ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 439 จุดอ่อน
คำยืนยันจากเจินซื่อเฉิงผู้ไขคดีมือปราบ ไม่ได้ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ดีพระทัยเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่อยากเดาถูกเลยสักนิด!
งานแต่งงานพระราชทาน ปรากฏว่าเจ้าสาวฆ่าเจ้าบ่าวเสียชีวิต เจ้าสาวยังเป็นหลานสาวของเขาอีก นี่มันเรื่องอะไรกัน!
จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นทุกข์จึงนวดขมับ
เมื่อเทียบกับเรื่องนี้แล้ว เขายอมอ่านสาส์นราชกิจหนึ่งร้อยฉบับยังดีเสียกว่า
“เจินอ้ายชิงคิดว่าเจ้าสาวหนีไปที่ใด”
“พูดยากพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม อย่างไรรึ”
“เจ้าสาวฆ่าเจ้าบ่าวตายเสร็จต้องหลบหนีทันที แม้ว่าเมืองหลวงไม่มีมาตราการห้ามออกนอกเคหสถานในเวลากลางคืน แต่ประตูเมืองจะปิดตัวลงทันทีที่ตกดึก และเปิดประตูเมืองก่อนฟ้าสว่าง ช่วงเวลานี้เจ้าสาวยังอยู่ในเมืองแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วหลังจากเปิดประตูเมืองล่ะ”
“หากว่าเจ้าสาวถนัดการปลอมตัว บางทีก็อาจปะปนฝูงชนหนีออกเมืองไปแล้ว”
“แสดงว่ามีโอกาสเป็นได้ทุกอย่าง…”
เจินซื่อเฉิงพยักหน้าจริงจัง “พ่ะย่ะค่ะ”
เขาถนัดสืบคดี ไม่ถนัดหาคนนะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้หมดสิ้นความสนใจจึงปัดมือแสดงให้เจินซื่อเฉิงกลับไป
“พานไห่ เรียกหันหรานเข้าวัง”
ไม่นาน หันหรานก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“เป็นอย่างไรบ้าง มีข่าวจูชุยซื่อบ้างหรือไม่”
หากพูดถึงเมื่อก่อน จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงมีความรักเอ็นดูชุยหมิงเย่ว์อยู่บ้าง แต่วันนี้เหลือเพียงความเกลียดชัง แม้แต่ชื่อเรียกยังเปลี่ยนเป็นหญิงแซ่ชุยที่แต่งงานกับคนแซ่จู…จูชุยซื่อ
“กระหม่อมสอบถามเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูเมืองแล้วพ่ะย่ะค่ะ เช้าวันนี้พวกเขาไม่เห็นหญิงสาวรูปสวยออกจากเมือง แม่ทัพชุยก็ค้นหาตามที่ๆ คาดว่าจูชุยซื่อจะอยู่หลายที่ แต่ก็ไม่พบ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้อ้าปากอยากตำหนิ แต่ก็กลืนกลับเข้าไปเงียบๆ
หลานแท้ๆ ของตนเอง เขายังจะมีหน้าไปด่าคนอื่นที่ไหนกัน
เมืองหลวงเป็นเมืองที่เจริญที่สุด การหาคนๆ หนึ่งก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทร
สามวันหลังจากนั้น ชุยซวี่กับองค์หญิงใหญ่หรงหยางเข้าวังมาขอรับโทษพร้อมกัน
“กระหม่อมบกพร่องในการอบรมบุตรสาว จนบุตรสาวกล้าทำเรื่องฆ่าสามีและหลบหนี ได้โปรดฝ่าบาทลงโทษกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ชุยซวี่คุกเข่าตัวตรง อิฐทองที่เงาวับสะท้อนใบหน้าที่ซีดเผือด
องค์หญิงใหญ่หรงหยางน้ำตาไหลเงียบๆ อยู่ด้านข้าง
“หาคนไม่เจอ?” จิ่งหมิงฮ่องเต้อึดอัดใจ ขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“ณ ตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวของลูกไม่รักดีเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทอดพระเนตรมององค์หญิงใหญ่หรงหยางหนึ่งที พลางจับแท่นหยกทับกระดาษบนโต๊ะมังกร
แท่นทับที่เย็นเรียบ ช่วยให้อารมณ์ที่อึดอัดภายในใจของเขาเหือดหายไป
“คนเป็นๆ ทั้งคนหายไป จะปล่อยเลยเช่นนี้ไม่ได้ แม่ทัพชุย เรื่องของหมิงเย่ว์เจ้าต้องใส่ใจให้มาก ส่วนเรื่องอื่น…รอหาคนพบแล้วค่อยว่ากัน”
“กระหม่อมละอายใจยิ่งพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจ “ช่างเถิด มาพูดในเวลานี้ก็ไร้ประโยชน์ หาคนให้เจอสำคัญที่สุด”
ชุยซวี่กับองค์หญิงใหญ่หรงหยางลากลับเงียบๆ
เมื่อออกจากพระราชวัง องค์หญิงใหญ่หรงหยางถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน “ชุยซวี่ หากว่าหาหมิงเย่ว์พบ เจ้าคิดว่าฮ่องเต้จะจัดการอย่างไร”
สายตาของชุยซวี่เต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย “หมิงเย่ว์กระทำผิดโทษประหารชีวิต”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางพลันหยุดเดิน “หมิงเย่ว์ไม่มีทางฆ่าจูจื่ออวี้โดยไม่มีเหตุผล!”
