ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 450 เอาใจ
หญิงชราเอ่ยพูดอย่างรวดเร็วและรีบร้อน ใบหน้าแดงระเรื่อเพราะความโกรธ
ดูเหมือนว่าเจียงซื่อจะต้องเปลืองแรงเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจคร่าวๆ ว่าหญิงชราต้องการสื่ออะไร สตรีศักดิ์สิทธิ์มีไฝตรงหว่างคิ้ว เจ้าไม่มี นางผู้หญิงสารเลว!
“ฮวาวั่ว ท่านกำลังพูดอะไรอยู่” เด็กสาวทำหน้าตกตะลึง ชี้ไปที่เจียงซื่อ “นางไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์หรือ”
หญิงชรามีท่าทีสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามออกไปเสียงหนักแน่น “เจ้าเป็นใคร”
เจียงซื่อมองหญิงชราหน้านิ่ง พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าคืออาซัง”
หญิงชราทำหน้าตะลึงงันออกมา ความรู้สึกที่แน่วแน่มาตั้งแต่แรกสั่นคลอนเล็กน้อย
ถ้าหากสตรีตรงหน้าที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ทุกอย่างบอกว่าตัวเองคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ นางคงไม่เชื่อแน่นอน
ทว่าหญิงสาวนางนี้บอกว่าตนชื่ออาซัง
หากเป็นคนต่างถิ่นแอบอ้างว่าเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ จะรู้นามในวัยเด็กของสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร
หญิงชรารู้สึกลังเลขึ้นมา
เจียงซื่อเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “มีใครแอบอ้างข้าได้ด้วยงั้นรึ”
“แต่ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มีไฝที่หว่างคิ้ว…” ท่าทียกตนข่มท่านของหญิงชราเมื่อครู่ลดลงไปมาก
เจียงซื่อไม่แม้แต่จะเสียท่าที พลางถามกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์ “อาศัยเพียงแค่ไฝเม็ดเดียวงั้นหรือ”
ชาติภพที่แล้วนางใช้ชีวิตอยู่ในฐานะอาซังมานานหลายปี แถมยังไม่เคยแสดงพิรุธออกมาให้ใครเห็น
ซึ่งนี่มันเกี่ยวข้องกับวิธีการเลี้ยงดูสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียวแน่นอน
ขั้นแรกจะมีการเลือกสตรีที่มีคุณสมบัติอันเหมาะสมในเผ่า จากนั้นก็ต้องจากครอบครัวไปไกลเพื่อไป ฝึกวิชาวิทยายุทธ์ด้วยกัน
โดยขั้นตอนนี้จะมีการคัดคนออกอย่างไม่ขาดสาย ผ่านไปปีแล้วปีเล่าผู้ที่ผ่านเข้าเลือกเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็จะลดลงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหลือสตรีศักดิ์สิทธิ์คนสุดท้ายผู้เดียวที่จะต้องฝึกบำเพ็ญวิชาพร้อมกับผู้อาวุโสใหญ่
อาซังได้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่อายุสิบปี ผู้ที่สนิทกับนางมากที่สุดก็คือผู้อาวุโสใหญ่และบ่าวรับใช้ข้างกาย สำหรับผู้อื่นสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่สูงเทียมฟ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดล้วนต้องให้เกียรติ
ทว่าบัดนี้ อาซังได้จากโลกนี้ไปสองปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเคยพบเห็น
นางกับอาซังมีหน้าตาเหมือนกัน พูดภาษาของเผ่าอูเหมียวได้ และเข้าใจวิทยายุทธ์ของเผ่าอูเหมียว รู้แม้กระทั่งว่าอาซังมักจะชอบทำอะไร แล้วผู้ใดยังกล้าว่านางไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์อีก
แน่นอนว่าถ้าหากหญิงชรากลับไปหาผู้อาวุโสใหญ่เพื่อยืนยัน ผู้อาวุโสใหญ่ก็จะเปิดเผยเรื่องข่าวการตายของอาซังออกมา เช่นนั้นมันก็จะขัดแย้งกับนาง
