ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 549 ความหวัง
เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ผู้คนจำนวนมากล้วนขจัดข้อผูกมัดออกไป อย่างเช่นความหวาดกลัวต่อขุนนางชั้นสูง
พวกผู้ประสบภัยมองอวี้จิ่นตาใสแจ๋ว
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกดีต่อท่านอ๋องท่านนี้ แต่หากไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ พวกเขาก็จะโวยวายเหมือนเดิม จะไม่ยอมรอความตายอยู่ในเมืองนี้เด็ดขาด
โรคติดต่อนั้นน่ากลัวเพียงใด พวกเขารู้อยู่เต็มอก
วันนี้ร่างกายแข็งแรง แต่อีกวันกลับเป็นไข้ กระอักเลือด ทั้งตัวเน่าเปื่อย…แค่คิดก็กลัวจนตัวสั่นแล้ว
ที่นี่เคยเป็นเหมือนแดนสวรรค์สำหรับพวกเขา ทว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นนรก
พวกเขายังเป็นคนเป็นๆ อยู่ ทำไมต้องใช้ชีวิตอยู่ในนรกด้วย
อวี้จิ่นเห็นสายตาอันเด็ดเดี่ยวของพวกผู้ประสบภัย
เขาแอบส่ายหัวอยู่เงียบๆ
จ้าวซื่อหลางคิดในใจอยากจะให้ผู้ประสบภัยทั้งหลายอยู่ในเมืองอย่างว่านอนสอนง่าย นึกว่าอาศัยบารมีของราชสำนักแล้วประชาชนที่ปกติไม่กล้าต่อปากต่อคำเหล่านี้จะยอมทำตามอย่างเชื่อฟัง ทว่ากลับลืมนึกถึงพลังของคนที่อยากจะมีชีวิตรอด
เขากล้ายืนยันได้เลย ถ้าหากไม่มีวิธีแก้ปัญหา แล้วให้ความหวังคนเหล่านี้ การปะทะครั้งต่อไปจะต้องรุนแรงมากว่าเดิม จนสุดท้ายมันจะกลายเป็นสงครามระหว่างพวกทหารกับผู้ประสบภัย
ทางราชสำนักได้ส่งพลทหารมาจำนวนไม่น้อยเพื่อสงเคราะห์ผู้ประสบภัย สุดท้ายยังไงก็ต้องแก้ปัญหาผู้ประสบภัยเหล่านี้ได้แน่ และเมื่อบันทึกเรื่องโรคระบาดนี้เป็นลายลักษณ์อักษร การนองเลือดพวกนี้ก็อาจจะถูกปิดบังไว้ จนสุดท้ายอาจถูกเติมแต่งปิดบังความจริงให้กลายเป็นความสำเร็จก็เป็นได้
เขาเคยเห็นทางตอนใต้ พวกทหารได้สังหารประชาชนที่บริสุทธิ์จากนั้นสวมรอยว่าเป็นทหารทำคุณประโยชน์ เขารู้สึกเกลียดชังและเจ็บปวดมาก
“ทุกคนโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปปรึกษาหารือกับใต้เท้าซื่อหลางว่าจะจัดการเรื่องของพวกเจ้าอย่างไร รอหารือเสร็จ ข้าจะมาแจ้งให้ทุกคนทราบด้วยตัวข้าเอง”
“แล้วจะได้ผลสรุปจากการหารือเมื่อใด” มีคนตะโกนถาม
คนจำนวนไม่น้อยพูดเสริม “ใช่ หากเอาแต่ปรึกษาหารือแต่ไม่มีข้อสรุป จะให้พวกเรารออยู่ตลอดงั้นรึ”
“ก่อนฟ้าสาง ข้าจะมาให้คำตอบกับทุกคน” อวี้จิ่นมองชาวบ้านที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งพวกนั้น พร้อมกับพูดเสียงขรึม
ผู้ประสบภัยทั้งหลายเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็มีคนตะโกนออกมา “ก็ได้ พวกเราเชื่อท่านอ๋อง ก่อนฟ้าสางค่อยกลับมาที่นี่อีกครั้ง!”