“องค์หญิง ไม่ว่าหมิงเย่ว์มีเหตุผลใด นางก็ได้ฆ่าคนแล้ว และฆ่าสามีที่ได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้อีก”
“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าจะหาตัวหมิงเย่ว์มาให้เสด็จพี่ลงโทษรึไง”
“ทุกคนควรรับผลกรรมที่ตัวเองก่อ พวกเราก็ด้วย หมิงเย่ว์ก็ด้วย ฮ่องเต้มิได้ถือโทษพวกเราเพราะหมิงเย่ว์ พวกเราควรคิดว่าโชคดีมากแล้ว” ชุยซวี่พูดไปแล้วก็เดินนำหน้าไป
องค์หญิงใหญ่หรงหยางตามเข้าไปดึงแขนเสื้อชุยซวี่
ชุยซวี่หยุดลงแล้วมองนาง
“หมิงเย่ว์ตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ จะต้องมีสาเหตุแน่ๆ!”
“สาเหตุอะไร”
องค์หญิงใหญ่กลับไม่พูดต่อ
จะพูดได้อย่างไร จะให้บอกว่าบุตรสาวของชุยซวี่กลายเป็นเช่นนี้ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับพระชายาเยี่ยนอ๋องรึ
พระชายาเยี่ยนอ๋องเจียงซื่อเป็นบุตรสาวของซูเคอ หากให้ชายคนนี้รู้เข้า เกรงว่าคงพูดเข้าข้างเจียงซื่อแน่ หากเป็นเช่นนั้น หัวใจของนางก็คงยิ่งอัดอั้นกว่าเดิม
เมื่อนึกถึงความเย็นชาของชุยซวี่ องค์หญิงใหญ่หรงหยางพลันรู้สึกหมดความสนใจต่อการค้นหาบุตรสาวอีก
หากหาตัวพบ ไม่แน่อาจส่งผลถึงแก่ชีวิต ถ้าเป็นเช่นนั้น มิสู้คงสถานการณ์ไว้ดังเดิมดีกว่า
ดูแล้วก็ใกล้ถึงวันไหว้พระจันทร์แล้ว เป็นฤดูกาลแห่งการซื้อของขวัญพอดี ประชาชนพลันพบว่าเจ้าหน้าที่ตรวจสอบมีจำนวนมากกว่าเดิม เพียงแต่ว่ามาตรวจสอบสิ่งใดไม่มีใครทราบ
ผู้คนหวาดระแวงเกรงกลัวอยู่หลายวัน ในที่สุดก็กลับสู่สภาพปกติ
“ข้างนอกยังหาตัวหมิงเย่ว์กันอยู่หรือ” ในจวนเยี่ยนอ๋อง เจียงซื่ออิงราวกั้นเอ่ยถามอวี้จิ่น
เอ้อร์หนิวเบียดเข้ามาตรงกลางระหว่างสองคน พลางยกเท้าหน้าสองข้างขึ้นพาดกับราวกั้นและส่ายหางให้กับนายหญิงอย่างดีใจ
“ออกไปไกลๆ!” อวี้จิ่นเอ่ยเตือนจริงจังกับเอ้อร์หนิว
เอ้อร์หนิวกลอกตาขาวให้อวี้จิ่น เดินไปกอดกระดูกแล้วเริ่มแทะ มันแทะไปส่งเสียง ฮึ่มๆ ไม่พอใจ
เจ้านายยิ่งอยู่ยิ่งทำมากเกินไปแล้ว เรียกตัวในเวลาทำงาน เวลาไม่มีงานก็ทำเหมือนมันขวางหูขวางตา
เมื่อตัวแย่งความรักออกไปแล้ว อวี้จิ่นหลุดยิ้ม “ไม่วุ่นวายเท่าวันก่อนๆ แล้วล่ะ ศพยังนอนอยู่ในบ่อร้างจวนเซียงอ๋องอยู่เลย แม้พวกเขาจะพลิกแผ่นดินหาก็หาไม่เจอหรอก”
เจียงซื่อปรับสีหน้าเป็นนิ่ง “อยู่ในบ่อร้าง?”