แต่ใครจะสนกันเล่า ตอนนี้นางเพียงแค่ต้องการเค้นเอาสิ่งที่อยากรู้จากปากของหญิงชราออกมาให้ได้เท่านั้น
“แต่ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มีไฝที่หว่างคิ้ว…” หญิงชรายิ่งรู้สึกสั่นคลอนยิ่งขึ้น แววตาเต็มไปด้วยความลังเล
เจียงซื่อยิ้ม พร้อมกับยกมือขึ้นลูบหว่างคิ้ว ไฝสีแดงเม็ดเล็กโผล่ออกมาอย่างชัดเจน
หญิงชราตกตะลึง จ้องมองไฝแดงเม็ดนั้นตาไม่กะพริบ
เจียงซื่อมองหญิงชราด้วยสายตาเยือกเย็น “เป็นอย่างไร ยังคิดว่าข้าไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์อีกหรือ เจ้าคงจะไม่ได้เห็นข้ามานานมากแล้วสิท่า”
หญิงชรารีบคารวะเคารพ “ขอท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดอภัยให้ข้าผู้โง่เขลาด้วยเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อหัวใจกระตุกวาบขึ้นมา รับรู้และเข้าใจได้ในทันทีว่าตัวตนของหญิงชราคือผู้ใด
ในเผ่าอูเหมียว ผู้ที่สามารถแทนตัวเองว่า “ข้า” ได้นั้นมีเพียงแค่ตำแหน่งผู้อาวุโส
“ลุกขึ้นเถิด”
หญิงชราลุกขึ้น ถามเจียงซื่อออกไป “เหตุใดสตรีศักดิ์สิทธิ์ถึงได้มาอยู่ที่ต้าโจวเจ้าคะ”
“แล้วเหตุใดผู้อาวุโสถึงได้มาอยู่ที่นี่ล่ะ” เจียงซื่อถือโอกาสถามกลับ
ถึงแม้ว่าหญิงชราจะมาที่ต้าโจวตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน นางก็มั่นใจได้เลยว่าอาซังไม่มีทางรู้จุดประสงค์ที่หญิงชรามาที่นี่
หญิงชราลังเลอยูครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้น “ข้าได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโสใหญ่จึงได้มาที่นี่ ส่วนเพราะอะไรนั้น…ขอสตรีศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดให้อภัย หากไม่ได้รับอนุญาตจากท่านผู้เฒ่าเองข้าไม่อาจบอกผู้ใดได้”
เจียงซื่อถอนหายใจออกมาเงียบๆ
ไม่ได้แสดงท่าทีเอาอกเอาใจออกมา น่าเสียดายเสียจริง
ทว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความลับของเผ่า การไม่รู้ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่ผิด
ในอนาคตหากหญิงชรากลับไปที่เผ่าอูเหมียว แล้วยกเรื่องนี้มาพูดกับผู้อาวุโสใหญ่แน่นอนว่าตัวตนของนางจะต้องถูกเปิดโปงแน่ แต่หากตอนนี้ถูกนางล่วงรู้ความลับอะไรที่สำคัญ ไม่แน่อาจจะสร้างปัญหาใหญ่ได้
“ร้านแห่งนี้เปิดมาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนงั้นหรือ”
“สิบห้าปีก่อนเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
สิบห้าปีก่อนนางอายุเพียงหนึ่งปีกว่า และท่านแม่ก็ได้จากไปในช่วงเวลานั้น
“นานขนาดนี้เชียวหรือ ไม่เคยได้ยินท่านผู้เฒ่าพูดถึงเลย” เจียงซื่อพูดอย่างทอดถอนใจ
เจียงซื่อพูดถึงผู้อาวุโสใหญ่ด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคยและเป็นธรรมชาติ ความสงสัยทั้งหมดของหญิงชราจึงสลายไปทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้หญิงชราถึงได้เปิดใจพูดมากยิ่งขึ้น
“เรื่องนี้สำคัญมาก มีเพียงผู้อาวุโสใหญ่กับผู้ที่ได้รับภารกิจเท่านั้นที่รู้ เช่นนั้นสตรีศักดิ์สิทธิ์จึงไม่เคยได้ยินผู้อาวุโสใหญ่พูดถึง”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” เจียงซื่อเห็นหญิงชราเลิกสงสัย จึงเอ่ยถามขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงมาหาที่นี่”
หญิงชราส่ายหน้า
เจียงซื่อท่าทางเยือกเย็นลงโดยพลัน เอ่ยพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าบังเอิญพบว่ามีคนคนหนึ่งถูกกู่กาฝากทำร้าย!”
