ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 489 คิดบัญชีในวันหลัง
ประโยคที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจของพระชายาฉีอ๋องประโยคนั้น ทำให้เสียนเฟยอดไม่ได้จะขมวดคิ้วขึ้น ดวงตาของนางดูแข็งทื่อดุจน้ำแข็ง
องค์รัชทายาทถูกปลด โอกาสที่เจ้าสี่รอคอยมาเนิ่นนานหลายปีในที่สุดก็ดำเนินมาถึงแล้ว แน่นอนว่าพี่น้องท้องเดียวกันเช่นเจ้าเจ็ดควรจะสานสัมพันธ์ไมตรีกันเข้าไว้
หากว่าเป็นเพราะสะใภ้เจ็ดทำให้สองพี่น้องมีความสัมพันธ์ห่างเหิน เช่นนั้นมุมมองของนางที่มีต่อสะใภ้เจ้าเจ็ดก็ต้องเปลี่ยนไปด้วย
หากเกลียดใครสักคน นางอาจจะทำได้โดยการไม่เหลียวมองเพื่อไม่ให้หงุดหงิดใจ แต่หากคนคนนี้มีผลกระทบต่อผลประโยชน์นาง ก็ไม่อาจจะเลือกที่จะหลีกเลี่ยงได้
หากสะใภ้ของเจ้าเจ็ดเป็นเช่นนี้ไปตลอดไม่รู้จักการวางตัว บางทีนางอาจต้องพิจารณาให้เจ้าเจ็ดเปลี่ยนสะใภ้คนใหม่ที่เชื่อฟังว่าง่าย
แต่ความคิดนี้บางทีอาจจะเร็วไป อย่างน้อย… เมื่อนึกถึงหน้าท้องอันแบนราบของเจียงซื่อ เสียนเฟยก็ยิ้มเยาะที่มุมปากของนาง
อย่างน้อยรอจนกระทั่งภรรยาของเจ้าเจ็ดคลอดลูกออกมาก่อนค่อยว่ากัน
พระชายาฉีอ๋องเห็นมุมปากของเสียนเฟยที่ยิ้มออกมาด้วยความเยือกเย็น ดวงตาของนางก็เปล่งประกาย
หากพระชายาเยี่ยนอ๋องยังคงไม่เกรงกลัวผู้ใดเช่นนี้ นางจะได้ผลประโยชน์จากการพูดด้วยความหยิ่งผยองของนางหรือไม่ ช่างโง่เขลาสิ้นดี
พระชายาฉีอ๋องเข้าใจดีถึงวิธีการจัดการของเสียนเฟย
ในตอนนั้นที่นางเพิ่งจะแต่งงานกับฉีอ๋อง นางรู้สึกว่าเสด็จแม่คนนี้เป็นผู้มีจิตกุศล แต่มีครั้งหนึ่งที่ฉีอ๋องเสด็จเข้าไปในวัง นางในคนหนึ่งเอ่ยยั่วยวนเขาอย่างกล้าหาญเพียงสองสามประโยค จากนั้นก็ไม่เคยเห็นนางในผู้นั้นอีกเลย
แน่นอนว่าพระชายาฉีอ๋องรู้สึกยินดียิ่งนักที่เสียนเฟยจัดการกับนางในผู้นั้นที่เข้ามายั่วยวนฉีอ๋องอย่างเด็ดขาด ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้นางเห็นว่า แท้จริงแล้วภายใต้หน้ากากแห่งคุณธรรมของเสียนเฟย เสียนเฟยช่างโหดเหี้ยมและเด็ดขาด
เสียนเฟยตั้งความหวังไว้กับฉีอ๋องค่อนข้างสูง ดังนั้นนางจึงมีข้อกำหนดมากมาย นางไม่ยอมให้ใครก็ตามมาส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงอันดีงามของฉีอ๋องเป็นแน่
พระชายาฉีอ๋องรู้สึกพึงพอใจยิ่งนักกับเจตนาที่เสียนเฟยตั้งใจจะจัดการเจียงซื่ออย่างเด็ดขาด ดังนั้นนางจึงเชื่อฟังเสียนเฟยอย่างว่าง่าย
ด้านนอกพระราชวัง บรรยากาศเสมือนสวมชุดสีเงินแพรวพราว