จ้าวซื่อหลางทำปากขมุบขมิบ มีหลายครั้งที่อยากจะเอ่ยปากห้าม ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ทำได้เพียงแต่ข่มอารมณ์ไว้
เมื่อพ้นประตูเมืองไป จ้าวซื่อหลางก็ถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง ท่านบุ่มบ่ามใจร้อนไปพ่ะย่ะค่ะ!”
อวี้จิ่นเหลือบมองเด็กชายที่ถูกนำตัวออกมาจากเมืองมาอย่างราบรื่น เอ่ยเสียงเรียบ “รอคนครบแล้วค่อยพูดเถอะ”
ห่างจากนอกเมืองเมืองเฉียนเหอไปไม่ไกลนักมีกระโจมตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวาง เป็นที่หยุดพักของทหารพวกนั้น
อีกด้านมีการสร้างกระโจมจากหญ้าเป็นแถว มันแตกต่างกับกระโจมหลังอื่นอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในนั้นมีห้องที่กว้างที่สุดก็คือที่สำหรับปรึกษาหารือของเหล่าขุนนางที่มาสงเคราะห์ผู้ประสบภัย
อวี้จิ่นสังเกตมองบริเวณรอบๆ อยู่เงียบๆ
“ไท่จื่อล่ะ” จ้าวซื่อหลางเอ่ยถามขุนนางที่ตามไท่จื่อออกมานอกเมืองก่อน
ขุนนางที่ตามไท่จื่อขึ้นไปบนกำแพงนั้นมีไม่น้อย ทว่าเวลานี้กลับเหลือเพียงไม่กี่คน
หนึ่งในนั้นตอบออกมา “เสด็จกลับไปที่เมืองจิ๋นหลี่แล้ว…”
จ้าวซื่อหลางชะงักไปครู่หนึ่ง
เพียงเท่านี้ก็กลับเมืองจิ๋นหลี่ไปแล้วรึ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเสแสร้งทำเป็นเดินไปที่ห้องปรึกษาหารือก็ได้นี่นา
สำหรับไท่จื่อท่านนี้ จ้าวซื่อหลางไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี ได้แต่แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง เช่นนั้นพวกเรากลับไปรวมตัวกับไท่จื่อที่เมืองจิ๋นหลี่กันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วขึ้น “ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นขุนนางหลักในการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยครั้งนี้”
จ้าวซื่อหลางประสานมือที่หน้าอก “กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
“จุดประสงค์ที่ไท่จื่อมาที่นี่คืออะไร” อวี้จิ่นถามออกไปอีกครั้ง
จ้าวซื่อหลางเอ่ยตอบ “เป็นตัวแทนของฮ่องเต้มาปลอบใจผู้ประสบภัยพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นยิ้มออกมา คิ้วที่ขมวดดูท่าทางดุดันเล็กน้อย “เมื่อครู่ไท่จื่อได้ปลอบใจประชาชนไปแล้ว กลับไปพักผ่อนที่เมืองจิ๋นหลี่นั้นไม่มีอะไรให้ต้องว่ากล่าวติเตียน ทว่าหน้าที่ของใต้เท้าจ้าวนั้นยังไม่หมด”
“ท่านอ๋องหมายความว่า…”
“แน่นอนว่าก็ต้องปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานว่าจะแก้ปัญหาเรื่องการจัดหาที่อยู่ให้ชาวบ้านอย่างไร” พอพูดถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็หยุดพูด มุมปากยิ้มเชิงเยาะเย้ย “หรือว่าจะไม่สนใจเรื่องที่อยู่ของชาวบ้าน แล้วปล่อยให้พวกเขารอความตายอยูในเมือง”
จ้าวซื่อหลางตากระตุกขึ้นมาทันที รีบเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเหล่าขุนนางล้วนสุขุมระมัดระวัง มีสติปัญญา ไม่อาจเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของชาวบ้านได้…”
