่าอย่างไรนะเพคะ”
ทิศที่นางมองไปไม่ใช่ทิศที่เจียงซื่อยืนอยู่ นั่นยิ่งทำให้นางดูน่าสงสารเหลือประมาณ
เด็กสาววัยบานสะพรั่งใช้ชีวิตอยู่กับสายตามืดมิด ช่างน่าเวทนาเสียเหลือเกิน
ฮองเฮาพุ่งปราดเข้าไปคว้ามือองค์หญิงมากุมไว้ พลางเอ่ยอย่างร้อนใจ “พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังพูดอะไรออกมา!”
เจียงซื่อสงบนิ่งอย่างยิ่งยวด “หม่อมฉันบอกว่า พระเนตรขององค์หญิงสามารถรักษาให้หายขาดได้เพคะ”
“ละเมอเพ้อพก…”
องค์หญิงฝูชิงบีบมือฮองเฮาพลางบอก “เสด็จแม่ ลูกอยากลองฟังนางพูดให้จบเสียก่อนเพคะ”
“อาเฉวียน เจ้าอย่าไปใส่ใจคำโป้ปดพรรค์นี้เลย…” ฮองเฮาดึงบุตรีที่ตัวสั่นเทามาไว้ในอ้อมกอดด้วยความทุกข์ใจที่สุดจะคณนา
พระชายาเยี่ยนอ๋องกล้ากล่าววาจาไร้สาระเช่นนี้ จะต้องถูกลงโทษ!
นางกล้าหยิบยกความปรารถนาสูงสุดของฝูชิงมาล้อเล่นเช่นนี้ได้อย่างไร
ฮองเฮายิ่งคิดก็ยิ่งแค้น นางไม่อาจข่มกลั้นความโกรธที่อัดอั้นอยู่เต็มอกได้อีกต่อไป สายตาตำหนิมุ่งตรงไปทางเจียงซื่อ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงเงียบงัน แววตาลุ่มลึกมิอาจคาดเดาความหมายจ้องเขม็งไปที่เจียงซื่อดุจกัน
องค์หญิงฝูชิงเงยหน้าขึ้นพลางบอกเสียงสั่น “เสด็จแม่ หลายปีมานี้มีแพทย์ในราชสำนักมาตรวจดูอาการของลูกนับไม่ถ้วน แต่มีเพียงพี่สะใภ้เจ็ดเท่านั้นที่บอกว่าตาของลูกรักษาให้หายได้เพคะ”
ครั้นกล่าวถึงตรงนี้แล้ว ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มน่าสังเวช “ต่อให้นี่จะเป็นเพียงเรื่องโกหกพกลม แต่ลูกก็อยากฟังต่อเพคะ”
ฮองเฮามองไปที่เจียงซื่อแล้วเอ่ยเน้นที่ละคำ “เช่นนั้นก็เชิญพระชายาว่าต่อเถิด”
เจียงซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “โรคตาขององค์หญิงมิได้เป็นตั้งแต่กำเนิด และมิได้เกิดจากการที่ดวงตาเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะมีปรสิตอยู่ในตาจึงทำให้มองไม่เห็นเพคะ…”
“เจ้าจะพิสูจน์อย่างไร” ฮองเฮาถามอย่างร้อนรน
เจียงซื่อยิ้ม “การที่หม่อมฉันสามารถรักษาพระเนตรขององค์หญิงได้จะนับว่าเป็นการพิสูจน์หรือไม่เพคะ”
ฮองเฮาตกตะลึงโดยพลัน จ้องเขม็งไปที่เจียงซื่อจนลืมตอบสนองไปเสียสนิท
จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าองค์หญิงพลางถามงึมงำ “มีปรสิตงั้นรึ มีปรสิตอยู่ในตาได้อย่างไร”
องค์หญิงฝูงชิงยกมือขึ้นปิดตาทั้งสองข้างก่อนจะร้องออกมาด้วยความอับอาย “เสด็จพ่อ ท่านหยุดพูดเดี๋ยวนี้นะเพคะ!”