หญิงชราเบิกตาโพลงจ้องไปที่เด็กสาว พลางแสดงท่าทีเคารพนอบน้อม “สตรีศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดอย่างถือโทษโกรธเลย หลานสาวข้าไม่รู้ความ จึงอาจหาญบุ่มบ่าม…”
เด็กสาวรีบเอ่ยพูดออกมา “สตรีศักดิ์สิทธิ์ ขอท่านอย่างได้ถือโทษโกรธฮวาวั่วเลย ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของข้า…สตรีศักดิ์สิทธิ์โปรดลงโทษข้าเถิด… ”
เด็กสาวพูดพร้อมกับหมอบลงกับพื้นตัวสั่นเทิ้ม
“ครั้งหน้าอย่าได้ทำอีก”
หญิงชรารีบตะโกนออกไป “สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ถือสาเอาเรื่อง ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก”
เด็กสาวตาลีตาลานลุกขึ้น ยืนอยู่ด้านหลังหญิงชราด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
หญิงชราชำเลืองมองเจียงซื่อ ในใจพลางคิดว่าครั้งนั้นที่เจอสตรีศักดิ์สิทธิ์ สตรีศักดิ์สิทธิ์ยังอายุน้อย ไม่นึกเลยว่าผ่านไปไม่กี่ปีจะดูน่าเกรงขามเฉกเช่นผู้อาวุโสใหญ่แล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ นางก็เผยรอยยิ้มปลื้มอกปลื้มใจออกมา
เผ่าอูเหมียวมีผู้สืบทอด ช่างเป็นพรจากสวรรค์เสียจริง
ระหว่างผู้อาวุโสใหญ่กับสตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ อันที่จริงควรจะมีสตรีศักดิ์สิทธิ์อีกท่านหนึ่ง เพียงแต่ว่า ณ ตอนนั้นไม่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่สวรรค์เลือกปรากฏตัวออกมาอีก
ผู้อาวุโสใหญ่นับวันยิ่งแก่ลงเรื่อยๆ สักวันหนึ่งก็ต้องหลับแล้วไม่ฟื้น ถ้าหากไม่มีสตรีศักดิ์สิทธิ์รับช่วงต่อเพื่อเป็นผู้อาวุโสใหญ่ เผ่าอูเหมียวที่ขาดผู้อาวุโสใหญ่คุ้มครองก็เหมือนหมาป่าที่ขาดเขี้ยวแหลม ด้วยเหตุนี้อาจตกเป็นเป้าหมายของเผ่าอื่นเข้ามาแย่งชิงและยึดครองได้
ในตอนนั้น ทั่วทั้งเผ่าอูเหมียวล้วนตื่นกลัวกันหมด จนกระทั่งอาซังปรากฎตัวออกมาทำให้คนในเผ่าต่างก็สบายใจ
“นอกจากครั้งนี้ ในอดีตพวกเจ้าเคยมอบกู่กาฝากให้คนใกล้ชิดคนอื่นอีกหรือไม่” เจียงซื่อถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เด็กสาวรีบส่ายหน้า “ไม่มีเจ้าค่ะ!”
“แล้วฮวาวั่วล่ะ” เจียงซื่อมองไปที่หญิงชราแล้วเอ่ยถาม
นางอยากรู้สิ่งที่หญิงชราจะพูดมากที่สุด
หญิงชราครุ่นคิดอย่างละเอียด แล้วส่ายหน้าออกมา “ไม่มีเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อชะงัก มีความรู้สึกอัดอั้นราวกับหมัดที่ชกลงไปบนผ้าฝ้าย
ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก
หรือว่าเบาะแสนี้จะหายไปดื้อๆ เช่นนี้ หากอยากจะรู้ว่ากู่กาฝากขององค์หญิงใหญ่หรงหยางได้มาจากไหนก็จำเป็นต้องไปถามคนของนางเอง
นางจะต้องจัดการฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าท่านแม่ให้ได้ แต่พอคิดว่าต้องถามเรื่องน่ากลัวพวกนี้จากปากองค์หญิงใหญ่มันก็ยากแล้ว
ภายใต้การยอมรับว่านางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ฮวาวั่วจึงไม่มีทางพูดเท็จต่อนางแน่ นอกเสียจากว่าหญิงชราคิดจะฝ่าฝืน ไม่จงรักภักดีต่อเผ่าอูเหมียว
หญิงชราบอกว่าไม่มี มันก็น่าจะไม่มีจริงๆ
เจียงซื่อไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีหนทางอื่นแล้ว
“สตรีศักดิ์สิทธิ์เจ้าคะ” เจียงซื่อนิ่งเงียบไปนานเล็กน้อย หญิงชราจึงตะโกนเรียก
เจียงซื่อรู้สึกตัวขึ้นพลางมองไปที่หญิงชรา พร้อมกับปรายตามองไปยังเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย ภายในเวลาอันสั้น หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา “ตอนนั้นผู้อาวุโสมาที่นี่คนเดียวหรือไม่”
หญิงชราเอ่ยขึ้น “สองคนเจ้าค่ะ”
“อีกคนหนึ่งก็เป็นผู้อาวุโสหรือ”
“เป็นผู้อาวุโสรุ่นที่สองเจ้าค่ะ”
ผู้เข้าร่วมคัดเลือกสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่มีปัญญาเฉลียวฉลาดที่สุดที่ได้ฝึกบำเพ็ญร่วมกับผู้อาวุโสใหญ่มาตั้งแต่แรกจะได้เป็นรุ่นหนึ่ง ส่วนผู้อาวุโสรุ่นสองก็คือพวกที่อาซังเลือกออกมาจากการคัดเลือกสตรีศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ว่ารุ่นที่สองนั้นไม่ได้ถูกสวรรค์เลือก
“แล้วทำไมถึงไม่เห็นอีกคน” เจียงซื่อข่มความตื่นเต้นภายในใจไว้ เอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หญิงชราพูดขึ้น “มาถึงที่นี่ได้ไม่นาน นางก็เข้าวังไปแล้ว”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง