ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 415 ยวนยางเถิง
ยวนยางเถิงเป็นที่รู้จักกันในชื่อดอกเหริ่นตง ในตอนแรกจะมีสีขาวจากนั้นกลายเป็นสีเหลือง ชาวบ้านเรียกมันว่าดอกสายน้ำผึ้ง
ยวนยางเถิงจะผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ ระยะเวลาออกดอกของมันค่อนข้างยาวนาน จนกระทั่งฤดูใบไม้ร่วงก็ยังคงเห็นดอกไม้ชนิดนี้ได้
แม้ว่าดอกไม้ชนิดนี้จะพบได้บ่อยในชุมชนหมู่บ้าน แต่ในพระราชวังกลับไม่ค่อยพบเห็นนัก เนื่องจากในพระราชวังมักจะปลูกต้นไม้ที่ล้ำค่าหายาก
ดอกสายน้ำผึ้งดอกเล็กๆ เมื่อเทียบกับดอกโบตั๋นอันสง่างามที่มีสีสันสดใสจะเปรียบกันได้อย่างไร
ประโยคคำถามของเจียงซื่อช่างประหลาดยิ่งนัก บรรดาเหล่านางสนมอดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันไปมา
พระชายาเยี่ยนอ๋อง เอ่ยถามถึงยวนยางเถิงว่าปลูกไว้ที่ใดในวัง หมายความว่าอย่างไรกัน
“สะใภ้เจ็ด การที่เจ้าเอ่ยถามถึงยวนยางเถิง เกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนี้หรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามขึ้นอย่างช้าๆ
ท่าทางของเจียงซื่อดูสงบ นางตอบว่า “หม่อมฉันยังไม่แน่ใจนัก จึงขอเอ่ยถามก่อนเพคะ”
บางทีอาจเป็นเพราะการที่เจียงซื่อรักษาดวงตาขององค์หญิงฝูชิงได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้นางมักแสดงถึงทักษะมากมายที่แปลกประหลาด แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะมองไม่ออกและไม่อาจเชื่อมโยงยวนยางเถิงอันไม่เป็นที่สะดุดตา ว่าเกี่ยวข้องกับการตายขององค์หญิงสิบห้าได้อย่างไร แต่ก็พยายามอดทนต่อคำถามของพระชายาเยี่ยนอ๋อง “ทุกคนได้ยินแล้วหรือไม่”
เจียงซื่อเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องในพระราชวัง บรรดาองค์หญิงใหญ่หรงหยางผู้ที่อาศัยอยู่นอกพระราชวังจึงไม่รู้สึกอย่างไร แต่องค์หญิงที่ยังไม่ออกเรือนและอาศัยอยู่ในพระราชวังพากันกระสับกระส่าย ทุกคนครุ่นคิดถึงความหมายของเจียงซื่อ
“พวกเจ้าทุกคนลองคิดดูให้ดี หากคิดไม่ออก ข้าจะส่งคนออกไปดูว่าตำหนักของผู้ใดมียวนยางเถิงอยู่” แม้จิ่งหมิงฮ่องเต้จะไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา อีกแต่คำเตือนนี้ก็ชัดเจน
เดิมทีนี่เป็นงานเฉลิมฉลองที่ธิดาสุดที่รักกลับมามองเห็นได้ ทว่าธิดาอีกคนหนึ่งจะต้องมาจบชีวิตลงเนื่องจากถูกวางยาพิษ หากไม่ใช่เพราะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี คาดว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้คงจะพิโรธอย่างไม่อาจควบคุมได้ไปนานแล้ว
หลังจากบรรยากาศอันคับข้องใจอันเนิ่นนานผ่านไป จู่ๆ ก็มีนางกำนัลคนหนึ่งคุกเข่าลงและกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉัน…หม่อมฉันเคยเห็นยวนยางเถิงขึ้นอยู่ในที่แห่งหนึ่งเพคะ…”
“ที่ใด”
ขณะที่จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังซักถาม ผู้ที่จำนางกำนัลคนนี้ได้ล้วนส่งสายตาหันไปมองดูเสียนเฟย
เสียนเฟยไม่อาจรักษาท่าทีอันสงบของนางได้อีกต่อไป ก่อนจะเอ่ยถามอย่างเฉียบขาดว่า “สือหลิว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังกล่าวสิ่งใดอยู่”
นางกำนัลผู้นั้นนามว่าสือหลิว เป็นนางกำนัลในตำหนักอวี้เฉวียน ซึ่งในวันนี้เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงพร้อมกับเสียนเฟย
“พระสนม ฟังในสิ่งที่นางกล่าวก่อน” จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองเสียนเฟยแล้วกล่าวออกมาอย่างเย็นชา
เสียนเฟยคาดไม่ถึงว่าจะเกิดปัญหาขึ้นกับนาง จึงพยายามอดทนต่อความโมโหแล้วเอ่ยถามนางกำนัลว่า “เจ้าลองว่ามาสิ ว่ายวนยางเถิงนั้นเคยเห็นอยู่ที่ใด”
นางกำนัลเหลือบมองเสียนเฟยอย่างกังวลใจ ก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วตอบว่า “หม่อมฉันเคยเห็นยวนยางเถิงนี้ที่เรือนของเฉินเหม่ยเหริน…”
เฉินเหม่ยเหริน?
