ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 511 ยื้อเวลา
จู่ๆ ก็มีแสงเย็นวาบปรากฏขึ้นในดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ “เจ้าหมายความว่าเช่นไร”
ตั่วหมัวมัวกล่าวขึ้นด้วยท่าทางไม่รีบร้อนว่า “มีหนอนชนิดหนึ่งเรียกว่ากู่สัมพันธ์แม่ลูก ตัวหนึ่งใหญ่ตัวหนึ่งเล็กอยู่ด้วยกัน ตัวใหญ่เป็นแม่และตัวเล็กเป็นลูก ตัวแม่จะอยู่ในร่างกายของคนหนึ่ง และตัวลูกจะอยู่ในร่างกายของอีกคนหนึ่ง เมื่ออีกร่างหนึ่งซึ่งมีหนอนตัวแม่ฝังอยู่ในร่างกายถูกลงโทษ ฝ่าบาทลองเดาดูว่าอีกคนหนึ่งจะเป็นเช่นไร”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจทนฟังตั่วหมัวมัวกล่าวต่อไปได้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับไทเฮา ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องประนีประนอม “จะเป็นเช่นไร”
ตั่วหมัวมัวยิ้มขึ้นตอบว่า “ผู้ที่มีหนอนอยู่ในร่างกายอีกคนหนึ่งจะรู้สึกเจ็บปวดหลายเท่า หากว่าบ่าวถูกประหารชีวิต แท้จริงแล้วบ่าวก็ไม่ได้เสียดายชีวิตตนเอง เพียงแต่อยากจะเอ่ยเตือนฝ่าบาทเอาไว้เท่านั้น หากว่าจะหั่นข้าให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คาดว่าพระวรกายกายของไทเฮาคงไม่อาจรับไม่ไหว…”
“สารเลว! เจ้ากล้าวางพิษกู่ให้แก่ไทเฮาหรือ” ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ซีดเผือดด้วยความโกรธ เขาโกรธเสียจนอยากจะแร่เนื้อหนังของตั่วหมัวมัวออกมาเป็นชั้นด้วยตนเอง
ตั่วหมัวมัวรู้ดีว่าบัดนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้ลูบหน้าปะจมูก การแสดงออกของนางจึงค่อนข้างสงบมากขึ้น “ถูกต้องแล้วเพคะ บัดนี้หนอนตัวแม่อยู่ในร่างกายของหม่อมฉัน และหนอนตัวลูกอยู่ในร่างกายของไทเฮา”
“เจ้า…” จิ่งหมิงฮ่องเต้ชี้นิ้วไปทางตั่วหมัวมัว เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะจัดการกับอารมณ์โกรธนั้นได้
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างอึดอัดยิ่งนัก
ฮองเฮากล่าวขึ้นว่า “ตั่วหมัวมัว นับตั้งแต่เจ้าเข้ามาในพระราชวังก็ได้รับใช้อยู่ที่ตำหนักฉือหนิง หลายปีมานี้ไทเฮาปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดี เหตุใดเจ้าจึงเลือกที่จะวางพิษนางเช่นนี้ เหตุใดจึงจะลงมือกับหญิงชราเช่นนี้เล่า”
ตั่วหมัวมัวกล่าวเบาๆ ว่า “หม่อมฉันไม่มีทางเลือกอื่น หม่อมฉันจำเป็นจะต้องทิ้งทางหนีทีไล่ให้แก่ตนเอง และทำได้เพียงทรยศไทเฮาเท่านั้น”
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องไปที่ตั่วหมัวมัว ทันใดนั้นสีพระพักตร์ก็ดูมืดมน “เจ้าคิดว่าข้าจะถูกหลอกอย่างงั้นหรือ พานไห่ จับตัวนางผู้หญิงสารเลวผู้นี้ไป”
