ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 479 เนื้อหมูนึ่ง
ครั้นได้คำตอบเช่นนั้น ข้าราชการทุกผู้ทุกนายก็ได้แต่ยืนงงก่อนจะแยกย้ายไปตามคำบอกของขันที
ในคืนวันนั้น มีหลายคนไม่อาจข่มตาหลับได้ลง
จิ่งหมิงฮ่องเต้พักอยู่ในที่ประทับของฮองเฮา
แม้จะเป็นที่ประทับชั่วคราว ถึงกระนั้นไฟก็ยังจุดติดไว้อยู่ตลอดเวลา ทำให้อากาศในห้องอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮานอนอยู่ข้างกัน ทว่าไม่มีใครหลับลงเลยสักคน
จิ่งหมิงฮ่องเต้พลิกตัวไปมาก่อนจะลุกจากที่บรรทม และเดินไปยืนอยู่ริมหน้าต่าง
ม่านโปร่งสีเขียวอ่อนบดบังทัศนวิสัยด้านนอก
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอื้อมมือไปผลักหน้าต่าง ปล่อยให้สายลมหนาวเหน็บเสียดกระดูกรินไหลเข้ามา
มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมกับมีชุดคลุมอีกตัววางทับบนไหล่
“ฝ่าบาท ระวังจะประชวรเอานะเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันกลับมาเห็นฮองเฮาในสภาพที่หมวยผมถูกคลายออก และกำลังเฝ้ามองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงเป็นใย
เขาชี้นิ้วไปที่นอกหน้าต่างพลางกล่าว “ฮองเฮา ดูซิ หิมะหยุดตกแล้ว”
ฮองเฮามองตาม
เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืน บนทางเดินมีโคมไฟถูกแขวนเป็นทางยาว เปล่งแสงเรื่อสีส้ม ลานด้านนอกหน้าต่างจึงสว่างไสวตามไปด้วย
หิมะหยุดตกแล้วจริงดังว่า ตามมุมสนามและชายคาเต็มไปด้วยกองหิมะ พื้นผิวสีขาวสุดลูกหูลูกตาสะท้อนแสงพร่างพราว
ฮองเฮาพยักศีรษะเล็กน้อยพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จริงด้วย หิมะหยุดตกแล้วจริงด้วยเพคะ พรุ่งนี้จะได้กลับวังหลวงเสียที”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เงียบงั้นชั่วอึดใจก่อนจะหัวเราะเยาะกับตัวเอง “ทุกๆ ครั้งที่ข้ามาสักการะฟ้าดินที่ภูเขาชุ่ยหลัว มักจะแอบหวังว่าจะได้พักแรมที่นี่สักคืน พอคิดๆ ดูแล้วก็น่าประหลาดใจยิ่งนัก เพราะเมื่อมีโอกาสได้ค้างคืนที่นี่จริงๆ กลับอยากกลับวังหลวงเสียอย่างนั้น…”
“ฝ่าบาท ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้หรอกเพคะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้โบกมือปรามมิให้ฮองเฮากล่าวปลอบ เขาฝืนยิ้มอย่างขมขื่น “แม้จะบอกเช่นนั้น หากเป็นในวังหลวง ไท่จื่อและหยางเฟยจะมีโอกาสทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร…”
มุมปากของฮองเฮากระตุกวูบ นางมิได้โต้ตอบ เพียงแต่ถอนหายใจในใจเท่านั้น
ไท่จื่อละเมิดศีลธรรมอันดีเช่นนี้ ฝ่าบาทยังคิดว่าเพราะตนเองเป็นคนเปิดโอกาสให้ไท่จื่อ แต่หารู้ไม่ว่า สิ่งของที่ภายในเน่าเฟะ สุดท้ายก็จะต้องส่งกลิ่นเน่าออกมาไม่ช้าก็เร็ว
ดูไปแล้ว ลึกๆ ฝ่าบาทยังคงหวังในตัวไท่จื่อ
เมื่อรู้เช่นนี้ ฮองเฮาจึงต้องระมัดระวังในการเลือกใช้คำพูดให้มาก
เมื่อฮ่องเต้ไม่ใคร่จะฟังต่อจึงเอื้อมมือไปปิดหน้าต่าง “ฮองเฮากลับไปพักเถอะ”
ในอวี้เหอย่วนจวนเยี่ยนอ๋อง เจียงซื่อตื่นขึ้นมาด้วยอาการสะลึมสะลือ
อาหมานที่ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กกล่าวถามด้วยเสียงแหบแห้ง “เหนียงเหนียงอยากดื่มน้ำหน่อยไหมเจ้าคะ”
เจียงซื่อลุกขึ้นนั่ง “รินน้ำอุ่นให้ข้าที”
อาหมานรีบนำน้ำอุ่นมาให้นาง
เจียงซื่อรับไปดื่มสองอึกก่อนจะลุกจากเตียง นางสวมรองเท้าและเดินไปที่ริมหน้าต่าง
