ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 407 การตายของเจียงซื่อ
‘ข้าคือพี่สะใภ้สี่ของเจ้า…’
เมื่อได้ยินน้ำเสียงอันอ่อนโยนและเป็นมิตรของพระชายาฉีอ๋องเช่นนั้น เจียงซื่อก็หวนนึกกลับไปเมื่อครั้นพบกับพระชายาฉีอ๋องครั้งแรก ตอนที่นางเดินทางจากหนานเจียงกลับมาเมืองหลวง
ในตอนนั้นพระชายาฉีอ๋องก็อ่อนโยนเช่นนี้ นางยิ้มขึ้นและปลอบโยนว่าไม่ต้องกังวลใจไป หากมีใครที่ไม่รู้จักหรือมีเรื่องใดที่ไม่เข้าใจให้ถามนางได้
การใช้ชีวิตอยู่ในหนานเจียงสองปีกว่านั้น ทำให้นางปล่อยวางและผ่อนคลายกับชีวิตมาก นางรู้สึกดีกับภรรยาของพี่ชายอวี้ชีซึ่งมีพระมารดาองค์เดียวกันผู้นี้
เนื่องด้วยเหตุนี้ นางจึงได้เดินทางไปสู่จุดจบของชีวิตโดยไม่รู้ตัว
กระทั่งบัดนี้ เจียงซื่อยังจำได้เป็นอย่างดี ลมที่พัดกรรโชกมาบริเวณหน้าผา ทำให้ผมเผ้าของนางยุ่งเหยิง นางต้องการจะมีชีวิตอยู่ และใช้มือจิกไปที่ริมขอบหน้าผา แม้ว่าเล็บของนางจะฉีกขาด แต่นางก็ไม่คิดจะปล่อยมือ
นางได้ข้ามผ่านชีวิตอันเหมือนกับน้ำนิ่งในจวนอันกั๋วกง ผ่านความรู้สึกอันตื่นตระหนกเนื่องจากปลอมแปลงเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของหนานเจียง ต่อให้มีปมทางใจกับอวี้ชี ต่อให้ชีวิตทุกข์ยากเพียงใด นางก็ยังคงอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
เมื่อพระชายาฉีอ๋องยืนอยู่ที่หน้าผานั้น เปรียบเทียบกับสภาพของตนอันน่าสมเพชหดหู่ นางกลับยืนยิ้มเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
สตรีผู้นี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเดียวกับตอนนี้ จากนั้นย่อกายลงมา ค่อยๆ แกะนิ้วของนางออกทีละนิ้ว
จากนั้นนางก็ร่วงลงไป…
เจียงซื่อไม่เคยลืมแม้แต่วินาทีเดียวถึงความปวดร้าวของกระดูกแต่ละข้อที่หัก ไม่เคยลืมถึงกลิ่นคาวเลือดที่อยู่ในปากและลำคอ แน่นอนว่านางคงไม่อาจลืมรอยยิ้มอันชั่วร้ายนั้นได้อีกด้วย
บัดนี้เมื่อได้พบกับสตรีนั้นอีกครั้ง ร่างกายของเจียงซื่อจึงเยือกเย็น หัวใจของนางเย็นกว่ายิ่งนัก
นางไม่กลัวสตรีคนนี้ แต่นางกลัวหัวใจของมนุษย์อันชั่วร้าย
มนุษย์คนหนึ่ง เหตุใดจึงได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนั้น
หรือว่าผู้ที่หัวใจจับจ้องจะแย่งชิงตำแหน่งนั้น คงไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้อีกต่อไป
เจียงซื่อนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน แต่พระชายาฉีอ๋องก็หาได้รู้สึกเคอะเขินแต่อย่างใด ท่าทางของนางยังคงอ่อนช้อยดุจลมในฤดูใบไม้ผลิที่มีฝนตกโปรยปราย “น้องสะใภ้เจ็ดอย่าได้เขินไป ในตอนนั้นที่ข้าเพิ่งเสกสมรสเข้ามาก็เป็นเช่นนี้ นับจากนี้ไปหากเจ้ามีเรื่องใดที่ไม่เข้าใจละก็ เชิญเอ่ยถามข้าได้เสมอ น้องเจ็ดและท่านอ๋องของเราเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ไม่มีผู้ใดจะใกล้ชิดกันเช่นเราสองอีกแล้ว…”
