ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 487 เรื่องน่ายินดี
บัดนี้หากว่าเสียนเฟยเอ่ยปากกล่าวคำใดขึ้น ยังพอไว้หน้าแก่องค์หญิงใหญ่หรงหยางให้ก้าวลงมาจากจุดนั้นได้ แต่เสียนเฟยกลับไม่กล่าวสิ่งใดออกมา
นางไม่พอใจสะใภ้คนนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่หากว่าจะสร้างปัญหาขึ้นเองคงไม่ดีต่อชื่อเสียง ดังนั้นนางจึงอยู่เงียบๆ รอดูฉากเด็ด อีกประเดี๋ยวเมื่อทั้งสองถกเถียงกันจนทำตัวไม่ถูกแล้วนางค่อยเอ่ยปากห้าม ต้องการให้พระชายาเยี่ยนอ๋องเข้าใจว่าในพระราชวังไม่ได้ดีกว่าที่อื่น หากไม่มีผู้อาวุโสคอยปกป้อง นางก็จะเสียเปรียบ
ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นล้วนตกตะลึงกับความกล้าหาญของเจียงซื่อ
พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่กลัวหรือว่าองค์หญิงใหญ่หรงหยางจะนำเรื่องนี้ไปบอกไทเฮาหรือฮ่องเต้
ต่อให้องค์หญิงใหญ่หรงหยางไม่กล่าวถึงเรื่องนี้ แต่ในฐานะผู้อาวุโสกว่า นอกจากทำการตักเตือนพระชายาเยี่ยนอ๋องแล้วนางจะทำอะไรได้บ้างนอกจากทนทุกข์?
ในขณะที่ทุกคนกำลังเฝ้ามองถึงสถานการณ์อยู่นั้น เจียงซื่อก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางจะทำการโจมตีเข้ามาอีกครั้ง นางกุมไปที่ท้องแล้วกล่าวว่า “เหนียงเหนียงเพคะ หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายตัว อยากจะหาที่พักผ่อนสักหน่อย”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางยิ้มขึ้น “เมื่อครู่พระชายาเยี่ยนอ๋องยังสนทนากับข้าด้วยใบหน้าอันสดใส จู่ๆ เหตุใดจึงไม่สบายขึ้นมาเล่า”
เจียงซื่อยิ้มแล้วกล่าวว่า “เพคะ จู่ๆ ก็รู้สึกไม่สบายขึ้นมา”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางรู้สึกโมโหยิ่งนักที่เจียงซื่อหน้าหนาถึงเพียงนี้ นางพยายามระงับความโกรธแล้วกล่าวตอบเสียนเฟยว่า “เหนียงเหนียง พระชายาเยี่ยนอ๋องตั้งครรภ์อยู่ การที่นางรู้สึกไม่สบายกายขึ้นเช่นนี้จะละเลยไม่ได้ เราควรจะเชิญหมอหลวงมาตรวจดูอาการ”
เหอะๆ รอให้หมอหลวงเดินทางมาจับชีพจรและพบว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องปกติดี อยากจะรู้นักว่านางคนนี้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
เมื่อคิดได้ดังนั้นริมฝีปากขององค์หญิงใหญ่หรงหยางก็โค้งขึ้นเล็กน้อย
เสียนเฟยก็มีความคิดเช่นเดียวกัน นางอยากจะให้เจียงซื่อลิ้มรสถึงความเจ็บปวดสักหน่อย นางทำสีหน้าลังเลแล้วพยักหน้ากล่าวว่า “เชิญหมอหลวงมาดูหน่อยก็ดี”
เจียงซื่อกล่าวขึ้นว่า “เหนียงเหนียงเพคะ ในวันนี้เป็นวันเกิดของท่าน เหตุใดจึงต้องเชิญหมอหลวงมาเพื่อทำให้งานวันเกิดจะต้องหมดสนุกเล่า หม่อมฉันไปพักผ่อนตามลำพังก็เพียงพอแล้วเพคะ”
เมื่อองค์หญิงใหญ่หรงหยางเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกว่าเจียงซื่อมีความรู้สึกผิดในใจ นางจึงกล่าวออกมาเบาๆ “เหตุใดพระชายาเยี่ยนอ๋องจึงได้ปฏิเสธเช่นนี้เล่า เจ้าตั้งครรภ์หลานของฮ่องเต้อยู่ มิใช่หมาแมวที่ใด หากร่างกายรู้สึกไม่สบายก็ควรจะเชิญหมอหลวงให้มาตรวจอาการดู”
