ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 460 ของพระราชทานหนึ่งคันรถ
พระชายาเยี่ยนอ๋องท้องแล้ว!
ทุกคนภายในห้องทรงพระอักษรล้วนกำลังทำความเข้าใจกับข่าวสารเรื่องนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้แคะหู แล้วตรัสถามหมอหลวงออกไปอีกครั้ง “พระชายาเยี่ยนอ๋องมีเรื่องน่ายินดีแล้วหรือ”
พานไห่ลูบปลายจมูกอยู่เงียบๆ ฝ่าบาทให้หมอหลวงพูดซ้ำสองรอบแล้ว กลัวว่าพวกขุนนางจะได้ยินไม่ชัดหรืออย่างไร
หมอหลวงให้ความร่วมมือเป็นอย่างมาก เอ่ยทูลอย่างเสียงดังฟังชัดออกมาอีกครั้ง “ใช่พ่ะย่ะค่ะ พระชายาเยี่ยนอ๋องทรงมีพระครรภ์ได้เข้าเดือน…”
เสียงอันใสกังวานของหมอหลวงดังสะท้อนไปทั่วทั้งห้องทรงพระอักษร ดังสะท้อนเข้าไปในหูของทุกคน
พวกขุนนางสีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีตับหมู
ถึงแม้ขุนนางจะมีสิทธิ์รู้เรื่องราชวงศ์ แล้วผู้ที่ยื่นมติไม่ไว้วางใจก็เป็นขุนนางระดับสูง ทว่ายื่นมติไม่ไว้วางใจสตรีผู้หนึ่ง ผลสรุปกลายเป็นตั้งท้อง…นี่มันน่าอายเกินไปแล้ว
กลับบ้านไปหากมารดาหรือว่าภรรยารู้เข้า เกรงว่าจะต้องถูกด่าแน่นอน
เมื่อเห็นพวกขุนนางทำหน้าตะลึง จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกสบายอกสบายใจขึ้นมาทันที
หึหึ ถึงเวลาที่เจ้าพวกนี้จะต้องเสียหน้าแล้ว ก่นด่ากันอย่างสนุกปาก คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ
เห็นทีหยกสมปราถนาที่เขาประทานให้ภรรยาเจ้าเจ็ดอันนั้นจะช่วยพลิกดวงชะตาให้แล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสุข กวาดสายตามองไปที่อวี้จิ่น แกล้งทำท่าไม่พอใจ “องค์ชายเจ็ด ภรรยาเจ้าตั้งครรภ์นั่นเป็นเรื่องมงคลยิ่งนัก เหตุใดถึงไม่บอกกล่าวกับทางวัง หากเจ้าบอก อ้ายชิงทั้งหลายจะเข้าใจผิดได้อย่างไร”
ขุนนางทั้งหลายราวกับถูกตบหน้าซ้ำๆ ย้ำๆ ติดต่อกัน ใบหน้าเจ็บแปลบ
ดวงตาคู่สวยของอวี้จิ่นฉายแววความสงสัยออกมาเล็กน้อย “เสด็จพ่อ ว่ากันว่าที่เมืองหลวงสตรีที่ตั้งครรภ์ไม่ถึงสามเดือนห้ามพูด…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขารู้อยู่ว่ามีเรื่องแบบนี้ ว่ากันว่าหากพูดออกมาก่อนจะทำให้แท้งได้ง่าย!
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดสายตามองสีหน้าของพวกขุนนางทั้งหลายช้าๆ พวกขุนนางหูตาแดงก่ำเพราะความอาย รู้สึกกดดันราวกับมีภูเขาทับอกขึ้นมาทันที
ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไร หากเกิดเรื่องดีหรือร้ายกับพระชายาเยี่ยนอ๋อง หรือว่าต้องการให้พวกเขาชดใช้ลูกให้
ลูกหลานของราชวงศ์เชียวนะ…เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว พวกขุนนางก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที
ขุนนางที่โวยวายมากที่สุดก่นด่าเสนาธิการขององค์รัชทายาทอยู่ในใจเป็นหมื่นล้านคำ ด่าออกมาให้ฝ่าบาทฟังไม่ได้สักคำ
ขุนนางไม่อาจเข้าข้างใครได้ แต่คนเรามักจะเลือกที่รักมักที่ชัง และเขาก็สนับสนุนฝ่ายองค์รัชทายาท
อันที่จริงพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก ฝ่าบาทปกป้องรักษาตำแหน่งองค์รัชทายาทมาตลอด ในฐานะที่เป็นขุนนางสนับสนุนองค์รัชทายาทจึงถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าองค์รัชทายาทเป็นหลุมภัยจริงๆ ยังไม่ทันรู้เรื่องราวจนแน่ชัดก็ส่งสัญญาณให้เขายื่นมติไม่ไว้วางใจเยี่ยนอ๋อง ทำเอาเอาพวกเขาหน้ามุ่ยคอตกกันไปเป็นแถว
เมื่อขุนนางคิดเช่นนี้ ต่างก็คุกเข่าก้มหน้าลงยอมรับโทษ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจออกมา ตรัสด้วยความใจกว้าง “ข้ารู้ว่าอ้ายชิงทุกท่านล้วนทำเพื่อปกป้องจรรยาบรรณของต้าโจว ถึงแม้ว่าจะเข้าใจผิดถึงได้โวยวายออกมา แต่ข้าจะไม่โทษพวกเจ้าหรอก”
“พวกกระหม่อมสมควรได้รับโทษ…” พวกขุนนางต่างเอ่ยพูดออกมาด้วยความรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรง
ฝ่าบาททำเกินไปแล้ว นึกไม่ถึงเลยว่าจะเหยียบย่ำซ้ำเติมคนที่แพ้อย่างพวกเขา!