อวี้จิ่นไม่รอให้จ้าวซื่อหลางพูดจบ “เช่นนั้นก็ดี พวกเราไปที่ห้องปรึกษากัน”
ไม่นานห้องที่ปรึกษาก็เต็มไปด้วยขุนนาง แน่นอนว่ามีขุนนางส่วนหนึ่งได้ตามไท่จื่อกลับไปที่เมืองจิ๋นหลี่แล้ว แต่อวี้จิ่นก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องอยู่ครบทุกคน
“เรื่องในวันนี้ ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร”
จ้าวซื่อหลางถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มใจ “ท่านอ๋องไม่ควรทำลายกฎโดยการนำเด็กชายคนนั้นออกนอกเมืองมา เมื่อทำลายกฎแล้ว การปลอบขวัญประชาชนพวกนั้นก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก”
ผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นขุนนางอันดำรงตำแหน่งอยู่ในเมืองหลวงนั้นจะมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง หากคุยถึงเรื่องการงาน เกรงว่าแม้จะมีความเห็นไม่ตรงกับฮ่องเต้ก็สามารถพ่นน้ำลายพูดออกมาได้โดยตรง เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวี้จิ่น ท่านอ๋องที่ไม่มีอำนาจอะไรคนนี้เลย
จ้าวซื่อหลางเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดออกมาก่อน ขุนนางที่มาจากเมืองหลวงทยอยคล้อยตาม
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นพวกนั้นได้แต่เงียบ
สิ่งของในการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยก็เป็นขุนนางพวกนั้นที่เอามา พลทหารก็เป็นขุนนางพวกนั้นที่จัดการให้ ในอนาคตการไปรายงานสถานการณ์ต่อหน้าฮ่องเต้ก็ต้องเป็นขุนนางพวกนั้น พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไร ได้แต่ฟังอยู่เงียบๆ
“จุดที่ใต้เท้าจ้าวใส่ใจนั้นไม่ถูก” อวี้จิ่นใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะ “ข้าพูดถึงเรื่องคำร้องของชาวบ้านในเมือง พวกเขาสามารถอดทนได้หนึ่งวัน สองวัน แต่จะอดทนไปได้ตลอดหรือ วันนี้ได้เห็นการนองเลือดแล้ว นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หากไม่มีแผนการรับมือ รอจนเกิดการปะทะขนาดใหญ่ หรือว่าต้องการให้พวกเขาทั้งหมดทำสงครามกัน”
เขาพูดไป พลางกวาดสายตามองทุกคน เอ่ยพูดน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น นี่มันไม่ใช่การช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่เป็นการเข่นฆ่า คุณธรรมในใจของทุกท่านยังมีอยู่หรือไม่”
ทุกคนสีหน้าเริ่มเปลี่ยน
คนเรานั้น แม้แต่ขุนนางที่ทุจริตก็ยังอยากจะมีชื่อเสียงหน้าตาที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีขุนนางอีกจำนวนไม่น้อยที่ยอมลงมือทำจริง โดยเฉพาะขุนนางท้องถิ่นชั้นผู้น้อยที่เกิดที่นี่และเติบโตอยู่ที่นี่ มีสายสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดฉันญาติพี่น้องกับชาวบ้าน ทว่าถ้าเป็นขุนนางนอกพื้นที่อย่างเช่นนายอำเภอเมืองเฉียนเหอนั้นจะไม่ได้คิดมากขนาดนี้
ที่ต้าโจวขุนนางท้องถิ่นที่ตำแหน่งสูงกว่าระดับอำเภอขึ้นไปมักจะหลีกเลี่ยงการสุงสิงกับชาวบ้านนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนายอำเภอเมืองเฉียนเหอถึงได้ไม่รู้สึกอะไรกับประชาชนในเมืองนี้