ในตาของนางมีปรสิตอยู่จริงๆ งั้นหรือ
เพียงแค่คิด อวัยวะภายในก็ปั่นป่วน
แต่หากพูดถึงโรคตา การบอกว่ามีปรสิตอยู่ นั่นหมายความว่านางก็มีหวังว่าจะรักษาให้หายขาดได้จริงไหม
องค์หญิงฝูชิงคิดตกเช่นนั้นแล้วก็ค่อยๆ เคลื่อนมือที่ปิดอยู่ออก
“ได้ ในเมื่อพระชายาว่าเช่นนั้น เจ้าก็ช่วยรักษาดวงตาของฝูชิงด้วยเถอะ” สีหน้าของฮองเฮากลับมาสงบนิ่งราวกับจมอยู่ใต้น้ำ “หากรักษาให้หายได้ ข้าจะขอบคุณอย่างยิ่ง แต่หากไม่ได้แล้วละก็…”
เจียงซื่อยิ้มพลางเอ่ยแทรก “เสด็จแม่ หากหม่อมฉันได้ฟังบทลงโทษก่อนคงรู้สึกกดดันเป็นเท่าตัวเลยเพคะ”
อวี้จิ่นแอบเม้มปากหัวเราะ
ตอนแรกเขากังวลว่าอาซื่อจะขลาดกลัวยามอยู่ต่อหน้าฮองเฮา แต่ครั้นเห็นเช่นนี้แล้ว เขาคงวิตกมากจนเกิดเหตุ
ก็จริง ยามที่อาซื่อวางเพลิง หรือปลิดชีวิตคน ดวงตาของนางไม่แม้แต่จะสั่นไหว นั่นแสดงให้เห็นว่านางห้าวหาญอยู่พอตัว
ฮองเฮาเริ่มหายใจติดขัดจนมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นที่หน้าผาก
นี่นางฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า ในเวลาแบบนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องกล้าขู่ให้นางสงบปากงั้นหรือ
ฮองเฮายังคงจับจ้องไปที่เจียงซื่อ
เจียงซื่อสบตาอย่างใจเย็น
นางได้เข้ามาอยู่ในรั้ววังเป็นครั้งที่สอง ในสถานที่แห่งนี้ ผู้คนต่างก็ห้ำหั่นเชือดเฉือนกัน ชาติที่แล้วนางเลือกที่จะเก็บตัว จนท้ายที่สุดก็จบชีวิตอย่างเงียบงำไปเช่นนั้น แต่ทว่าในชาติภพนี้นางขอเลือกเป็นตัวของตัวเองให้สมแก่ความตั้งใจ
กฎเกณฑ์ถูกวางไว้เช่นนั้น และคนส่วนใหญ่ต่างก็ตกอยู่ใต้พันธนาการของกฎนั้น มีน้อยคนนักที่กล้าละเมิดกฎ ซ้ำยังใช้ชีวิตอยู่อย่างรอดปลอดภัย หรือบ้างก็สามารถเรียกได้ว่าสุขสบาย
เพียงแต่ต้องมีความสามารถที่จะทำลายกฎเกณฑ์ก็เท่านั้น
เจียงซื่อรู้แจ้งแก่ใจถึงความโกรธเคืองในสายตาฮองเฮา และความเคลือบแคลงในสายตาฮ่องเต้ แต่ขอเพียงแค่รักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงให้หายดี ความรู้สึกทั้งหมดที่กล่าวมาก่อนหน้าก็จะหายวับไปทันที นางเพียงแต่ต้องแสดงออกมาด้วยความมั่นใจก็เท่านั้น
องค์หญิงฝูชิงดึงชายอาภรณ์ของฮองเฮาเบาๆ “เสด็จแม่ ต่อให้พี่สะใภ้เจ็ดรักษาลูกไม่ได้ก็มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายหรอกเพคะ เพราะอย่างไร นางก็มิได้เป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกป่วย อย่างแย่ที่สุดก็แค่กลับไปเป็นเช่นที่ผ่านมา…”
เจียงซื่อได้ฟังแล้วก็คลี่ยิ้มบางๆ
จำต้องบอกว่าองค์หญิงฝูชิงช่างเป็นคนมีเหตุผลเหลือเกิน
ฮองเฮาเริ่มสงบสติลงแล้วจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา น้ำเสียงกลับมานุ่มนวลอีกครั้ง “ไม่ทราบว่าการจะรักษาฝูชิงจะเริ่มได้เมื่อใด และพระชายามีความจำเป็นต้องใช้ข้าวของใดหรือบุคคลใดบ้างหรือไม่”
เจียงซื่อตอบ “รักษาได้เดี๋ยวนี้เลยเพคะ รบกวนฮองเฮาช่วยจัดเตรียมห้องที่ไม่มีผู้ใดรบกวนด้วยเพคะ”
“ห้องที่ไม่มีผู้ใดรบกวนงั้นหรือ” ฮองเฮาขมวดคิ้ว
“เพคะ ต้องมีแค่หม่อมฉันและองค์หญิงเท่านั้นเพคะ”
ฮองเฮาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็หันไปมองจิ่งหมิงฮ่องเต้