“หิมะหยุดตกหรือยัง”
คืนค่ำกลางเหมันตฤดู นางที่กำลังตั้งครรภ์ไม่กลางเปิดหน้าต่างออกไปตามอำเภอใจ เพียงแต่เพ่งมองด้านนอกผ่านผ้าม่านอย่างเหม่อลอย
“หยุดตกแล้วเจ้าค่ะ” แม้อาหมานจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหมู่นี้นายหญิงถึงได้สนอกสนใจเรื่องดินฟ้าอากาศเป็นพิเศษ แต่ในเมื่อเป็นคำสั่งนายหญิง นางก็ยอมทำตามแต่โดยดี
หิมะหยุดตกแล้วหรือไม่นั้น นางออกไปสัมผัสมาเองกับตัว
เจียงซื่อคลี่ยิ้มบางเบา “หยุดก็ดีแล้ว เดี๋ยวก็จะกลับแล้วล่ะ”
อาหมานเป็นพวกหูตาว่องไว ครั้นได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มร่า “จริงด้วย บ่าวได้ยินมาว่าฮ่องเต้นำข้าราชการทุกหมู่เหล่าไปสักการะฟ้าดิน แต่เพราะมีพายุหิมะถึงได้ค้างแรมที่นั่น เห็นว่าหากหิมะหยุดตก วันรุ่งขึ้นก็จะกลับวังหลวงเจ้าค่ะ”
เจียงซื่อมองไปนอกหน้าต่างพลางปรารภกับตนเอง “ข้าหมายถึงเดี๋ยวอาจิ่นก็จะกลับมาแล้วต่างหาก”
ในตอนนั้นอาหมานได้ยินไม่ชัดจึงรีบถาม “เหนียงเหนียงว่าอย่างไรนะเจ้าคะ”
เจียงซื่อดึงสติกลับมาพร้อมหันไปหาสาวรับใช้ นางส่งยิ้มพลางบอก “ไม่ได้พูดอะไร เจ้าไปพักเถิด แล้วพรุ่งนี้เช้าอย่าลืมสั่งในครัวด้วยว่าให้เตรียมเนื้อหมูนึ่งเอาไว้ด้วย”
นำเนื้อหมูมันแทรกที่หั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ เท่าๆ กันไปแช่ในน้ำแกงปรุงรส ต้มทิ้งไว้ จากนั้นนำไปหั่นเป็นแผ่นๆ แล้ววางเรียงไว้บนถั่วแขกแห้ง โรยเกลือ น้ำตาล และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือกระเทียมสับ แล้วจึงนำไปนึ่ง หากได้กลิ่นเนื้อหมูนึ่งโชยออกมาเมื่อใดก็เป็นอันว่ารับประทานได้
การได้กินเนื้อหมูนึ่งหอมฟุ้ง เนื้อสัมผัสชุ่มๆ นุ่มลิ้นคู่ไปกับถั่วแขกดองในวันที่อากาศหนาวเหน็บ น่าจะอร่อยสุดๆ ไปเลย
อาหมานคิดแล้วก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ นางออกความเห็น “บ่าวว่าสับเต้าหู้ยี้ใส่ลงไปนึ่งด้วยน่าจะอร่อยขึ้นนะเจ้าคะ”
เจียงซื่อหลุดหัวเราะ
อวี้ชีชอบกินเนื้อหมูนึ่ง แต่หากนึ่งแล้วปล่อยไว้ให้เย็น น้ำมันจากหมูจะเยิ้มออกมาจนกินไม่ได้ ฉะนั้นในฤดูหนาวเช่นนี้ ควรกินตอนที่เพิ่งออกมาจากหม้อนึ่งใหม่ๆ ถึงจะอร่อย ตลอดเวลาที่เขาถูกขังอยู่ที่ฝ่ายข้าราชการพลเรือนจึงไม่เคยมีอาหารจานนี้ถูกส่งไปเลยสักครั้ง
การที่อาหมานพยายามช่วยเสนอว่าควรทำอย่างไรจึงจะอร่อยขึ้นทำให้เจียงซื่อยิ่งมีความสุข
นางชอบที่อาหมานเป็นคนเรียบง่าย นางใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข
“ถ้าเช่นนั้น จานหนึ่งใส่เต้าหู้ยี้สับ ส่วนอีกจานใส่กระเทียมสับ แล้วพรุ่งนี้มาดูกันว่าจานไหนจะอร่อยกว่ากัน”
อาหมานตอบรับอย่างเริงร่า พร้อมประคองเจียงซื่อไปที่เตียง นางเฝ้ารอวันพรุ่งนี้อย่างใจจดใจจ่อ
ในฝ่ายข้าราชการพลเรือน อวี้จิ่นจ้องมองเพดานเพราะนอนไม่หลับเช่นเดียวกัน
กี่วันแล้วนะที่ไม่ได้เห็นหน้าอาซื่อ
ถ้ารู้แบบนี้สู้อดทนไว้ดีกว่า จะได้ไม่ต้องห่างจากอาซื่อ
อวี้จิ่นพลิกตัวครั้งแล้วครั้งเล่าคล้ายกับแผ่นแป้งเล่าปิ่งที่พลิกไปมาบนเตา
เจ้าหน้าที่ที่ยืนเฝ้าอยู่หันไปมองด้วยความสงสัย
อวี้จิ่นมองตอบก่อนจะยกมือเรียกเจ้าหน้าที่นายนั้น
เขาเดินตรงมาหา “ท่านอ๋องมีอะไรรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ หรือจะให้กระหม่อมนำน้ำมาถวาย?”