ตั่วหมัวมัวยิ้มขึ้น “หากฝ่าบาทไม่เชื่อ เหตุใดไม่ลองดูเล่าเพคะ”
เมื่อนางกล่าวจบก็หยิบปิ่นทองออกมาแล้วปักไปที่หลังมือของตัวเองอย่างแรง
“จับนางเอาไว้!” จิ่งหมิงฮ่องเต้กล่าวขึ้นด้วยความเป็นกังวล ปิ่นทองนั้นถูกพานไห่แย่งคว้าเอาไป ส่วนหลังมือของตั่วหมัวมัวเต็มไปด้วยเลือดไหลนอง
องค์หญิงสิบสี่หันใบหน้าซีดเผือดหนี
จิ่งหมิงฮ่องเต้จ้องไปที่มือเปื้อนเลือดของตั่วหมัวมัวแล้วกำชับข้าหลวงคนหนึ่งด้วยน้ำเสียงลึกล้ำว่า “จงไปที่ตำหนักฉือหนิง สอบถามอาการของไทเฮา”
ข้าหลวงผู้นั้นรับคำแล้วรีบตรงออกไปทันที ภายในห้องจึงเงียบสงัด
เป็นความนิ่งเงียบยามเช่นดาบและธนูกำลังจะต่อสู้กัน
ขณะที่ความอดทนของจิ่งหมิงฮ่องเต้กำลังจะถึงขีดจำกัด ข้าหลวงก็ได้รีบวิ่งกลับมา
“เป็นอย่างไรบ้าง” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างรีบร้อนใจ
ข้าหลวงผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ของพานไห่ เขาฉลาดเฉลียวและคล่องแคล่วว่องไว ทว่าบัดนี้ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว “ทูลฝ่าบาท เดิมทีไทเฮาเข้าบรรทมแล้ว แต่จู่ๆ ก็เจ็บพระหัตถ์จึงได้เรียกให้หมอหลวงเข้าไปดูอาการพ่ะย่ะค่ะ…”
“ไทเฮารู้สึกเจ็บที่มือข้างใด” จิ่งหมิงฮ่องเต้เหลือบมองไปยังมือข้างซ้ายที่เลือดไหลนองของตั่วหมัวมัวแล้วเอ่ยถาม
ข้าหลวงกล่าวว่า “มือซ้ายพ่ะย่ะค่ะ”
ดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ปรากฏคลื่นขึ้นๆ ลงๆ
ตั่วหมัวมัวกล่าวขึ้นว่า “หากฝ่าบาทคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญล่ะก็ จะลองดูอีกครั้งก็ย่อมได้”
นางกล่าวจบก็มองหาสิ่งของแหลมคม
จิ่งหมิงฮ่องเต้จะกล้าล้อเล่นกับพระวรกายของไทเฮาได้เช่นไร จึงตรัสออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้าต้องการสิ่งใด”
เขาคิดไม่ถึงเสียจริงว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในวังจะก่อเรื่องปลุกเร้าลมฝนเพียงนี้ แต่เขายังไม่อาจเอ่ยถามถึงวัตถุประสงค์ใดก็ถูกอีกฝ่ายบีบเอาไว้เช่นนี้
ความรู้สึกเช่นนี้ช่างบีบคั้นกันเหลือเกิน
ตั่วหมัวมัวดึงชายเสื้อขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ส่งหม่อมฉันออกจากวัง”
“เจ้าอย่าได้คิด!” จิ่งหมิงฮ่องเต้โพล่งออกมา
ตั่วหมัวมัวยิ้มขึ้นว่า “หม่อมฉันลืมบอกกับฝ่าบาทว่าในร่างกายของหม่อมฉันนั้นไม่ได้มีเพียงกู่สัมพันธ์แม่ลูก แต่ยังมีหนอนพิษกู่อีกหลายชนิดมากมายซึ่งใช้งานได้แตกต่างกัน ทรงคิดว่าหากจับตัวหม่อมฉันมัดเอาไว้แล้วจะเชือดหม่อมฉันเมื่อไหร่ก็ได้หรือ ถ้าอย่างนั้นฝ่าบาทคงคิดผิดแล้ว หากหม่อมฉันต้องการทำล่ะก็ หม่อมฉันสามารถให้หนอนพิษกู่ชนิดใดชนิดหนึ่งในร่างกายกัดกินอวัยวะของหม่อมฉันไปจนสิ้น…”