เสียนเฟยพยักหน้า “องค์หญิงใหญ่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว เชิญหมอหลวงมาเถิด เพื่อให้ทุกคนจะได้วางใจ”
เจียงซื่อเม้มริมฝีปากเล็กน้อยนาง หยุดยืนกรานถกเถียง
“พระชายาของเจ้าสี่ จงไปเป็นเพื่อนพระชายาของเจ้าเจ็ดเถิด”
พระชายาฉีอ๋องรู้สึกยินดีเป็นยิ่งนัก
แม่สามีคิดแทนนางและท่านอ๋อง รู้ดีว่านางต้องการผูกสัมพันธ์กับพระชายาเยี่ยนอ๋อง และนี่เป็นการให้โอกาส
เข้าใกล้น้องสะใภ้เจ็ด “ระวังด้วย” พระชายาฉีอ๋องกล่าวกับเจียงซื่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
เจียงซื่อลุกขึ้นยืนพยักหน้าเบาๆ แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินตรงไปด้านหน้า
ในห้องโถงนี้ เมื่อปราศจากพระชายาทั้งสองก็ดูเหมือนว่าจะน่าเบื่อขึ้นทันใด
องค์หญิงใหญ่หรงหยางถือถ้วยน้ำชาไว้ในมือแล้วกล่าวขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เหนียงเหนียง ไม่ใช่ว่าข้าอยากจะบ่น แต่สะใภ้ของเจ้าคนนี้ปากร้ายเหลือเกิน โชคดีที่เจ้าเป็นคนอารมณ์เย็น…”
เสียนเฟยได้แต่ยิ้ม
หลายปีมานี้นางพยายามรักษาชื่อเสียงผู้เป็นธรรมของตน หากท้ายที่สุดแล้วจะเสียหน้าเพราะลูกสะใภ้คนนี้ นางจะไม่ทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาหรือ
หากว่าเป็นเช่นนี้ นางยินดีจะเห็นคนอื่นฉีกหน้าลูกสะใภ้ของตนเสียดีกว่า
ภายในห้อง เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อไม่สนใจนาง เอาแต่นอนพักอยู่บนเตียงตั่งเพียงลำพัง พระชายาฉีอ๋องจึงแอบตำหนินางอยู่ในใจ ทว่าใบหน้ากลับยิ้มแย้ม “น้องสะใภ้เจ็ด เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
เจียงซื่อเหลือบมองดูพระชายาฉีอ๋องก่อนจะละสายตากลับมา
ใบหน้าของพระชายาฉีอ๋องดูเขินอายขึ้นกว่าเดิม
พระชายาเยี่ยนอ๋องทำเกินไปแล้วจริงๆ บัดนี้มีนางในอยู่ที่นี่ด้วย แต่กลับไม่สนทนากับนาง
สตรีผู้นี้คิดสิ่งใดอยู่กันแน่ นางเคยทำให้ต้องขุ่นเคืองใจหรือ
พระชายาฉีอ๋องกำลังอดทนต่อความโมโหและงงงวยที่เจียงซื่อปฏิบัติเช่นนั้น นางเผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย
สำหรับพระชายาฉีอ๋องที่เมื่อในชาติก่อนทำให้นางต้องถึงแก่ความตาย นางคงไม่อาจปฏิบัติด้วยอย่างดีได้ ชาตินี้นางจะไม่ปฏิบัติดีด้วยเป็นแน่
ส่วนเรื่องความงุนงงของพระชายาฉีอ๋องน่ะหรือ หึๆ ให้นางอึดอัดใจตายไปเสีย
เจียงซื่อครุ่นคิดเช่นนั้นก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความเยือกเย็นกว่าเดิม ดวงตาที่มองไปยังพระชายาฉีอ๋องเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
พระชายาฉีอ๋องทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงได้เอ่ยถามเจียงซื่อว่า “น้องสะใภ้เจ็ด ข้าเคยทำสิ่งใดให้เจ้าขุ่นเคืองหรือไม่”
เจียงซื่อครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า “ไม่”
