ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 469 เหมันต์หวนมา
จิ่งหมิงฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อพร้อมก้าวเท้าออกจากตำหนักอวี้เฉวียน ปล่อยให้เสียนเฟยอัดอั้นตันใจอยู่เช่นนั้น
ฝ่าบาททรงกริ้วเพราะความไม่ครั่นคร้ามของเจ้าเจ็ดถึงมาพาลใส่นาง
อวชาตบุตร เกิดมาเพื่อสร้างกรรมให้บุพการีแท้ๆ!
จิ่งหมิงฮ่องเต้กลับมาที่ห้องบรรทมของตัวเองพร้อมจิตใจเศร้าหม่น เขาหันไปถามพานไห่ “เยี่ยนอ๋องที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนเป็นอย่างไรบ้างรึ”
“กราบทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องดูสงบนิ่ง นั่งสำนึกความผิดอยู่ในห้องเปล่าเพียงลำพังพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วคนอื่นๆ เล่า”
“เหล่าองค์ชายเสด็จไปเยี่ยมเยียนทีละพระองค์พ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดตาไปทางพานไห่ “เหตุการณ์ที่นั่นสงบเรียบร้อยดี?”
พานไห่เข้าใจความหมายนั้น ฝ่าบาทคงกังวลพระทัยถึงพระราชนัดดาที่ยังไม่ประสูติ แต่การจะปล่อยตัวองค์ชายก็เกรงว่าจะมีข้อครหา
“พระชายาเยี่ยนอ๋องให้คนนำอาหารมาถวายเยี่ยนอ๋อง สิริรวมสิบแปดจานด้วยกัน ได้ยินว่าท่านอ๋องเสวยจนเกลี้ยงเลยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้บุ้ยปาก “กินเก่งเสียเหลือเกิน”
พานไห่หัวเราะเป็นเชิงตอบรับ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เคาะนิ้วลงบนที่วางแขน “มิได้ตีโพยตีพาย มิได้เข้าวังมาวิงวอนขอร้อง หนำซ้ำยังจัดเตรียมสำรับอาหารมาให้เจ้าเจ็ดมากมาย…”
ว่าไปแล้วสะใภ้เจ็ดนี่ช่างใจเย็นยิ่งนัก
มาคิดๆ ดูแล้ว ก่อนที่นางจะออกเรือน นางผ่านร้อนผ่านหนาวมาตั้งมากมาย ทั้งเรื่องถอนหมั้นและเรื่องฟ้องร้องของพี่สาว…
ในขณะนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกว่าสะใภ้ที่เลือกมาไม่เลวเลยทีเดียว
ในเมื่อนี่มิใช่ครอบครัวสามัญชนที่พบเจอแต่เรื่องหยุมหยิม การเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ในเชื้อพระวงศ์จำต้องเป็นคนมีความอดทนสูง ทนลมทนฝน เจ้าเจ็ดอารมณ์พลุ่งพล่านระคายเคืองได้ง่าย ควรแล้วที่มีพระชายาเช่นนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจโดยไม่มีเหตุผล อารมณ์ของเขาผ่อนคลายกว่าเดิมมาก
พานไห่เฝ้ามองก่อนจะพบว่า บัดนี้มุมมองของจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่มีต่อพระชายาเยี่ยนอ๋องเปลี่ยนไปแล้ว
“ไปแจ้งที่พระตำหนักคุนหนิงว่า ข้าอาจจะไปทานมื้อเย็นที่นั่น”
พานไห่ตอบรับแล้วรีบสั่งให้คนไปแจ้งข่าวที่ตำหนักฉือหนิง
ฮองเฮาสุขสราญอย่างยิ่งยวด
ฮ่องเต้เสด็จมาด้วยพระองค์เองเช่นนี้ ทำให้ผู้เป็นฮองเฮารู้สึกภูมิใจไม่น้อย
แน่นอนว่า แม้ฮ่องเต้จะไม่เสด็จมา สถานะฮองเฮาของนางก็ยังคงอยู่ หากพวกนกกระจิบนกกระจอกกล้าอวดดีต่อหน้านาง นางก็จะตามไปคิดบัญชีให้เรี่ยม
นี่ถือเป็นอำนาจความแข็งแกร่งของฮองเฮา
ฮองเฮาอ่านขาดในเรื่องนี้ แม้ฮ่องเต้จะมิได้โปรดปรานนางมากปานนั้น แต่อย่างน้อยก็ยังให้เกียรติสถานะของฮองเฮา
“ไปกำชับที่ห้องเครื่องด้วยว่า ฝ่าบาททรงโปรดบะหมี่หนวดมังกรอบปากปลา ให้เตรียมสำรับไว้ด้วย” ฮองเฮาออกคำสั่งพร้อมใจหวาดหวั่น
ช่วงปีที่ผ่านมา ฝ่าบาทแทบจะไม่เคยเสวยพระกายาหารที่ตำหนักคุนหนิงสองมื้อติดกัน เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ผิดแผกยิ่งนัก