จ้าวซื่อหลางถูกว่าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วเอ่ยถามออกไป “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีแผนรับมืออย่างไร”
อวี้จิ่นไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย เอ่ยพูดขึ้นทันควัน “ข้าขอเสนอว่าให้แบ่งพื้นที่ในเมืองออกเป็นอีกเขตหนึ่ง เรียกว่าเขตเปลี่ยนผ่าน”
“เขตเปลี่ยนผ่านงั้นหรือ”
“ถูกต้อง ตอนนี้มีเพียงแค่ฝั่งตะวันตกกับตะวันออก เมื่อต้องเลือก ถ้าหากฝั่งตะวันออกมีผู้ติดเชื้อเข้าไปในฝั่งตะวันตกโดยตรงก็อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่รุนแรง แต่ถ้าหากระหว่าฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีการแบ่งเป็นเขตเปลี่ยนผ่าน ผู้ที่มาจากฝั่งตะวันออกแล้วเข้ามายังฝั่งตะวันตกจะต้องกักตัวอยู่ในเขตนี้สองถึงสามวัน เพื่อที่จะได้ลดจำนวนผู้ป่วยที่อาจเข้ามาในเขตฝั่งตะวันตก…”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว
ข้อเสนอของเยี่ยนอ๋องนั้นไม่เลวเลย มันน่าจะลดความเสี่ยงได้
จ้าวซื่อหลางลูบเคราแสดงความสนับสนุน พร้อมกับเอ่ยขึ้น “ถึงจะเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่อาจกำจัดความคิดของขาวบ้านฝั่งตะวันตกที่อยากออกไปจากเมืองได้หรอก”
อวี้จิ่นยิ้ม “เหตุใดต้องกำจัดด้วย การปิดกั้นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้านั้นไม่ดีเท่ากับให้เหตุผล เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ให้ความหวังกับประชาชนเล่า เพียงแค่มีความหวัง ทุกคนในเมืองก็จะอดทนรอ”
คนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องมีความหวัง
ไม่มีใครสอนเรื่องเหตุผลอะไรมากมายกับเขา แต่เขารู้ดีว่าคนที่อยู่ในภาวะสิ้นหวังต้องการอะไรมากที่สุด ไม่ใช้ชามข้าวตรงหน้าหรือเงินทองไม่กี่เหรียญ แต่เป็นความหวังที่จะได้อยู่มีชีวิตต่อไปต่างหาก เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย ผู้คนจำนวนมากล้วนขจัดข้อผูกมัดออกไป อย่างเช่นความหวาดกลัวต่อขุนนางชั้นสูง
พวกผู้ประสบภัยมองอวี้จิ่นตาใสแจ๋ว
ถึงแม้ว่าจะรู้สึกดีต่อท่านอ๋องท่านนี้ แต่หากไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ พวกเขาก็จะโวยวายเหมือนเดิม จะไม่ยอมรอความตายอยู่ในเมืองนี้เด็ดขาด
โรคติดต่อนั้นน่ากลัวเพียงใด พวกเขารู้อยู่เต็มอก
วันนี้ร่างกายแข็งแรง แต่อีกวันกลับเป็นไข้ กระอักเลือด ทั้งตัวเน่าเปื่อย…แค่คิดก็กลัวจนตัวสั่นแล้ว
ที่นี่เคยเป็นเหมือนแดนสวรรค์สำหรับพวกเขา ทว่าตอนนี้มันกลับกลายเป็นนรก
พวกเขายังเป็นคนเป็นๆ อยู่ ทำไมต้องใช้ชีวิตอยู่ในนรกด้วย
อวี้จิ่นเห็นสายตาอันเด็ดเดี่ยวของพวกผู้ประสบภัย
เขาแอบส่ายหัวอยู่เงียบๆ
จ้าวซื่อหลางคิดในใจอยากจะให้ผู้ประสบภัยทั้งหลายอยู่ในเมืองอย่างว่านอนสอนง่าย นึกว่าอาศัยบารมีของราชสำนักแล้วประชาชนที่ปกติไม่กล้าต่อปากต่อคำเหล่านี้จะยอมทำตามอย่างเชื่อฟัง ทว่ากลับลืมนึกถึงพลังของคนที่อยากจะมีชีวิตรอด