“พอได้แล้ว!” จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจทนฟังได้อีกต่อไป
คนที่อยู่ตรงหน้านี้ ต่อให้ถูกฟาดฟันด้วยดาบแหลมคมสักเพียงไรเขาก็ไม่กะพริบตาแม้แต่น้อย แต่หากว่าไทเฮาจะต้องได้รับบาดเจ็บด้วยเขาคงไม่อาจรับมันได้
“หม่อมฉันต้องการออกจากวังบัดเดี๋ยวนี้” ท่าทางของตั่วหมัวมัวดูหนักแน่น “หากว่าฝ่าบาทไม่เห็นด้วยหม่อมฉันจะทำให้ไทเฮารู้สึกเหมือนกับถูกดาบทิ่มแทง ไทเฮาชันษามากแล้วไม่ทราบว่าจะทนได้นานเท่าไร”
“เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะออกจากวัง ณ บัดนี้” น้ำเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นก่อนที่จิ่งหมิงฮ่องเต้จะตรัสบางอย่างออกมา
ตั่วหมัวมัวหันไปมองทางฮองเฮาที่ส่งเสียงขึ้น
พระพักตร์ของฮองเฮาสงบนิ่งน้ำเสียงอ่อนโยน “ตั่วหมัวมัวอาศัยอยู่ในวังมานานกว่าสิบปีแล้ว น่าจะชัดเจนว่าเมื่อประตูพระราชวังถูกลงกลอน ต่อให้เป็นฝ่าบาทเองก็ไม่สามารถสั่งให้ใครเปิดประตูพระราชวังได้ บัดนี้หากเจ้าข่มขู่ฮ่องเต้ให้เปิดประตูวังและส่งเจ้าออกไป เจ้าครุ่นคิดแทนเผ่าอูเหมียวหรือไม่”
เมื่อกล่าวถึงเผ่าอูเหมียว การแสดงออกของตั่วหมัวมัวก็จริงจังขึ้น
ฮองเฮากล่าวต่อไปว่า “บัดนี้ แม้พวกเราไม่รู้วัตถุประสงค์ของเจ้าที่เดินทางเข้ามาสร้างปัญหามากมายในพระราชวัง แต่ไม่ว่าเจ้าทำเพื่อเผ่าอูเหมียวหรือความแค้นส่วนตัวก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่อาจจะนำมากล่าวต่อหน้าใครได้ หากว่าบัดนี้เราละเลยกฎเกณฑ์ที่บรรพบุรุษสืบทอดต่อกันมาและส่งเจ้าออกจากวัง เจ้าต้องการให้คนทั้งโลกรู้หรือว่าคนจากเผ่าอูเหมียวทำเรื่องชั่วร้ายขึ้นในพระราชวัง เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ว่าราชวงศ์ต้าโจวและเผ่าอูเหมียวจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่ทั้งสองฝ่ายก็จะต้องต่อสู้กันเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั่วหมัวมัว เจ้าลองคิดดูเถิด ผลที่ตามมาเช่นนี้เจ้ารับได้หรือไม่”
เผ่าอูเหมียวอยู่ระหว่างราชวงศ์ต้าโจวและหนานหลาน โดยทั้งสองเป็นมิตรกันมาตลอด ดูเหมือนจะไม่เคยมีความสัมพันธ์ไม่ดีต่อกันเลย ด้วยเหตุนี้เองหลายปีมานี้จึงใช้ชีวิตกันได้อย่างราบรื่น
“การที่ตั่วหมัวมัวรีบร้อนเช่นนี้ข้าเองก็เข้าใจได้ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ วันพรุ่งนี้เมื่อประตูพระราชวังเปิดออก เจ้าก็เดินทางไปเสีย ว่าอย่างไร”