เจียงซื่อยิ้มขึ้น “แน่นอนว่าข้าจำพี่สะใภ้สี่ได้เพคะ”
ต่อให้กระดูกกลายเป็นเถ้าถ่าน นางก็ไม่มีวันลืม
พระชายาฉีอ๋องตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มขึ้นแล้วตอบว่า “น้องสะใภ้เจ็ดความจำดียิ่งนัก”
เจียงซื่อเอื้อมมือไปหยิบถ้วยน้ำชาที่วางไว้ตรงหน้า ทำให้แขนเสื้อขนาดกว้างถูกดึงขึ้นเผยให้เห็นข้อมือ ที่ข้อมือนั้นมีกำไรหยกสวมใส่ไว้
ดวงตาของพระชายาฉีอ๋องหดลงทันที นางมองจ้องไปที่กำไรหยกนั้นโดยไม่ละสายตา
การกระทำเช่นนี้ถือว่าเสียมารยาทอย่างยิ่งในฐานะพระชายาฉีอ๋อง
แต่เสียมารยาทแล้วอย่างไรเล่า นี่คือกำไรดอกหลิงเซียวเชียวนะ!
กำไรดอกหลิงเซียวนี้ฮองเฮาทรงมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด ตำนานเล่าขานนั้นทุกคนล้วนรู้ดี
ชั่วขณะนี้ ในใจของพระชายาฉีอ๋องเต็มไปด้วยความรู้สึกต่างๆ มากมาย
เป็นข้อห้ามสำหรับองค์ชายที่ไม่ได้อยู่ในพระราชวังในการสอบถามกิจการของพระราชวัง แม้จะได้รับหนังสือเชิญจึงรู้ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องได้รักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงจนหายดี และพระชายาเยี่ยนอ๋องจึงเป็นที่พอพระทัยของฮองเฮา แต่เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อมีกำไรดอกหลิงเซียวสวมอยู่ที่ข้อมือเช่นนี้ พระชายาฉีอ๋องก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
แม้จะเป็นการเข้าคารวะฮ่องเต้และฮองเฮาในวันที่สองหลังจากเสกสมรส ตัวนางเองก็ระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเกรงว่าจะกระทำการใดผิดพลาดไป นางไม่เอ่ยวาจาใดหากไม่จำเป็น และไม่กระทำการใดที่ไม่จำเป็นเช่นกัน แต่สิ่งที่ได้มาจากฮองเฮามีเพียงคำเอ่ยชมว่านางมีมารยาทเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี
มีมารยาทเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี? มองทอดยาวออกไปในพระราชวังนี้ ผู้ใดบ้างที่ไม่มีมารยาทเรียบร้อย
พระชายาเยี่ยนอ๋องช่างใจกล้ายิ่งนัก นางเข้ามาในพระราชวังครั้งแรกก็กล้าที่จะทำกิริยาอันไม่อยู่ในกฎเกณฑ์ อีกทั้งนางยังประสบผลสำเร็จและได้รับคำชมจากฮ่องเต้และฮองเฮา รวมทั้งได้รับกำไรดอกหลิงเซียวที่แม้แต่พระชายาองค์รัชทายาทก็ไม่ได้
กำไลดอกหลิงเซียวนี้มีเป็นคู่ เมื่อข้างหนึ่งมอบให้แก่พระชายาเยี่ยนอ๋องแล้ว อีกข้างหนึ่งแน่นอนว่ายังคงอยู่ที่องค์หญิงฝูชิง
แม้จะไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวยืนยันว่าใครก็ตามที่ได้รับกำไรดอกหลิงเซียวนี้จะได้เป็นฮองเฮาในอนาคต แต่เรื่องดีๆ เช่นนี้ผู้ใดเล่าไม่อยากจะได้รับ เมื่อนางเห็นกำไรจึงทำให้เกิดความรู้สึกปวดใจ ไม่รู้ว่าหัวใจของพระชายาไท่จื่อจะเป็นเช่นไร