เอ้อร์หนิวกำลังแทะกระดูก แต่หูตั้งขึ้นแอบฟังตลอด พอได้ยินดังนั้นก็เห่าใส่เจียงซื่อสองที
เจียงซื่อเข้าใจทันที “เอ้อร์หนิวเป็นคนหาเจอหรือ”
“โฮ่งๆ!” เอ้อร์หนิวเปล่งเสียงพึงพอใจ
ค่อยยังชั่ว เจ้านายไม่ได้แย่งผลงานไป
เมื่อก่อนเจ้านายไม่ได้เป็นเช่นนี้ ตั้งแต่มีนายหญิงเข้ามาก็เปลี่ยนไปเลย…เอ้อร์หนิวนึกถึงช่วงเวลาที่เคยใช้ชีวิตอยู่กับเจ้านายที่รักใคร่กลมเกลียว พลางรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
อวี้จิ่นขยับตัวหันข้าง บังตัวเจ้าสุนัขที่อยากได้รางวัล “ลูกน้องเซียงอ๋องโง่เกินไปที่จับคนกลับจวน เซียงอ๋องเองก็ขี่หลังเสือแล้วลงยาก เขาไม่โง่เหมือนลูกน้อง เขาไม่มีวันไว้ชีวิตหมิงเย่ว์หรอก เพราะการหายตัวไปของชุยหมิงเย่ว์ต้องมีการใช้กำลังจากหน่วยองครักษ์จิ่นหลินแน่ๆ มีเรื่องน้อยก็ทุกข์น้อย ซึ่งตัวเลือกที่ดีที่สุดของเซียงอ๋องก็คือจัดการศพของชุยหมิงเย่ว์ให้เสร็จโดยไม่ออกจากจวน”
อวี้จิ่นยื่นมือไปด้านหลังจนแตะโดนกระหม่อมของเอ้อร์หนิว “ฉะนั้น ข้าก็เลยลองวางแผนให้เอ้อร์หนิวไปดูเสียหน่อย ปรากฏว่าก็พบที่ซ่อนศพจริงๆ”
เจียงซื่อเอนราวกั้นและมองไป
ข้างในสวนดอกกุ้ยฮวาส่งกลิ่นหอมฟุ้ง อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ร่วง
“แม้สภาพอากาศเริ่มเย็นลง แต่ก็จะมีกลิ่นลอยออกมามิใช่หรือ”
อวี้จิ่นมองเจียงซื้อด้วยสายตาแปลกๆ
“มองข้าเช่นนั้นทำไม” เจียงซื่องุนงง
อวี้จิ่นทำหน้าเจ็บปวด “อาซื่อ เจ้าไม่รู้สึกว่าคำถามเมื่อครู่นี้จริงจังเกินไปรึ”
เมื่อเห็นสีหน้าของภรรยาผู้สดสวยยิ่งกว่าบุปผา เขากลับนึกถึงหน้าตาแก่เจินซื่อเฉิงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้!
“ก็นั่นเป็นปัญหาหนึ่ง แล้วข้าก็เคยอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างระดับการเน่าเปื่อยของร่างกายกับระยะเวลาแก่นักชันสูตรศพของใต้เท้าเจิน…”
เมื่อเห็นสายตานิ่งของอวี้จิ่น เจียงซื่อจึงหยุด “มีอะไรรึ”
“แค่กๆ ตรงนั้นเป็นเรือนร้าง ส่วนบ่อนั้นก็มีสิ่งของอยู่ เป็นเพราะเอ้อร์หนิวจมูกดีถึงได้กลิ่น ข้าเลยสั่งให้หลงต้านแอบลงไปยืนยัน ซึ่งก็เป็นชุยหมิงเย่ว์จริงๆ”
เจียงซื่อหัวเราะและกล่าว “ความจริงไม่ต้องให้หลงต้านลงไปก็ได้ กลิ่นที่ผสมด้วยกลิ่นศพกับกลิ่นหอมจากเครื่องประทินโฉม เอ้อร์หนิวแยกแยะจากกลิ่นอื่นได้เจ้าค่ะ”
เอ้อร์หนิวส่งเสียงแสดงความเห็นด้วย
“ยืนยันก่อนถึงจะวางใจได้ไงเล่า”
“อาจิ่น เจ้าจะทำอย่างไรต่อ”
อวี้จิ่นยิ้มอย่างไม่สนใจ “ก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”
“ชุยหมิงเย่ว์ตายแล้วข้าพอใจแล้วล่ะ อย่างอื่น ข้าไม่อยากยุ่งด้วยแล้ว”
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ให้นางอยู่ตรงนั้นต่อเถอะ”
เมื่อเจียงซื่อมองมา อวี้จิ่นยิ้มอ่อน “สำหรับเซียงอ๋อง เรื่องที่เรารู้ แต่คนอื่นไม่รู้ นั่นเรียกว่าจุดอ่อน”
และจุดอ่อนนี้ของเซียงอ๋องยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้ชั่วคราว แต่หลังจากนั้น ใครจะรู้เล่า