เขากล้ายืนยันได้เลย ถ้าหากไม่มีวิธีแก้ปัญหา แล้วให้ความหวังคนเหล่านี้ การปะทะครั้งต่อไปจะต้องรุนแรงมากว่าเดิม จนสุดท้ายมันจะกลายเป็นสงครามระหว่างพวกทหารกับผู้ประสบภัย
ทางราชสำนักได้ส่งพลทหารมาจำนวนไม่น้อยเพื่อสงเคราะห์ผู้ประสบภัย สุดท้ายยังไงก็ต้องแก้ปัญหาผู้ประสบภัยเหล่านี้ได้แน่ และเมื่อบันทึกเรื่องโรคระบาดนี้เป็นลายลักษณ์อักษร การนองเลือดพวกนี้ก็อาจจะถูกปิดบังไว้ จนสุดท้ายอาจถูกเติมแต่งปิดบังความจริงให้กลายเป็นความสำเร็จก็เป็นได้
เขาเคยเห็นทางตอนใต้ พวกทหารได้สังหารประชาชนที่บริสุทธิ์จากนั้นสวมรอยว่าเป็นทหารทำคุณประโยชน์ เขารู้สึกเกลียดชังและเจ็บปวดมาก
“ทุกคนโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปปรึกษาหารือกับใต้เท้าซื่อหลางว่าจะจัดการเรื่องของพวกเจ้าอย่างไร รอหารือเสร็จ ข้าจะมาแจ้งให้ทุกคนทราบด้วยตัวข้าเอง”
“แล้วจะได้ผลสรุปจากการหารือเมื่อใด” มีคนตะโกนถาม
คนจำนวนไม่น้อยพูดเสริม “ใช่ หากเอาแต่ปรึกษาหารือแต่ไม่มีข้อสรุป จะให้พวกเรารออยู่ตลอดงั้นรึ”
“ก่อนฟ้าสาง ข้าจะมาให้คำตอบกับทุกคน” อวี้จิ่นมองชาวบ้านที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งพวกนั้น พร้อมกับพูดเสียงขรึม
ผู้ประสบภัยทั้งหลายเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็มีคนตะโกนออกมา “ก็ได้ พวกเราเชื่อท่านอ๋อง ก่อนฟ้าสางค่อยกลับมาที่นี่อีกครั้ง!”
จ้าวซื่อหลางทำปากขมุบขมิบ มีหลายครั้งที่อยากจะเอ่ยปากห้าม ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ทำได้เพียงแต่ข่มอารมณ์ไว้
เมื่อพ้นประตูเมืองไป จ้าวซื่อหลางก็ถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง ท่านบุ่มบ่ามใจร้อนไปพ่ะย่ะค่ะ!”
อวี้จิ่นเหลือบมองเด็กชายที่ถูกนำตัวออกมาจากเมืองมาอย่างราบรื่น เอ่ยเสียงเรียบ “รอคนครบแล้วค่อยพูดเถอะ”
ห่างจากนอกเมืองเมืองเฉียนเหอไปไม่ไกลนักมีกระโจมตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างขวาง เป็นที่หยุดพักของทหารพวกนั้น
อีกด้านมีการสร้างกระโจมจากหญ้าเป็นแถว มันแตกต่างกับกระโจมหลังอื่นอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในนั้นมีห้องที่กว้างที่สุดก็คือที่สำหรับปรึกษาหารือของเหล่าขุนนางที่มาสงเคราะห์ผู้ประสบภัย
อวี้จิ่นสังเกตมองบริเวณรอบๆ อยู่เงียบๆ
“ไท่จื่อล่ะ” จ้าวซื่อหลางเอ่ยถามขุนนางที่ตามไท่จื่อออกมานอกเมืองก่อน
ขุนนางที่ตามไท่จื่อขึ้นไปบนกำแพงนั้นมีไม่น้อย ทว่าเวลานี้กลับเหลือเพียงไม่กี่คน
หนึ่งในนั้นตอบออกมา “เสด็จกลับไปที่เมืองจิ๋นหลี่แล้ว…”
จ้าวซื่อหลางชะงักไปครู่หนึ่ง
เพียงเท่านี้ก็กลับเมืองจิ๋นหลี่ไปแล้วรึ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเสแสร้งทำเป็นเดินไปที่ห้องปรึกษาหารือก็ได้นี่นา