เมื่อนึกถึงก่อนที่จะเข้ามาในพระราชวังฉีอ๋องได้กำชับนางเอาไว้ ดังนั้นพระชายาฉีอ๋องจึงได้จัดการกับความคิดในใจตนแล้ว เข้าไปจับมือเจียงซื่อกล่าวว่า “ได้ยินว่าน้องสะใภ้เจ็ดเป็นผู้ที่รักษาดวงตาขององค์หญิงจนหาย…”
ประโยคข้างหลังนั้นนางได้หยุดลง เนื่องจากท่าทางการหลบเลี่ยงของเจียงซื่อที่ค่อนข้างจะชัดเจน
“ข้าไม่ค่อยคุ้นชินกับการให้ผู้ใดมาแตะเนื้อต้องตัวนัก”
ประโยคนี้ของเจียงซื่อทำให้พระชายาฉีอ๋องใบหน้าร้อนผ่าว แต่ทว่าในสถานที่เช่นนี้นางไม่อาจทำสิ่งใดออกมาได้ จึงทำได้เพียงยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เป็นข้าเองที่ไม่คิดให้ดีเสียก่อน”
เจียงซื่อได้แต่ยิ้มแล้วไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อไป
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับพระชายาฉีอ๋องเช่นนี้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย
เนื่องจากพระชายาฉีอ๋องได้รับสมญานามว่าเป็นพระชายาผู้ไร้ที่ติ ดังนั้นทุกวินาทีนางจึงจำเป็นต้องมีท่าทางยิ้มแย้มและใจกว้าง ต่อให้เป็นคำพูดที่ดูถูกเสียดสีสักเพียงใด หากนางได้ยินก็ทำได้เพียงยิ้มออกมา
นางหวังเหลือเกินว่าพระชายาฉีอ๋องจะมีนิสัยอ่อนโยนเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ผู้คนเริ่มทยอยเดินทางมา บางคนก็ได้สนทนาอยู่ที่ใกล้ๆ แต่ดวงตาทั้งคู่นั้นก็เหลือบมองมาทางเจียงซื่อเป็นระยะๆ บางคนก็ใจกล้าเดินตรงเข้ามาแล้วเอ่ยถามเรื่องที่เจียงซื่อรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงจนหาย
ชั่วพริบตาเดียว เจียงซื่อกลายเป็นเดือนที่ถูกดาวรายล้อม จึงทำให้พระชายาฉีอ๋องที่อยู่ด้านข้างถูกคนเมินเฉยอย่างเห็นได้ชัด
พระชายาฉีอ๋องถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี สีหน้าของนางไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกใด เพียงแค่หันไปยิ้มกับองค์หญิงใหญ่หรงหยางซึ่งกำลังเดินเข้าไปด้านในห้องโถงเป็นการทักทาย
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเป็นธิดาบุญธรรมของไทเฮา และเป็นน้องสาวที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นที่สุด งานเลี้ยงในวันนี้นางจะไม่เดินทางมาได้อย่างไร ส่วนชุยหมิงเย่ว์ได้หมั้นหมายกับเซียงอ๋อง ก่อนหน้านี้นางพยายามหลบเลี่ยงผู้คน ในวันนี้ชีวิตที่ต้องหลบหลีกสายตาผู้อื่นได้ผ่านพ้นไปสักที
องค์หญิงใหญ่หรงหยางมองดูเจียงซื่อด้วยแววตาแหลมคมดุจมีดดาบ
“ท่านแม่” ชุยหมิงเย่ว์กระซิบเบาๆ
ท่านแม่ของนางผู้นี้มีนิสัยไม่หนักแน่น นางไม่อาจจะอดทนกับความรู้สึกไม่พอใจใดๆ ได้เลยแม้แต่น้อย