ฝ่ายฮ่องเต้ตื่นเต้นออกนอกหน้ารีบสั่งให้คนไปจัดเตรียมห้องทันที
ในเมื่ออยู่ในห้องกันเพียงสองคนจะต้องกลัวสิ่งใด เด็กสาวผู้นี้มิได้เป็นคนเสียสติ และมิได้โง่เขลา คงไม่กล้าทำร้ายฝูชิงหรอกจริงไหม
ผ่านไปไม่นาน เจียงซื่อและองค์หญิงฝูชิงก็ถูกพาตัวมาอีกห้องหนึ่ง ส่วนคนที่เหลือก็รออยู่ด้านนอก
ภายในห้องว่างเปล่าและเงียบสงัด น้ำเสียงขององค์หญิงฝูชิงมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด “พี่สะใภ้เจ็ด สามารถรักษาดวงตาของข้าได้จริงๆ งั้นหรือเพคะ”
เจียงซื่อเอ่ยตอบอย่างอ่อนโยน “องค์หญิงมิต้องกังวลไปนะเพคะ พวกเราจะลองพยายามกันดู เหมือนกับที่เมื่อครู่องค์หญิงตรัสเอาไว้ว่า อย่างแย่ที่สุดก็แค่กลับไปเป็นเช่นที่ผ่านมา”
องค์หญิงฝูชิงพยักหน้า “อื้อ”
นางรู้สึกหวั่นใจไม่น้อย
หากความหวังที่มีเกิดดับสูญ แล้วกลับไปเป็นเช่นเดิมเล่า…
นางเพียงแต่ไม่อยากเห็นเสด็จแม่ลงโทษผู้ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องก็เท่านั้น…
“องค์หญิงเอนกายลง แล้วปล่อยตัวตามสบายนะเพคะ…”
องค์หญิงฝูชิงทำตามคำบอก นางค่อยๆ เอนกายลงบนเตียงไม้ไผ่โดยมีเจียงซื่อคอยประคองอยู่ด้วย
เตียงไม้ไผ่เย็นเล็กน้อย มีอ่างน้ำแข็งวางอยู่ทั้งสี่มุมห้อง ทว่าฝ่ามือของนางกลับมีเหงื่อไหลซึมจนชุ่ม
องค์หญิงฝูชิงรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างสัมผัสที่เปลือกตาของนาง จากนั้นตามมาด้วยความรู้สึกแสบคันเล็กน้อย
แม้ความรู้สึกนั้นจะเบาบาง แต่บางทีอาจเป็นเพราะกำลังตกอยู่ในความมืดมิดไร้ขอบเขต จึงทำให้ความรู้สึกนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งกว่าปกติ
ความวิตกกังวลท่วมท้นล้นอยู่ในอกของนาง รังให้ลมหายใจที่พ่นออกมาหอบถี่รัว
เสียงนุ่มนวลทว่ามั่นคงของหญิงสาวเปรยขึ้นที่ข้างหูของนาง “ปล่อยกายให้สบายเพคะ อีกเดี๋ยวก็จะทรงดีขึ้นเพคะ”
องค์หญิงค่อยๆ ผ่อนคลายลงตามลำดับ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนินนานเพียงใด เสียงนุ่มนวลข้างใบหูก็ดังขึ้นอีกครั้ง “องค์หญิงลุกขึ้นได้แล้วเพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันจะช่วยพยุงเพคะ”
หลังจากความเงียบงันชั่วอึดใจ องค์หญิงฝูชิงก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมพึมพำว่า “มองไม่เห็น ยังมองไม่เห็นอะไรเลย…”
เป็นเพราะนางคาดหวังสูงเกินไปเอง นางตาบอดมาตั้งหลายสิบปี จู่ๆ จะมองเห็นในชั่วพริบตาได้อย่างไร!
องค์หญิงฝูชิงยกมือขึ้นปิดหน้าหมายจะร้องไห้ แต่แล้วก็สัมผัสได้ถึงวัตถุบางอย่าง
เจียงซื่อหัวเราะ “เป็นเพราะพระเนตรขององค์หญิงไม่ต้องแสงมาเป็นเวลานาน หม่อมฉันเลยใช้ผ้าปิดเอาไว้ก่อน รอไปที่ห้องโถงที่มีแสงส่องสว่างแล้ว ค่อยลองแก้ผ้าปิดตาออกดูว่าเป็นอย่างไรนะเพคะ”
องค์หญิงฝูชิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง
“หม่อมฉันจะพาออกไปด้านนอกนะเพคะ” เจียงซื่อเดินจูงมือองค์หญิงไปที่ประตู
ครั้นประตูเปิดอ้า จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เซจนเกือบถลาตัวเข้ามาด้านใน
“แค่กๆ ฝูชิง ตาของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
องค์หญิงลังเลก่อนจะตอบ “ลูก ลูกไม่ทราบ…”