สำหรับไท่จื่อท่านนี้ จ้าวซื่อหลางไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี ได้แต่แอบถอนหายใจอยู่เงียบๆ แล้วเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋อง เช่นนั้นพวกเรากลับไปรวมตัวกับไท่จื่อที่เมืองจิ๋นหลี่กันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นขมวดคิ้วขึ้น “ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นขุนนางหลักในการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยครั้งนี้”
จ้าวซื่อหลางประสานมือที่หน้าอก “กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ”
“จุดประสงค์ที่ไท่จื่อมาที่นี่คืออะไร” อวี้จิ่นถามออกไปอีกครั้ง
จ้าวซื่อหลางเอ่ยตอบ “เป็นตัวแทนของฮ่องเต้มาปลอบใจผู้ประสบภัยพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นยิ้มออกมา คิ้วที่ขมวดดูท่าทางดุดันเล็กน้อย “เมื่อครู่ไท่จื่อได้ปลอบใจประชาชนไปแล้ว กลับไปพักผ่อนที่เมืองจิ๋นหลี่นั้นไม่มีอะไรให้ต้องว่ากล่าวติเตียน ทว่าหน้าที่ของใต้เท้าจ้าวนั้นยังไม่หมด”
“ท่านอ๋องหมายความว่า…”
“แน่นอนว่าก็ต้องปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงานว่าจะแก้ปัญหาเรื่องการจัดหาที่อยู่ให้ชาวบ้านอย่างไร” พอพูดถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็หยุดพูด มุมปากยิ้มเชิงเยาะเย้ย “หรือว่าจะไม่สนใจเรื่องที่อยู่ของชาวบ้าน แล้วปล่อยให้พวกเขารอความตายอยูในเมือง”
จ้าวซื่อหลางตากระตุกขึ้นมาทันที รีบเอ่ยขึ้น “ท่านอ๋องเข้าใจผิดแล้ว พวกเราเหล่าขุนนางล้วนสุขุมระมัดระวัง มีสติปัญญา ไม่อาจเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของชาวบ้านได้…”
อวี้จิ่นไม่รอให้จ้าวซื่อหลางพูดจบ “เช่นนั้นก็ดี พวกเราไปที่ห้องปรึกษากัน”
ไม่นานห้องที่ปรึกษาก็เต็มไปด้วยขุนนาง แน่นอนว่ามีขุนนางส่วนหนึ่งได้ตามไท่จื่อกลับไปที่เมืองจิ๋นหลี่แล้ว แต่อวี้จิ่นก็ไม่ได้บังคับว่าจะต้องอยู่ครบทุกคน
“เรื่องในวันนี้ ทุกท่านเห็นว่าอย่างไร”
จ้าวซื่อหลางถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มใจ “ท่านอ๋องไม่ควรทำลายกฎโดยการนำเด็กชายคนนั้นออกนอกเมืองมา เมื่อทำลายกฎแล้ว การปลอบขวัญประชาชนพวกนั้นก็จะยิ่งยากขึ้นไปอีก”
ผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นขุนนางอันดำรงตำแหน่งอยู่ในเมืองหลวงนั้นจะมีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง หากคุยถึงเรื่องการงาน เกรงว่าแม้จะมีความเห็นไม่ตรงกับฮ่องเต้ก็สามารถพ่นน้ำลายพูดออกมาได้โดยตรง เช่นนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงอวี้จิ่น ท่านอ๋องที่ไม่มีอำนาจอะไรคนนี้เลย
จ้าวซื่อหลางเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดออกมาก่อน ขุนนางที่มาจากเมืองหลวงทยอยคล้อยตาม
เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นพวกนั้นได้แต่เงียบ
สิ่งของในการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยก็เป็นขุนนางพวกนั้นที่เอามา พลทหารก็เป็นขุนนางพวกนั้นที่จัดการให้ ในอนาคตการไปรายงานสถานการณ์ต่อหน้าฮ่องเต้ก็ต้องเป็นขุนนางพวกนั้น พวกเขาจึงไม่มีสิทธิ์จะพูดอะไร ได้แต่ฟังอยู่เงียบๆ