การจะทำให้เจียงซื่อรู้สึกย่ำแย่นั้นแน่นอนว่านางเองก็ชื่นชอบ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ก่อนที่จะเสกสมรสกับเซียงอ๋อง นางไม่อยากจะก่อเรื่องใดขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงของบุตรสาวเอ่ยเตือน องค์หญิงใหญ่หรงหยางจึงได้ละสายตากลับมา สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตน
ชุยหมิงเย่ว์นั่งอยู่ข้างกายขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง สายตามองไปทางเจียงซื่อผ่านฝูงชนมากมาย เพราะนี่คือคู่ต่อสู้ที่นางควรจะให้ความสำคัญ เมื่อนึกถึงอนาคตแล้วนางก็อดไม่ได้ที่จะเฝ้ารอคอย
“ฮ่องเต้ ฮองเฮาและองค์หญิงฝูชิงเสด็จ!”
หลังจากที่เสียงตะโกนดังสนั่นลั่นขึ้น ทุกคนในห้องโถงก็ลุกขึ้นยืน
จิ่งหมิงฮ่องเต้และฮองเฮาจูงพระหัตถ์กันเดินตรงเข้ามา โดยด้านหลังมีเด็กหญิงชุดสีเขียวเดินตาม
สายตาของทุกคนกลับไม่ได้จ้องมองไปยังผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในจักรวรรดิ ทว่าได้มองไปทางองค์หญิงฝูชิงเป็นตาเดียว
“ได้ยินมาว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงจนหาย เป็นเรื่องจริงหรือ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงดวงตามากมายที่มองมายังตน องค์หญิงฝูชิงจึงได้ยืดกายตรงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งแรกที่มีผู้คนมากมายจับจ้องมายังนาง หากจะบอกว่าไม่ตื่นเต้นนั้นคงเป็นเรื่องโกหก แต่นางเป็นถึงองค์หญิงและเป็นครั้งแรกที่ปรากฏกายต่อหน้าสาธารณะหลังจากที่รักษาดวงตาจนหาย หากทำท่าทางหดหู่ไม่สง่างามคงจะทำให้เสด็จแม่ขายหน้า
การที่ดวงตาของนางบอดมาหลายปีนี้ เสด็จแม่ไม่รู้ว่าต้องเผชิญหน้ากับคำติฉินนินทามากมายเท่าไร ในวันนี้นางจะทำให้เสด็จแม่ขายหน้าได้อีกหรือ
องค์หญิงฝูชิงนึกขึ้นถึงคำของหมัวมัวกล่าวว่า ‘หากองค์หญิงรู้สึกตื่นเต้นก็ทรงทำสีหน้าเยือกเย็นเข้าไว้ เช่นนี้ผู้อื่นจะไม่สามารถเดาได้ถึงความคิดในใจ และจะเคารพนับถือเกรงกลัวเรา’
ปั้นใบหน้าเคร่งขรึมนั้นไม่ยาก ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับผู้คนมากมาย องค์หญิงฝูชิงจึงได้ทำสีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
เจียงซื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หากเปรียบเทียบกันกับเด็กหญิงผู้อ่อนแอบอบบางในวันนั้น องค์หญิงฝูชิงในวันนี้ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด จู่ๆ องค์หญิงฝูชิงก็มองมาแล้วยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยน
สายตาของทุกคนจึงได้หันกลับมามองที่เจียงซื่ออีกครั้ง
เมื่อเห็นองค์หญิงฝูชิงดูสนิทสนมคุ้นเคยกับพระชายาเยี่ยนอ๋องเช่นนี้ คาดว่าข่าวลือคงจะเป็นจริง