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกสับสนเล็กน้อย
ฮองเฮาเอ่ยเตือนขึ้นอย่างรอบคอบว่า “เฉินเหม่ยเหรินคือมารดาขององค์หญิงสิบสี่ เรือนของนางตั้งอยู่ด้านข้างของตำหนักอวี้เฉวียน”
วังหลังแห่งราชวงศ์ต้าโจวนั้นค่อนข้างพิถีพิถัน หากพวกนางไต่เต้าตำแหน่งขึ้นไปถึงระดับหนึ่งแล้วจึงจะสามารถมีตำหนักส่วนตัวอยู่เป็นอิสระได้ ตำแหน่งเจี๋ยอวี๋และเหม่ยเหรินเหล่านี้ทำได้เพียงอาศัยอยู่กับนางสนมระดับสูงเท่านั้น
เมื่อได้ยินนางกำนัลกล่าวว่าเคยเห็นยวนยางเถิงที่เรือนของเฉินเหม่ยเหริน เสียนเฟยก็โล่งใจเล็กน้อย แต่ขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกโชคร้ายเหลือเกิน
นางสนมชั้นล่างเช่นนี้อาศัยกระจัดกระจายไปทั่ว แต่จะให้พวกนางอาศัยอยู่ที่ใดนั้นก็มีคนจัดการ ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง ไม่ใช่ว่านางรู้สึกถูกชะตาจึงอยากให้มาอาศัยอยู่ในพระตำหนักอวี้เฉวียนด้วยกันเสียหน่อย
แม้จะไม่รู้ว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ยถามถึงยวนยางเถิงเพื่อสิ่งใด แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดี เพราะผู้ที่อาศัยอยู่ในข้างตำหนักอวี้เฉวียนปลูกมันไว้ ช่างเป็นหายนะจริงๆ
“เฉินเหม่ยเหรินอยู่ที่ใด” เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้รับรู้ถึงตำแหน่งและสถานการณ์ทั่วไปของเฉินเหม่ยเหรินแล้ว จึงได้ขมวดคิ้วขึ้นถาม
เดิมทีงานเลี้ยงนี้ฮองเฮาเป็นคนจัดขึ้น นางจึงเข้าใจและรู้เรื่องนี้ดี เมื่อได้ยินดังนั้นจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “เฉินเหม่ยเหรินขอลาเพคะ”
“ลาอย่างงั้นหรือ”
“เมื่อสองวันก่อนองค์หญิงสิบสี่ประชวร เฉินเหม่ยเหรินจึงขอลา กล่าวว่าจะไปดูแลองค์หญิงสิบสี่เพคะ”
เมื่อองค์หญิงสิบสี่ชันษาได้สิบสอง จึงไม่เหมาะสมที่จะอาศัยอยู่กับมารดา องค์หญิงสิบสี่อายุเท่ากับองค์หญิงฝูชิง นางได้ย้ายออกจากตำหนักอวี้เฉวียนไปนานแล้ว
แน่นอนว่าแม้เหล่าองค์หญิงจะแยกกันอยู่กับมารดาเมื่อโตขึ้น แต่ก็ล้วนอยู่ในวังหลัง เหล่าสนมต้องการที่จะไปเยี่ยมเยียนเที่ยวหาก็สะดวกยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงไม่จำเป็นต้องรายงานต่อฮองเฮา
“นั่นหมายความว่าเฉินเหม่ยเหรินและองค์หญิงสิบสี่ไม่อยู่ในห้องโถงนี่หรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้าหากัน อารมณ์ของเขาดูหนักอึ้งเล็กน้อย
ฮองเฮาพยักหน้า “เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปทางเจียงซื่อ “สะใภ้เจ็ด บัดนี้เจ้ารู้แล้วว่ายวนยางเถิงอยู่ที่ใด เจ้าถามสิ่งนี้เพื่อเหตุใด”
“หม่อมฉันต้องการจะไปดูด้วยตาของตนเองเพคะ”
เมื่อได้ยินเจียงซื่อกล่าวดังนั้นก็ยิ่งทำให้น่าสงสัยมากขึ้น จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองดูอวี้จิ่น
ภรรยาของเจ้าเจ็ดกำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่
“เสด็จพ่อเพคะ ลูกไม่ได้ต้องการจะปิดบังแต่อย่างใด ทว่าเรื่องนี้ค่อนข้างสำคัญนัก ลูกไม่กล้าจะคิดไปเองโดยไม่มีหลักฐาน เพราะอาจเป็นการปรักปรำผู้อื่นได้ ลูกทำได้เพียงเดินทางไปดูด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะมั่นใจ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจออกมา “เอาตามนั้น จงให้พานไห่พาไปที่ตำหนักอวี้เฉวียนเถิด”
เจียงซื่อย่อเข่าลงเล็กน้อย “ลูกขอให้ย่วนสื่อติดตามไปด้วยเพคะ”