จิ่งหมิงฮ่องเต้อมยิ้มมองพวกขุนนางที่ก้มหัวคุกเข่าอู่ที่พื้น ตรัสพูดอย่างเป็นกันเอง “อ้ายชิงทุกท่านไม่จำเป็นต้องขอรับโทษจากข้า จำไว้เป็นบทเรียนเตือนใจก็พอแล้ว”
ดูสิว่าจากนี้ไปพวกเจ้ายังจะกล้าจับตาดูเรื่องส่วนตัวของราชวงศ์อีกหรือไม่ แม้แต่เขาจะออกไปนอกวังล้วนเอาแต่ล้อมหน้าล้อมหลัง แต่ละคนต่างก็ทำเกินไปจริงๆ
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่อวี้จิ่นอีกครั้ง “เยี่ยนอ๋อง ใต้เท้าทุกท่านไม่ได้ตั้งใจจะเล่นงานเจ้า พวกเขาแค่ปกป้องหน้าตาของราชวงศ์ ไม่ได้มีเจตนาส่วนตัว เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธไปเลยนะ”
“กระหม่อมทราบแล้วพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงพูดของอวี้จิ่นราบเรียบ เมื่อพูดจบก็หลุบตาลงไม่พูดไม่จาอะไรออกมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมอง นี่กำลังน้อยใจเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมงั้นรึ
ก็จริง มีผู้บริสุทธิ์คนไหนที่ถูกพวกขุนนางแว้งกัดเช่นนี้แล้วไม่น้อยใจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นยังทำเรื่องไม่มงคลโดยให้รีบพูดเรื่องที่ภรรยาเจ้าเจ็ดตั้งท้องออกมาเร็วกว่ากำหนดอีก…
เห็นทีต้องชดเชยให้เจ้าเจ็ดสักหน่อย
หากจะบอกว่าไม่โกรธพวกขุนนางเลยเป็นไปไม่ได้หรอก จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดอยากจะแก้แค้นสักหน่อย จึงมอบของกองใหญ่เพื่อปลอบขวัญพระชายาเยี่ยนอ๋องต่อหน้าพวกขุนนางทั้งหลาย
อวี้จิ่นเอ่ยขอบคุณด้วยท่าทางนิ่งเฉย “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าลงเบาๆ
ไม่ได้แแสดงท่าทางดีอกดีใจออกมาเพราะของพระราชทานเล็กน้อยพวกนี้ เจ้าเจ็ดยังคงหนักแน่น อย่างน้อยตาเขาก็ไม่ได้ตื้นเขินขนาดนั้น
“อ้ายชิงทุกท่านกลับไปเถอะ”
“กระหม่อมขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” พวกขุนนางทั้งหลายต่างพากันหนีออกไปอย่างไม่รอช้า
ภายในห้องทรงพระอักษรโล่งไปเกือบครึ่งอย่างรวดเร็ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่อวี้จิ่น พลางเอามือลูบลงบนที่ทับกระดาษหยกขาว
“มีข่าวดีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
อวี้จิ่นเอ่ยพูดออกไป “หลังจากที่นางไปเยี่ยมเหล่าฮูหยินที่จวนอี๋หนิงโหวกลับมารู้สึกไม่ค่อยสบาย ลูกไม่สบายใจ จึงเรียกหมอเหลียงในจวนมาตรวจชีพจร คาดไม่ถึงเลยว่าจะตั้งท้อง ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจไปร่วมไว้ทุกข์ได้…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าลงเบาๆ
สตรีมีครรภ์นั้นมีข้อห้ามมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือไม่สามารถไปร่วมงานอวมงคลหรืองานศพได้
“เช่นนั้นก็ควรจะบอกกล่าวให้ทางวังรับรู้”
“ลูกกลัวว่ามันจะไม่ดีต่อลูกในครรภ์…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ทำหน้าตะลึง “มันจะเป็นอะไรไป นี่ไม่ใช่ตระกูลสามัญชนคนธรรมดาสักหน่อย ภรรยาเจ้าตั้งท้องลูกหลานของราชวงศ์เชียวนะ เทพดูแลครรภ์จะต้องปกป้องคุ้มครองแน่นอน!”