เมื่อคืนที่ผ่านมาหิมะตกหนัก เสมือนกับสวมเสื้อตัวใหม่ให้แก่เมืองหลวง ถนนทั้งสองด้านเต็มไปด้วยต้นไม้และกิ่งไม้หยก ส่องแสงสดใสสวยงามภายใต้ดวงอาทิตย์ในฤดูหนาว
ถนนที่ปูไปด้วยหินสีคราม มีโคลนปรากฏขึ้นเล็กน้อย
อาเฉี่ยวพยุงเจียงซื่อมุ่งหน้าไปทางรถม้าที่จอดอยู่ข้างกำแพงด้วยความระมัดระวัง
“ช้าก่อน” เสียงหนึ่งอันแผ่วเบาและเยือกเย็นดังมาจากด้านหลัง
เจียงซื่อหยุดฝีเท้าลงเล็กน้อยแล้วมองหันกลับไปที่ด้านหลัง
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเดินตรงเข้ามา โดยกระโปรงของนางยาวลากพื้นลงไปเปื้อนดินโคลน
ชุดใหม่ที่นำมาสวมใส่แล้ว นางรู้สึกว่าไม่จำเป็นจะต้องนำไปซัก เพียงโยนทิ้งก็พอ สำหรับองค์หญิงใหญ่หรงหยางที่มีชีวิตหรูหราสุขสบายนั้น นางรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดายิ่งนัก
ด้วยเหตุนี้เอง นางจึงเดินมาด้วยท่าทางอันทรงพลัง ทำให้อาเฉี่ยวเกิดความระมัดระวังขึ้นมา
“คารวะองค์หญิงใหญ่หรงหยางเพคะ” อาเฉี่ยวก้าวขึ้นมาด้านหน้าเพื่อป้องกันเจียงซื่อเอาไว้ จากนั้นโค้งคารวะองค์หญิงใหญ่หรงหยาง สีหน้าของนางดูตึงเครียดเล็กน้อย
เจียงซื่อมองเห็นความประมาทของอาเฉี่ยว แต่นางยังคงทำท่าทีสงบนิ่ง
“เสด็จอาเรียกหม่อมฉันมีเรื่องอันใดหรือเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางมองไปทางอาเฉี่ยวแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าหลีกทางไปด้านข้างก่อน”
อาเฉี่ยวหันไปมองดูเจียงซื่อแต่ไม่ได้ขยับเขยื้อน
แต่ไหนแต่ไร องค์หญิงใหญ่หรงหยางไม่เคยมาดี หากว่าวันนี้เกิดทำร้ายนายของนางและลูกในครรภ์เข้าจะทำเช่นไร
“พระชายาเยี่ยนอ๋อง บ่าวรับใช้ของเจ้าช่างภักดีเหลือเกิน นางคิดว่าข้าจะทำร้ายเจ้าอย่างนั้นหรือ”
เจียงซื่อยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เสด็จอาจะไม่ทำร้ายหม่อมชั้นแน่นอน อาเฉี่ยว หลีกไปเถิด”
อาเฉี่ยวลังเลเล็กน้อยก่อนจะก้าวออกไปเงียบๆ
องค์หญิงใหญ่หรงหยางก้าวออกมาข้างหน้าเก้าหนึ่ง เพื่อให้ใกล้กับเจียงซื่อมากขึ้น
สีหน้าของเจียงซื่อยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาอันโปร่งใสราวกับกระจกของนางจ้องไปเงียบๆ
องค์หญิงใหญ่หรงหยางหัวเราะเยาะออกมา “ช่างกล้าหาญยิ่งนัก กล้ายิ่งกว่าแม่ของเจ้าเสียอีก”
เมื่อได้ยินองค์หญิงใหญ่หรงหยางกล่าวถึงมารดาตน ดวงตาของเจียงซื่อก็ดูเย็นชาขึ้น
องค์หญิงใหญ่หลงหยางผู้นี้ยังมีหน้ามากล่าวถึงมารดาของตน นางสามารถทำเรื่องใดๆ ที่ไร้ยางอายได้ทุกเรื่องจริงๆ