บัดนี้เขาได้อนุญาตให้เจียงซื่อเดินทางไปยังตำหนักอวี้เฉวียนแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงไม่อยากจะทำให้เรื่องนี้ต้องอึดอัดใจไปกว่าเดิม เขาพยักหน้าโดยไม่ลังเล
เดิมทีอวี้จิ่นต้องการจะร้องขอเดินทางไปพร้อมกับเจียงซื่อด้วย แต่เมื่อเห็นสายตาของเจียงซื่อที่มองมา เขาจึงปฏิเสธความคิดนี้ไป
ผู้ที่อึดอัดใจมากที่สุดคงจะเป็นเสียนเฟย
พระชายาเยี่ยนอ๋องจะเดินทางไปที่ตำหนักอวี้เฉวียนด้วยตนเอง นางคิดอะไรอยู่กันแน่
หรือการตายขององค์หญิงสิบห้าเกี่ยวข้องกับเฉินเหม่ยเหริน จะเป็นไปได้อย่างไร
ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ ทำให้เสียนเฟยอึดอัดเสียจนอยากจะไปปลดทุกข์อีกแล้ว
แต่มีคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดออกจากห้องโถง หากนางจะเอ่ยกับจิ่งหมิงฮ่องเต้ว่าจะไปเข้าห้องสุขาก็คงจะขายหน้ายิ่งนัก
จะทำอย่างไรได้ คงต้องอดทนเท่านั้น
ระหว่างการรอคอย จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงหลับตาลงไม่กล่าวสิ่งใดออกมา คนที่อยู่ด้านล่างอดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบกัน
“พระชายาเยี่ยนอ๋องเสด็จไปดูยวนยางเถิงเพื่อสิ่งใด”
“ใครจะไปรู้เล่า หรือยวนยางเถิงจะเป็นพิษกัน”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงเรื่องตลกน่ะสิ”
แต่บรรดาหมอหลวงที่ยังอยู่ในห้องโถงส่งสายตาแลกเปลี่ยนกันไปมา พวกเขามีการคาดเดาอันน่ากลัวบางอย่างปรากฏขึ้น
แน่นอนว่าหากพระชายาเยี่ยนอ๋องยังไม่กลับมา พวกเขาก็ไม่กล้าจะเอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางไร้ความอดทน นางหันไปหัวเราะกับหนิงหลัวจวิ้นจู่ว่า “จากที่ข้ามองดู พระชายาเยี่ยนอ๋องเพียงแสร้งทำตัวลึกลับเท่านั้น”
หนิงหลัวจวิ้นจู่คือมารดาของเฉินฮุ่ยฝู ในงานชมดอกเหมย บุตรสาวของตนสร้างเรื่องขายหน้าเอาไว้ เมื่อนางพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็รู้สึกว่าเกี่ยวข้องกับเจียงซื่ออย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงไม่เห็นด้วยกับประโยคขององค์หญิงใหญ่หรงหยางเมื่อครู่ ก่อนจะกระซิบตอบว่า “ก็ยากที่จะตัดสิน อย่าเห็นว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องอายุน้อย ทว่านางมีวิธีจัดการมากมายทีเดียว…”
หลังสิ้นสุดการรอคอยอันยาวนาน ในที่สุดเจียงซื่อก็กลับมาพร้อมกับผ้าเช็ดหน้าที่พับไว้ในมือ
“สะใภ้เจ็ด เจ้าช่วยอธิบายอย่างละเอียดได้หรือไม่” จิ่งหมิงฮ่องเต้ลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางพานไห่
พานไห่คือขันทีที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ให้ความเชื่อใจมากที่สุด เขาผ่านพายุมามากมายหลายหน แต่ขณะนี้ใบหน้าของเขาดูซีดเผือด เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างที่น่าตกใจเกิดขึ้น
“เสด็จพ่อเพคะ หม่อมฉันค้นพบต้นตอของพิษแล้ว”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมาทุกคนล้วนพากันตกตะลึง
“อยู่ที่ใด” จิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
เจียงซื่อกล่าวอย่างใจเย็นว่า “อยู่ในยวนยางเถิงเพคะ”
“เป็นไปไม่ได้ ยวนยางเถิงไม่เพียงแต่จะไร้พิษ อีกทั้งยังเป็นยาชั้นดี” หลายคนกล่าวออกมาเช่นนั้น
“พิษจากยวนยางเถิงทำให้องค์หญิงสิบห้าสิ้นพระชนม์ได้ในเวลาอันสั้น ช่างน่าขันสิ้นดี”
เจียงซื่อไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา นางโค้งคารวะแล้วกล่าวว่า “เสด็จพ่อเพคะ เรื่องนี้โปรดให้จางย่วนสื่อเป็นผู้อธิบายเถิด”