ในชาตินี้นางยังไม่ทันจะทำให้ต้องขุ่นเคือง
“แล้วเหตุใดทุกครั้งที่น้องสะใภ้เจ็ดพบหน้าข้า จึงได้ทำท่าทางไม่แยแสเช่นนี้เล่า” พระชายาฉีอ๋องเอ่ยถามคำถามที่ค้างคาใจนางอยู่เป็นเวลาเนิ่นนานออกมา
หากจะกล่าวว่านิสัยของพระชายาฉีอ๋องช่างเย็นชาแบบนี้ก็ไม่ใช่ เพราะเมื่อครั้นที่นางเดินทางไปเป็นแขกของจวนอันกั๋วกง นางทำให้จี้ฟังหวาซึ่งทำตัวไม่ถูกสามารถหัวเราะยิ้มแย้มออกมาได้ เหตุใดเมื่ออยู่กับนางเพียงลำพังจึงดูเยือกเย็นและเฉยเมยเช่นนี้
เจียงซื่อยังคงนอนอยู่บนเตียงตั่ง เปลี่ยนท่าทางให้สบายกว่าเดิมแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เหตุใดพี่สะใภ้สี่จึงต้องหมกมุ่นอยู่กับคำถามนี้ บนโลกนี้จะมีคำถามอะไรมากมายเพียงนั้น”
บทสนทนากล่าวมาถึงตรงนี้ พระชายาฉีอ๋องยังไม่ได้รับคำตอบที่พึงพอใจ นางเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “แต่ปัญหานี้ควรจะมีคำตอบ”
เมื่อมองไปยังใบหน้าอันเคร่งขรึมและดูมีคุณธรรม จึงทำให้ในใจลึกๆ ของเจียงซื่อรู้สึกเบื่อหน่ายและเกลียดแค้นมากขึ้น
หากจะกล่าวว่าบัดนี้พระชายาฉีอ๋องทำสิ่งใดไม่ดีต่อนาง ก็คงยังไม่มี
แต่นางรู้ดีจากใจจริงว่า ไม่ใช่สตรีนางนี้จะไม่ทำ เพียงแค่ยังไม่ถึงเวลาที่นางต้องทำเท่านั้น
จะให้นางละทิ้งความเกลียดชังในครั้งก่อน เพียงเพราะว่าในชาตินี้นางยังไม่ทันได้ทำสิ่งใด รอให้อีกฝ่ายทำสิ่งที่น่าเกลียดชังเหล่านั้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยโมโหหรือ
นางไม่ได้ใจดีเช่นนักบุญเหล่านั้น
เจียงซื่อมองไปที่พระชายาฉีอ๋องแล้วยิ้มขึ้นด้วยท่าทางอันเกียจคร้านเช่นเดียวกับอวี้จิ่น “ที่จริงแล้วคำตอบง่ายยิ่งนัก ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าเห็นพี่สะใภ้สี่ก็รู้สึกสะอิดสะเอียนไม่สบายใจ ที่จริงข้าเองก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่มันไม่อาจควบคุมได้…”
“น้องสะใภ้เจ็ด เจ้า เจ้าทำเกินไปแล้ว…” พระชายาฉีอ๋องคาดไม่ถึงว่านางจะกล่าววาจาไร้เหตุผล ไร้ความปรานีเช่นนี้ แววตาเต็มไปด้วยความมืดมนเพราะความโกรธ
ท่ามกลางสายตาที่พร่ามัว มีเพียงริมฝีปากแดงเรื่องของหญิงสาวงดงามผู้นั้นที่ดูสว่างไสวเป็นพิเศษ
พระชายาฉีอ๋องอ้าปาก แล้วอาเจียนออกมา
นางในสองคนที่ติดตามมาด้วยได้แต่ตื่นตระหนก
ในนั้นรีบเข้าไปพยุงพระชายาฉีอ๋องเอาไว้แล้วเอ่ยถามว่า “พระชายาเพคะ เป็นอะไรหรือไม่”
นางในอีกคนหนึ่งวิ่งเข้าไปในห้องโถงทันใด
หมอหลวงที่รีบเดินทางมาตรวจอาการ เพิ่งจะคารวะเสียนเฟยและคนอื่นเสร็จเรียบร้อย เสียนเฟยเห็นนางในผู้นั้นวิ่งเข้ามาด้วยท่าทางตื่นตระหนกจึงเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
นางในรีบกล่าวว่า “จู่ๆ พระชายาก็อาเจียนและเวียนหัวเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางตกตะลึง
เมื่อครู่ที่พระชายาเยี่ยนอ๋องกล่าวว่านางรู้สึกไม่สบายเป็นเรื่องจริงหรือ?