“ไม่ใช่ว่าแม่ของหม่อมฉันไม่กล้าพอ แต่เพราะนางหน้าไม่หนาพอต่างหาก” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับองค์หญิงใหญ่หรงหยาง เจียงซื่อจึงตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
องค์หญิงใหญ่หรงหยางขยับมือแล้วกัดฟันกรอด “พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้าอย่าคิดว่าเจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่แล้วข้าจะไม่มีวิธีจัดการกับเจ้า”
“หม่อมฉันคิดว่าเสด็จอาคงจะไม่ผลักหม่อมฉันต่อหน้าสาธารณชนเช่นนี้หรอกใช่หรือไม่” เจียงซื่อเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอย่างไม่เกรงกลัว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางเยาะเย้ยด้วยความเยือกเย็น “ข้าไม่ได้โง่เง่าเช่นนั้น ข้าจะไม่ลงมือกับเด็กที่ยังไม่ได้เกิดมาลืมตาดูโลก”
ฮ่องเต้มีโอรสมากมายและมีหลานชายมากมายเช่นกัน ต่อให้พระชายาเยี่ยนอ๋องให้กำเนิดหลานชายของฮ่องเต้แล้วอย่างไรเล่า
บัดนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องกำลังตั้งครรภ์ นางไม่จำเป็นต้องยั่วยุฮ่องเต้และไทเฮาให้หงุดหงิดใจ รอให้พระชายาเยี่ยนอ๋องคลอดบุตรออกมาแล้ว แน่นอนว่านางมีวิธีจัดการมากมายนับไม่ถ้วน
อย่างอื่นไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแค่ทำให้ผู้ที่เพิ่งคลอดบุตรต้องตกเลือดเสียจนตาย ก็ไม่ใช่ว่านางจะทำไม่ได้…
เมื่อนึกถึงคนคนนั้นที่ถูกส่งเข้าไปในวังเมื่อตอนอายุยังน้อย องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็แสดงถึงรอยยิ้มอันผ่อนคลายออกมา
เจียงซื่อถอนหายใจกล่าวว่า “การที่เสด็จอามุ่งเป้าหมายมาที่หม่อมฉันเป็นเพราะมารดาของหม่อมฉันหรือ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางหรี่ตามอง เมื่อเห็นใบหน้าอันคล้ายคลึงกับซูซื่อ นางก็รู้สึกว่าเกิดภาพลวงตาย้อนไปในอดีต เป็นเพราะซูซื่อหรือ นั่นก็อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง ใบหน้านี้ไม่อาจสร้างความประทับใจดีงามให้แก่นางได้เลย
แต่ก็ไม่ใช่เสียทั้งหมด สิ่งที่ทำให้นางไม่อาจอดทนได้จริงๆ แล้วก็คือการที่หมิงเย่ว์หายตัวไป
“ข้าจะถามเจ้าว่า การที่จู่ๆ จูจื่ออวี้ทำลายงานแต่งของหมิงเย่ว์เป็นเพราะเจ้าใช่หรือไม่” องค์หญิงใหญ่หรงหยางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้ม
เจียงซื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะขึ้น
“เจ้าขำสิ่งใด?”