อวี้จิ่นลุกขึ้นนั่งพลางกล่าวเสียงอ่อย “อากาศหนาวขนาดนี้จะให้กินน้ำอีกรึ ข้าอยากกินเนื้อหมูนึ่ง”
เจ้าหน้าที่นิ่งไปชั่วครู่
นี่เขาฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า
“เจ้าไม่ได้ยินผิด ข้าอยากกินเนื้อหมูนึ่ง”
เจ้าหน้าที่ส่ายหน้า “กระหม่อมไม่รู้ว่าจะไปหาเนื้อหมูนึ่งให้พระองค์ได้จากที่ไหนพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไม่เป็นงั้นรึ”
เจ้าหน้าที่พยักหน้าหงึกๆ “ทำไม่เป็นพ่ะย่ะค่ะ”
“แค่เนื้อหมูนึ่งก็ยังทำไม่เป็นงั้นหรือ”
เจ้าหน้าที่แทบทรุดเข่าลงถึงพื้น “ท่านอ๋อง ที่นี่คือฝ่ายข้าราชการพลเรือนในพระองค์ มิใช่โรงเตี้ยมนะพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้เป็นตอนเช้า การจะหาเนื้อหมูนึ่งสักจานก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ”
ในยามนี้ ท่านอ๋องมิได้ต่างอะไรจากการถูกขังคุก คิดว่าตนเองอยู่ในจวนอ๋องหรืออย่างไร
อวี้จิ่นถอนหายใจยาวพลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “ที่นี่ช่างต่างจากจวนอ๋องเสียเหลือเกิน รีบออกจากที่นี่ดีกว่า”
เจ้าหน้าที่ขยับมุมปากอย่างดูแคลน
คิดว่าอยากจะออกก็ออกได้งั้นหรือ ที่นี่เป็นที่สำหรับคุมขังเหล่าเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ เมื่อเข้ามาแล้ว หากปราศจากคำสั่งจากฮ่องเต้ ก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไปง่ายๆ
เยี่ยนอ๋องต่อยไท่จื่อ จากประสบการณ์ของเขาคาดว่าคงถูกขังอย่างน้อยๆ ก็ครึ่งปี
“ไปเอากระดาษกับพู่กันมาให้ข้าที”
“พระองค์จะเขียนจดหมายหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าหน้าที่พยายามเดา
อวี้จิ่นเหลือบมองเขาพลางกล่าวอย่างเหลืออด “เขียนจดหมายอะไรเล่า จะเอามาวาดรูปเนื้อหมูนึ่งไว้ดูต่างหาก”
เจ้าหน้าที่ “…” เขารับประกันได้เลยว่า คนอย่างเยี่ยนอ๋องต้องอยู่ในนี้อย่างน้อยๆ ก็หนึ่งปี หากขังไม่ถึงหนึ่งปีเขาจะตบปากตัวเองให้ชมเป็นขวัญตา!
อวี้จิ่นถอนหายใจเฮือกใหญ่แต่เพียงในใจ
อยากกินเนื้อหมูนึ่ง แต่ก็คิดถึงอาซื่อยิ่งกว่า แม้แต่เอ้อร์หนิวยังคิดถึงเลย
ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาแต่เช้าตรู่ ยิ่งลอยสูงเด่นเท่าไหร่ หิมะที่เกาะตัวเป็นแผ่นก็ค่อยๆ ละลายลง
“ฝ่าบาท ได้เวลาเคลื่อนพลกลับวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” พานไห่ที่นอนตาค้างเมื่อคืนก่อนกล่าวขึ้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยืดตัวขึ้นก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ “กลับวัง!”
“เคลื่อนพล...” เสียงกล่าวร้องสนั่นหวั่นไหวทำลายความเงียบสงบของภูเขาชุ่ยหลัว ไม่นาน แถวขบวนยาวเหยียดก็ค่อยๆ คืบเคลื่อนลงเขาไป
หิมะเริ่มละลายทำให้ถนนที่ใช้สัญจรลื่นหนักเอาการ ขากลับจึงกินเวลานานกว่าขามามากโข
เมื่อเห็นกำแพงสีชาดที่แสนคุ้นตา จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ในที่สุดก็มาถึงเสียที ได้เวลาคิดบัญชีแล้ว