“จุดที่ใต้เท้าจ้าวใส่ใจนั้นไม่ถูก” อวี้จิ่นใช้นิ้วมือเคาะลงบนโต๊ะ “ข้าพูดถึงเรื่องคำร้องของชาวบ้านในเมือง พวกเขาสามารถอดทนได้หนึ่งวัน สองวัน แต่จะอดทนไปได้ตลอดหรือ วันนี้ได้เห็นการนองเลือดแล้ว นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หากไม่มีแผนการรับมือ รอจนเกิดการปะทะขนาดใหญ่ หรือว่าต้องการให้พวกเขาทั้งหมดทำสงครามกัน”
เขาพูดไป พลางกวาดสายตามองทุกคน เอ่ยพูดน้ำเสียงเย็นชา “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น นี่มันไม่ใช่การช่วยเหลือผู้ประสบภัย แต่เป็นการเข่นฆ่า คุณธรรมในใจของทุกท่านยังมีอยู่หรือไม่”
ทุกคนสีหน้าเริ่มเปลี่ยน
คนเรานั้น แม้แต่ขุนนางที่ทุจริตก็ยังอยากจะมีชื่อเสียงหน้าตาที่ดี ยิ่งไปกว่านั้นยังมีขุนนางอีกจำนวนไม่น้อยที่ยอมลงมือทำจริง โดยเฉพาะขุนนางท้องถิ่นชั้นผู้น้อยที่เกิดที่นี่และเติบโตอยู่ที่นี่ มีสายสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดฉันญาติพี่น้องกับชาวบ้าน ทว่าถ้าเป็นขุนนางนอกพื้นที่อย่างเช่นนายอำเภอเมืองเฉียนเหอนั้นจะไม่ได้คิดมากขนาดนี้
ที่ต้าโจวขุนนางท้องถิ่นที่ตำแหน่งสูงกว่าระดับอำเภอขึ้นไปมักจะหลีกเลี่ยงการสุงสิงกับชาวบ้านนี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนายอำเภอเมืองเฉียนเหอถึงได้ไม่รู้สึกอะไรกับประชาชนในเมืองนี้
จ้าวซื่อหลางถูกว่าจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แล้วเอ่ยถามออกไป “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องมีแผนรับมืออย่างไร”
อวี้จิ่นไม่มีความเกรงใจแม้แต่น้อย เอ่ยพูดขึ้นทันควัน “ข้าขอเสนอว่าให้แบ่งพื้นที่ในเมืองออกเป็นอีกเขตหนึ่ง เรียกว่าเขตเปลี่ยนผ่าน”
“เขตเปลี่ยนผ่านงั้นหรือ”
“ถูกต้อง ตอนนี้มีเพียงแค่ฝั่งตะวันตกกับตะวันออก เมื่อต้องเลือก ถ้าหากฝั่งตะวันออกมีผู้ติดเชื้อเข้าไปในฝั่งตะวันตกโดยตรงก็อาจจะเกิดผลลัพธ์ที่รุนแรง แต่ถ้าหากระหว่าฝั่งตะวันออกและตะวันตกมีการแบ่งเป็นเขตเปลี่ยนผ่าน ผู้ที่มาจากฝั่งตะวันออกแล้วเข้ามายังฝั่งตะวันตกจะต้องกักตัวอยู่ในเขตนี้สองถึงสามวัน เพื่อที่จะได้ลดจำนวนผู้ป่วยที่อาจเข้ามาในเขตฝั่งตะวันตก…”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่รู้ตัว
ข้อเสนอของเยี่ยนอ๋องนั้นไม่เลวเลย มันน่าจะลดความเสี่ยงได้
จ้าวซื่อหลางลูบเคราแสดงความสนับสนุน พร้อมกับเอ่ยขึ้น “ถึงจะเป็นเช่นนี้ มันก็ไม่อาจกำจัดความคิดของขาวบ้านฝั่งตะวันตกที่อยากออกไปจากเมืองได้หรอก”
อวี้จิ่นยิ้ม “เหตุใดต้องกำจัดด้วย การปิดกั้นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้านั้นไม่ดีเท่ากับให้เหตุผล เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่ให้ความหวังกับประชาชนเล่า เพียงแค่มีความหวัง ทุกคนในเมืองก็จะอดทนรอ”
คนที่มีชีวิตอยู่ก็ต้องมีความหวัง
ไม่มีใครสอนเรื่องเหตุผลอะไรมากมายกับเขา แต่เขารู้ดีว่าคนที่อยู่ในภาวะสิ้นหวังต้องการอะไรมากที่สุด ไม่ใช้ชามข้าวตรงหน้าหรือเงินทองไม่กี่เหรียญ แต่เป็นความหวังที่จะได้อยู่มีชีวิตต่อไปต่างหาก