ครั้นนึกถึงเรื่องที่ฝ่าบาทตรัสเมื่อมื้อกลางวันก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้น หรือฝ่าบาทไม่อาจวางพระทัยเรื่องพระชายาเยี่ยนอ๋องที่กำลังตั้งครรภ์งั้นหรือ
ฮองเฮาที่ได้ข้อสรุปหลุดหัวเราะออกมา
ฝ่าบาทห่วงพระพักตร์ยิ่งกว่าสิ่งใด นางถึงต้องเป็นผู้แทนไปโดยปริยาย เป็นโอกาสดีที่นางจะได้แสดงความจริงใจ
ครั้นได้ยินว่าฮองเฮาส่งสำรับอาหารบำรุงกำลังไปให้เยี่ยนอ๋อง จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้ละเลียดชาอย่างพึงใจ
ฮองเฮาดีกว่าเสียนเฟยเป็นไหนๆ ไม่เสียชื่อมารดาของแผ่นดินเลยจริงๆ
เฮ้อ เขาจะได้เฝ้ารอวันนั้นของปีอย่างสบายใจเสียที
คืนวันสุกดิบของเหมันตฤดูคืบใกล้เข้ามา
การลงโทษอวี้จิ่นเป็นที่ฮือฮาในหมู่องค์ชายเพียงไม่กี่วันก็ค่อยๆ สงบลง
จิ่งหมิงฮ่องเต้เกษมสำราญไม่น้อยจึงเสด็จไปหาหยางเฟยที่ตำหนัก
แม้คำว่า ‘สตรีงามสามพันนาง’ อาจฟังดูเกินจริง ถึงกระนั้นสนมในวังหลวงก็มีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ในช่วงสองสามปีมานี้ หยางเฟยถือเป็นพระสนมที่ฮ่องเต้โปรดปรานเป็นที่สุด
เพียงแต่เมื่อปีกลาย พี่ชายของหยางเฟยเสียชีวิตลงอย่างน่าอเนจอนาถ ทำให้หยางเฟยกล่าวโทษจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่หยุดหย่อน นานวันเข้า การเห็นนางสนมเอาแต่ร้องไห้โอดครวญยิ่งทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้รำคาญใจ ตั้งแต่นั้นมา ฮ่องเต้ก็ไม่เสด็จมาที่นี่มากเท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับเรื่องของความรู้สึกเสมอ แม้วันเวลาจะผันผ่านไปนานแล้ว ทว่าความคิดถึงนั้นมิได้จางหาย
บริเวณบันไดหินด้านนอกตำหนักฝูหรง มีสตรีงามนางหนึ่งยืนอยู่พร้อมกับตะเกียงไฟในมือ
รูปร่างของนางเพรียวบาง กระโปรงสีครามถูกบุนวมด้วยขนของอีกา ประหนึ่งว่าจะลอยละล่องไปตามสายลม
“ถวายบังคมฝ่าบาท” หยางเฟยย่อเข่าถวายความเคารพ โคมไฟเรื่อเรืองสีส้มกวัดแกว่งไปมาตามแรงเคลื่อนไหว
จิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าไปกุมมือหยางเฟย
นิ้วมือของนางเย็นเฉียบ
“เหตุใดถึงมายืนรออยู่ที่นี่” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวพร้อมจูงนางเดินเข้าไปด้านใน
หยางเฟยหลุบตากล่าวแผ่วเบา “หม่อมฉันมาส่องไฟให้ฝ่าบาทอย่างไรเพคะ”
“เจ้าให้นางในมาทำแทนก็เหมือนกันมิใช่หรือ”
หยางเฟยคลี่ยิ้มน่าเอ็นดู “หาไม่เพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้กวาดสายตาสำรวจหญิงสาวตรงหน้า ครั้นเห็นรอยยิ้มนุ่มนวลเจืออยู่บนใบหน้าซูบตอบ ในใจของฮ่องเต้ทั้งตื้นตันและยินดีในคราวเดียวกัน
ไม่มีทีท่าโวยวายหลงเหลืออยู่แล้ว สงสัยคงหายโกรธเขาแล้ว
การเสียชีวิตของพี่ชายหยางเฟยเกิดขึ้นในเมืองหลวง ในตอนนั้น เจินซื่อเฉิงที่เพิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครเป็นผู้รับหน้าที่ไขคดี หลังจากเรื่องนั้น หยางเฟยก็เอาแต่ตะบึงตะบอนใส่เขาไม่เลิกรา
หลังจากรื้อฟื้นคืนวันอันแสนหอมหวานแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็สวมอาภรณ์เตรียมตัวกลับตำหนัก หยางเฟยเข้ามาเกี่ยวกระหวัดที่เอวของฮ่องเต้พลางกล่าวออดอ้อน “ฝ่าบาท การแปรพระราชฐานในวันพรุ่ง หม่อมฉันขอไปกับพระองค์ด้วยได้หรือไม่เพคะ”
“เจ้าอยากไปงั้นหรือ”
หยางเฟยเม้มปากก่อนจะพยักศีรษะรับ “เพคะ ตั้งแต่เข้าวังมาก็ไม่เคยมีโอกาสได้ออกไปนอกวังเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่ท่านพี่เสียชีวิต หม่อมฉันยังไม่อาจไปร่วมเลยเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าด้วยความใจอ่อน