ตั่วหมัวมัวมองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นท่าทางจากสายตาของตั่วหมัวมัวที่ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาจึงได้ตรัสขึ้นว่า “สิ่งที่ฮองเฮาตรัสนั้นเป็นเช่นเดียวกับเจตนาของข้า”
หากสามารถยืดเวลาได้ก็ควรทำ การแสดงออกของเขาครั้งนี้ดีกว่าตอนที่รักษาดวงตาของฝูชิงหายมากนัก
ตั่วหมัวมัวนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “ตกลง ในวันรุ่งขึ้นเมื่อฟ้าสางหม่อมฉันจะเดินทางออกจากวังทันที”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะกำชับให้คนจับตามองดูตั่วหมัวมัวให้ดี แล้วรีบให้องค์หญิงสิบสี่ไปพักผ่อน ก่อนจะเดินมาอยู่เคียงข้างฮองเฮา
เขามองออกไปด้านนอกหน้าต่าง พระพักตร์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดูเคร่งขรึม “ยังมีเวลาอีกสองสามชั่วยามก่อนรุ่งสาง เราจะต้องหาวิธีแก้ไขให้ได้ภายในเวลานี้”
หากว่าตั่วหมัวมัวเดินทางออกจากพระราชวังแล้ว ต่อให้แอบส่งคนคอยติดตามนาง แต่ก็คงทำสิ่งใดไม่ได้เพราะไทเฮาอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย
ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นควบคุมเช่นนี้ช่างอึดอัดใจเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตราบใดที่ไทเฮายังมีชีวิตอยู่ก็จะถูกควบคุมในทุกๆ วัน ซึ่งจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อาจยอมรับได้
ฮองเฮานิ่งเงียบชั่วครู่ก่อนจะมองไปทางจิ่งหมิงฮ่องเต้ “ฝ่าบาทเพคะ ทรงจำเรื่องที่พระชายาเยี่ยนอ๋องรักษาดวงตาของฝูชิงจนหายได้หรือไม่”
“ข้าจะลืมได้อย่างไรเล่า” ดวงใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกขึ้นเล็กน้อย
“ในตอนนั้นพระชายาเยี่ยนอ๋องกล่าวว่าดวงตาของฝูชิงมีพยาธิอยู่ เมื่อนำตัวหนอนพยาธิออกมาแล้วก็สามารถรักษาดวงตาได้ ไม่รู้ว่าหนอนกู่ที่อยู่ในพระวรกายของไทเฮา พระชายาเยี่ยนอ๋องจะนำมันออกมาได้หรือไม่”
ดวงตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นประกายแล้วหันไปมองฮองเฮา
“พวกเรา…ให้ภรรยาเจ้าเจ็ดลองดูหรือไม่” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ตัดสินพระทัย
มาถึงเวลานี้แล้ว คงทำได้เพียงรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น หากว่าสะใภ้เจ้าเจ็ดมีวิธีจัดการที่ดีก็คงดี แต่หากไม่มีรับวิธีจัดการล่ะก็คงทำได้เพียงอัดอั้นใจต่อไป
เมื่อเทียบกับสุขภาพพลานามัยของไทเฮาแล้ว ต่อให้อึดอัดใจเพียงใดก็จำเป็นต้องยอมรับ
สิ่งที่ฮองเฮาตรัสนั้นเป็นความจริง เมื่อประตูวังถูกลงกลอนแน่นหนาแล้วย่อมไม่อาจเปิดออกได้ง่ายๆ แต่บัดนี้เรื่องราวช่างเร่งด่วน ด้วยคำกำชับของจิ่งหมิงฮ่องเต้ พานไห่จึงแอบออกพระราชวังอย่างเงียบๆ แล้วตรงไปที่จวนเยี่ยนอ๋องทันที