ขณะที่ตกตะลึงไปอยู่ชั่วครู่ ในใจนางก็แอบดีใจว่าหากลูกในครรภ์ของพระชายาเยี่ยนอ๋องเกิดเรื่องใดขึ้นละก็ นางคงจะโล่งใจยิ่งนัก
เสียนเฟยได้ยินดังนั้นก็ลุกขึ้นด้วยความประหม่า “รีบเชิญหมอหลวงไปตรวจดูพระอาการของพระชายาเยี่ยนอ๋องเร็ว”
แม้นางจะไม่พอใจและไม่อยากพบลูกสะใภ้คนนี้สักเพียงไร แต่การที่พระชายาเยี่ยนอ๋องซึ่งกำลังตั้งครรภ์เกิดเรื่องขึ้นในงานเลี้ยงวันเกิดนางก็คงจะเป็นโชคร้ายครั้งใหญ่
นางในผู้นั้นรีบกล่าวขึ้นว่า “เป็นพระชายาฉีอ๋องเพคะ”
ทุกคนได้แต่ตกตะลึง
เสียนเฟยจึงได้รีบให้หมอหลวงเดินทางไปที่ห้องด้านข้าง องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ติดตามไปด้วยเช่นกัน
บัดนี้พระชายาฉีอ๋องเพิ่งจะรู้สึกดีขึ้น ใบหน้าของนางดูไม่น่ามองนัก
ระหว่างทางมานี้ เสียนเฟยรู้จากปากของนางในทั้งสองว่าลูกสะใภ้ของนางสองคนไม่ถูกกัน แม้ว่านางในจะไม่กล้ากล่าวสิ่งใดมากนัก แต่ก็พอจะฟังออกว่าสะใภ้เจ็ดทำให้สะใภ้สี่ต้องอึดอัดใจ
ทันทีที่เข้ามาก็ได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากภายในห้อง เสียนเฟยทำสีหน้ามืดมนลงแล้วกล่าวด้วยความเยือกเย็นว่า “สะใภ้เจ็ด เจ้าจำเป็นจะต้องจัดการทุกคนอย่างเด็ดขาดเช่นนี้เชียวหรือ การที่ทำให้คนอื่นไม่พอใจและโชคร้ายเพราะเจ้า พอใจแล้วหรือไม่”
เมื่อเผชิญหน้ากับการซักถามเช่นนี้ เจียงซื่อกลับยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “เหตุใดเหนียงเหนียงจึงกล่าวว่าข้านำความโชคร้ายมาให้ผู้อื่น เป็นไปไม่ได้หรือที่ผู้อื่นจะได้รับความโชคดีจากข้า”
ขณะที่เสียนเฟยกำลังจะหัวเราะเยาะเย้ยออกมาด้วยความเยือกเย็น ก็ได้ยินหมอหลวงกล่าวขึ้นว่า “ขอแสดงความยินดีด้วยพ่ะย่ะค่ะเหนียงเหนียง พระชายาทรงตั้งครรภ์”