การไปสักการะฟ้าดินในฤดูหนาว มีทั้งฮองเฮา เสียนเฟย และคนอื่นๆ ร่วมเดินทางไปด้วย การมีหยางเฟยเพิ่มไปอีกคนก็คงมิใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
หยางเฟยถือตะเกียงไฟเดินไปส่งจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่หน้าประตู
ค่ำคืนหนาวเหน็บเย็นยะเยือก จิ่งหมิงฮ่องเต้หันหลังกลับมามองท่ามกลางความมืด
แสงสลัวจากตะเกียงทำให้เห็นสีหน้าของนางได้ไม่ชัดเจน
“ฝ่าบาท ระวังด้วยพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่กล่าวเตือน
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันหน้ากลับมา แล้วเดินจากไป
พานไห่พร้อมข้าหลวงจำนวนหนึ่งเดินตามไปติดๆ ทิ้งความมืดมิดยามค่ำคืนไว้เบื้องหลัง
หยางเฟยถึงยอมหันหลังเดินกลับเข้าไปในตำหนัก
……
วันถัดมาในขณะที่ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างดี ผู้คนในวังหลวงต่างก็ชุลมุนหัวหมุนอยู่กับการเตรียมตัวออกเดินทาง มีเพียงที่จวนเยี่ยนอ๋องเท่านั้นที่ยังคงเงียบสงัด
เจียงซื่อตื่นแต่เช้าตรู่ สายตาจดจ้องไปที่ขอเกี่ยวม่านบนหัวเตียงอย่างใจลอย
เหมันต์แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนอีกครั้ง
เมื่อผ่านวันนี้ไปแล้ว ไม่อาจรู้เลยว่าชะตาชีวิตของผู้คนจะเปลี่ยนแปลงไปในทางใด
“เหนียงเหนียง ตื่นนอนแล้วหรือเจ้าคะ” เจียงซื่อไม่รู้ตัวเลยว่าอาเฉี่ยวถืออาภรณ์เดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด นางค่อยๆ เลิกม่านคลุมเตียงอย่างเบามือ
เจียงซื่อคลี่ยิ้ม “ยังเช้าอยู่เลย เจ้าไปนอนต่ออีกหน่อยเถิด”
อาเฉี่ยวส่งยิ้มพลางบอก “ในเมื่อเหนียงเหนียงตื่นแล้ว บ่าวจะมีเหตุผลอันใดให้ไปนอนต่อล่ะเจ้าคะ เหนียงเหนียงอยากบรรทมต่อหรือสรงน้ำเลยเจ้าคะ”
“รออีกหน่อยค่อยล้างหน้าแล้วกัน” ภายใต้ผ้าห่มอุ่นๆ เจียงซื่อไม่แม้แต่อยากขยับกาย
“เมื่อวาน นำความไปแจ้งคุณชายรองแล้วใช่หรือไม่”
“เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” อาเฉี่ยวพยักหน้าแม้จะรู้สึกแปลกใจ
เมื่อวานนายหญิงถามคำถามนี้ไปแล้วตั้งไม่รู้กี่รอบ ดูท่าคนท้องคงจะขี้กังวล
เจียงซื่อเผยยิ้มเบาใจ
ความอบอุ่นชวนให้นางเคลิบเคลิ้ม ไม่นานนักเจียงซื่อก็ผล็อยหลับอีกครั้ง
อาเฉี่ยวเห็นเช่นนั้นจึงปิดม่านลงมาก่อนย่องเท้าออกไป
ท่านหมอบอกว่า คนท้องจะมีอาการอ่อนเพลีย ที่แท้ก็เป็นจริงดังว่า
สายลมหนาวโบกโบยเย็นเยียบเสียดกระดูก กองขบวนยาวเหยียดคืบเคลื่อนเชื่องช้าประจันหน้ากับความมืดยามรุ่งสาง
กองทหารในชุดบุนวมถือฉัตรและธงโบกสะบัดเคลื่อนพลนำหน้า ทั้งขบวนเงียบเชียบ ทว่าสง่างามสมเกียรติ
ช่วงเวลาที่มาถึงภูเขาชุ่ยหลัวที่นอกเมืองซึ่งเป็นสถานที่ทำพิธีสักการะฟ้าดินเป็นช่วงเวลาที่ท้องฟ้าสว่างจ้าสดใส
ครั้นได้ฤกษ์อันเป็นมงคล จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้นำเหล่าเชื้อพระองค์ ขุนนางและเหล่าแม่ทัพร่วมกันสักการะฟ้าดิน เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่รัชศกใหม่ที่กำลังจะมาถึง และเพื่อเหล่าราษฎรจะได้อยู่เย็นเป็นสุข
ถัดจากนั้นตามธรรมเนียมจะมีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองให้เหล่าขุนนางและเหล่าแม่ทัพ
ภายในตำหนัก เสียงเครื่องดนตรีขับขานแว่วหวานเครงครื้นประหนึ่งวสันตฤดู ในขณะที่ด้านนอกมีหิมะโหมกระหน่ำไม่ขาดสาย