อวี้จิ่นก้มหน้าลง “ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ จากนี้ไปหากมีเรื่องน่ายินดีอีกลูกจะบอกเสด็จพ่อทันที”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังจะเอ่ยปากตอบรับอย่างพอใจ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงกระแอมเสียงพูดออกไป “บอกข้าทำไม ให้ฮองเฮารู้ก็พอแล้ว”
“ลูกเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะ กลับไปอยู่กับภรรยาเจ้าเถอะ ให้นางพักผ่อนดูแลเด็กในครรภ์ให้ดี”
อวี้จิ่นเอ่ยปากขอบคุณ จากนั้นก็ลากของพระราชทานหนึ่งคันรถกลับไปที่จวนเยี่ยนอ๋อง
……
“อะไรนะ เจ้าเจ็ดนำของพระราชทานหนึ่งคันรถกลับไป”
ณ ภายในจวนฉีอ๋อง เมื่อองค์ชายทั้งหมดทราบข่าวก็ได้แต่อึ้ง จากนั้นก็ทยอยส่งคนสนิทออกไปสืบข่าว
หลังจากนั้นไม่นาน พวกองค์ชายทั้งหลายก็ยิ่งตกตะลึงไปกันใหญ่ คาดไม่ถึงเลยว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องจะตั้งท้องแล้ว!
ทุกคนต่างมองไปที่สู่อ๋อง
สู่อ๋องสีหน้าดำทะมึน
เอาอีกแล้ว เขารู้อยู่แล้วว่าหากมีเรื่องอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องเอาเขามาเปรียบกับเจ้าเจ็ด
เขาไปทำอะไรให้ใครกัน ก็แค่อภิเษกสมรสช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเจ้าเจ็ดเท่านั้นเอง
สู่อ๋องรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ในใจ ทว่ากลับหยุดการล้อเลียนของพวกพี่น้องไม่ได้
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าเจ็ดจะเร็วขนาดนี้ น้องหกเจ้าต้องพยายามเข้านะ” หลู่อ๋องตบบ่าสู่อ๋องหนักๆ อยู่สองสามที
สู่อ๋องกระดกน้ำชาดื่มไปหนึ่งครั้ง เอ่ยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่รีบ”
“น้องหกไม่จำเป็นต้องรีบจริงๆ อย่างไรก็เพิ่งจะแต่งงานกันได้ไม่กี่เดือนเท่านั้น” องค์ชายคนโตยิ้มพลางไกล่เกลี่ยสถานการณ์
หลู่อ๋องกลัวว่าจะวุ่นวายไม่พอ จึงพูดโพล่งออกมา “เจ้าเจ็ดแต่งงานช้ากว่าน้องหกไปตั้งหนึ่งเดือนแหน่ะ”
สู่อ๋องวางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะ ลุกพรวดขึ้น “ขอบคุณความโอบอ้อมอารีของพี่สี่มาก ข้ายังมีเรื่องต้องทำที่จวน ข้าขอตัวกลับก่อนล่ะ”
เมื่อสู่อ๋องเดินออกไป คนอื่นก็ทยอยขอตัวกลับ
ฉีอ๋องส่งทุกคนไปถึงหน้าประตูด้วยรอยยิ้ม เมื่อหันกลับมารอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าหายไปโดยพลัน จากนั้นสาวเท้าก้าวเดินไปที่หลังเรือน
พระชายาฉีอ๋องกำลังคิดบัญชีของฤดูกาลนี้ พบว่าค่าใช้จ่ายภายในจวนเยอะเกินไปมาก จึงกำลังครุ่นคิดว่าจะชดเชยส่วนที่ขาดหายไปอย่างไรดี แล้วเห็นฉีอ๋องเดินเข้ามาพอดี
พระชายาฉีอ๋องละสิ่งที่ทำอยู่ หันไปยิ้มรับ “พวกองค์ชายกลับแล้วหรือเพคะ”
สายตาของฉีอ๋องมองจ้องไปยังใบหน้าที่ธรรมดาของพระชายาฉีอ๋อง จู่ๆ ก็รู้สึกเบื่อขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
หน้าตาไม่สวยก็พอแล้ว แต่งงานกันมาหลายปีขนาดนี้ ปัจจุบันมีแค่ลูกสาวคนเดียว ไร้ประโยชน์เสียจริง
“ท่านอ๋องเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
ฉีอ๋องเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พลางเอ่ยขึ้น “ภรรยาเจ้าเจ็ดมีเรื่องน่ายินดีแล้ว”
พระชายาฉีอ๋องมือสั่นระริก รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปโดยพลัน
พระชายาเยี่ยนอ๋องแต่งงานได้ไม่กี่เดือน คาดไม่ถึงเลยว่าจะตั้งท้องแล้ว…
……
หลู่อ๋องกลับไปที่จวน ดึงพระชายาหลู่อ๋องเข้ามาพลางจูบลงบนใบหน้าของนาง
“ท่านอ๋องเป็นบ้าอะไรกัน” พระชายาหลู่อ๋องทั้งดันทั้งผลักด้วยความหงุดหงิด
หลู่อ๋องรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาโดยพลัน “โชคดีที่เจ้าห้ามข้าไว้จึงไม่ได้ร่วมมือด้วย ไม่นึกเลยว่าภรรยาเจ้าเจ็ดจะท้องแล้ว!”