เจียงซื่อกล่าวขึ้นว่า “หม่อมฉันหัวเราะกับคำถามของเสด็จอา ลองคิดดูเถิด หากเราเข้าไปคว้ามือใครคนใดคนหนึ่งแล้วเอ่ยถามว่าเขาเป็นฆาตกรหรือไม่ มีฆาตกรคนใดบ้างที่จะยอมรับอย่างโง่เง่า”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางได้แต่ตกตะลึง
นางไม่ได้คาดหวังว่าจะให้เจียงซื่อยอมรับผิด นางเพียงแค่กล่าวออกมาเพื่อระบายความหงุดหงิดที่อยู่ในใจก็เท่านั้น
ทันใดนั้นน้ำเสียงของเจียงซื่อก็ดูอ่อนลง นางกระซิบเสียงเบาอย่างที่ได้ยินเพียงแค่สองคนว่า “ชุยหมิงเย่ว์ทำตัวเอง สวรรค์มีตาและทำร้ายคนชั่ว”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางคาดไม่ถึงว่าเจียงซื่อจะกล่าวคำเช่นนี้ออกมาได้ ความโมโหของนางทวีมากขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นแล้วฟาดลงไป
ข้อมือของนางถูกบีบแน่นอยู่ท่ามกลางอากาศ
“เสด็จอา ลงไม้ลงมือเช่นนี้คงไม่ดี ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นพระชายา และเป็นสะใภ้ที่เสด็จพ่อแต่งตั้งขึ้น ท่านคิดว่าหม่อมฉันเป็นบ่าวรับใช้ในจวนองค์หญิงที่จะตบตีเมื่อไหร่ก็ได้หรือ”
เมื่อเจียงซื่อกล่าวจบ นางก็ปล่อยมือองค์หญิงใหญ่หรงหยาง นางคิดเอาไว้ในใจว่าหากองค์หญิงใหญ่หรงหยางลงไม้ลงมือกับนางล่ะก็ นางจะปล่อยหนอนกู่ออกมากัด
หนอนพิษกู่ที่ทำให้คนเป็นอัมพาตได้ในทันที นางมีไม่น้อยเลยทีเดียว
องค์หญิงใหญ่หรงหยางสงบลง นางตระหนักว่าเมื่อครู่นางหุนหันพลันแล่นไป จึงพยายามระงับความโกรธไว้ในใจแล้วกล่าวว่า “พระชายาเยี่ยนอ๋อง เจ้าคอยดูเถิด สักวันข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า”
เมื่อกล่าวจบนางก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เจียงซื่อตะโกนไล่หลังของนางไปว่า “ช้าก่อนเพคะ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางหันหลังกลับไปมองนางด้วยสายตาเย็นชา
เจียงซื่อก้าวไปข้างหน้าพร้อมกล่าวเบาๆ ว่า “หม่อมฉันมีเรื่องอยากจะกล่าวกับเสด็จอาด้วย”
“จงว่ามา”
เจียงซื่อลดเสี่ยงต่ำลง แต่คำพูดนั้นกลับดังชัดเจนกึกก้องอยู่ในหูขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง
“ประโยคที่ท่านกล่าวเมื่อสักครู่ หม่อมฉันขอกล่าวคืน ท่านเองก็รอไปเถิด สักวันหม่อมฉันจะคิดบัญชีกับท่าน”
เจียงซื่อกล่าวจบก็ย่อเข่าทำความเคารพองค์หญิงใหญ่หรงหยางแล้วหันไปกล่าวกับอาเฉี่ยวว่า “ไปเถิด”
จนกระทั่งขึ้นไปบนรถม้า อาเฉี่ยวจึงได้เอ่ยถามด้วยความกังวลว่า “เหนียงเหนียงเจ้าคะ ท่านทำให้องค์หญิงใหญ่ต้องขุ่นเคือง หากนางกระทำเรื่องไม่ดีลับหลังแล้วจะทำเช่นไร”
เจียงซื่อนั่งพิงไปที่ผนังรถม้า ในมือถือเตาขนาดเล็กเอาไว้ให้อุ่นมือ ได้ยินคำถามดังนั้นนางก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “บางทีนางอาจจะรอไม่ถึงวันนั้นก็ได้”