ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 572 พระราชทานนาม
สำหรับพี่ชายที่อยู่ในหนานเจียงอันไกลโพ้น เจียงซื่อคิดถึงเขายิ่งนัก
“ไม่รู้ว่าพี่รองอยู่ที่หนานเจียงเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีหรือไม่ ทั้งอากาศและอาหารการกินที่หนานเจียงแตกต่างจากในเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิง…”
อวี้จิ่นได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโมโห จึงกล่าวขึ้นด้วยความหงุดหงิดว่า “ลูกผู้ชายมีสิ่งใดไม่คุ้นชินกัน ยามกินกิน ยามนอนนอน หากว่านอนไม่หลับหรือไม่คุ้นชิน นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่ได้เหนื่อยล้า”
ในตอนนั้นที่เขาเดินทางไปตอนใต้ อายุได้เพียงแค่สิบสองปี ก็ไม่เห็นว่าจะมีผู้ใดเป็นห่วงเป็นใยเขา
แน่นอนว่าความเป็นห่วงเป็นใยจากผู้อื่นเขาไม่สนใจ แต่ในตอนนั้นเจียงซื่อยังไม่รู้จักกับเขาเสียด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะสงสารเห็นใจเขาหรือไม่
เมื่อคิดได้ดังนี้ อวี้จิ่นก็รู้สึกอิจฉาริษยาเจียงจั้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ที่กล่าวว่าคนบ้ามีบุญตามวิถีคนบ้า คาดว่าคงจะเป็นเช่นเจียงจั้นนั่นเอง ผู้ที่ฉลาดหลักแหลมมีความสามารถสูงส่งดั่งเขา ก่อนที่จะมีภรรยาคงทำได้เพียงดูแลเอาใจใส่ตนเองก็เท่านั้น
ในใจของใครบางคนซึ่งรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมหันมามองทางภรรยาของตน ก่อนจะกล่าวขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “สตรีที่หนานเจียงแตกต่างจากสตรีที่เมืองหลวง แต่ละคนช่างเร่าร้อนและกล้าหาญ ไม่แน่ว่าบัดนี้เจียงจั้นอาจมีคู่ครองแล้วก็ได้”
เจียงซื่อเอื้อมมือไปดึงหูของอวี้จิ่น ยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “เร่าร้อนกล้าหาญหรือ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเมื่อครั้นอยู่ที่หนานเจียง ได้พบกับแม่นางที่ทั้งเร่าร้อนและกล้าหาญมากเพียงไร”
อวี้จิ่นแอบกระซิบในใจว่า แย่แล้ว เขาเพียงต้องการจะใส่ร้ายเจียงจั้นเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกจัดการเสียเองเช่นนี้
“แค่กๆ อาซื่อ เจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ ผู้ใดที่ไม่งดงามเท่าข้า ข้านั้นไม่แม้แต่จะชายตามอง”
“แล้วผู้ที่ดูดีกว่าเจ้าเล่า”
สีหน้าของอวี้จิ่นชะงักลงเล็กน้อย “จวบจนกระทั่งบัดนี้ ข้ารู้สึกเพียงว่าเจ้างดงามกว่าข้าเพียงคนเดียว”
เจียงซื่อเหลือบตามองเขาแล้วจึงยอมเลิกรา
อวี้จิ่นแอบพึมพำในใจว่า เกือบไปแล้วสิ หลังจากที่เขาเดินทางออกไปจากห้องของเจียงซื่อก็ได้ไปยังห้องทรงพระอักษร แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายไปให้แก่เจียงจั้น
หลังจากที่เขาเขียนจบ ก็พบว่าผับแล้วได้กระดาษหนาเป็นปึก
อวี้จิ่นจ้องมองไปยังกระดาษที่ใช้เขียนจดหมายซึ่งบัดนี้ยังคงมีหมึกซึม เขาลูบไปที่คางของตนซึ่งมีตอหนวดขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวในใจว่า แปลกจริง ข้ามีภรรยาแล้วทั้งคน ยังจะถือสาเจ้าโง่เจียงเอ้อร์นั่นอีกเพื่อสิ่งใด
หนานเจียงในเดือนหก เป็นช่วงที่ต้นไม้ใบหญ้ากำลังเบ่งบาน
เจียงจั้นพาคนกลุ่มหนึ่งซุ่มโจมตีได้อย่างสวยงาม หลังจากกลับไปถึงค่ายทหารแล้วจึงได้นำกวางที่ดักยิงได้ระหว่างทาง ขึ้นไปย่างบนกองไฟ
กวางตัวเบ้อเร่อถูกท่อนไม้เสียบเข้าไป มันหยดเยิ้มลงมาไม่ขาด ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนชวนให้ทหารทั้งหลายอดไม่ได้จะน้ำลายสอ
“ท่านแม่ทัพ กวางย่างได้ที่แล้วขอรับ” ทหารคนหนึ่งนำเนื้อกวางชิ้นหนึ่งที่ย่างจนเกรียมยื่นให้แก่เจียงจั้น
“ขอบใจ” เจียงจั้นเพิ่งจะยื่นมือไปรับมา จากนั้นเขาก็จามออกมาติดต่อกันสามหน
ผู้ใดคิดถึงข้ากัน
เจียงจั้นทำท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะสะดุ้งเล็กน้อยอยู่ในใจ คงไม่ใช่ว่าเขาจะได้เป็นลุงแล้วหรือ
เขากัดเนื้อกวางเข้าไปคำหนึ่งแล้วเอ่ยถามทหารที่อยู่ด้านข้างว่า “เจ้าแต่งงานแล้วหรือไม่”
ทหารผู้นั้นตอบด้วยความกระตือรือร้นว่า “ท่านแม่ทัพ จะหาคู่ครองให้แก่ข้าน้อยหรือ”
เจียงจั้นหัวเราะออกมาด้วยความเยือกเย็น “เจ้าฝันสิ่งใดอยู่กัน ข้าเองก็ยังไม่มีภรรยา!”
“อ้อ” ทหารผู้นั้นจึงรีบทำท่าทางสงบเสงี่ยม
ในขณะนี้เจียงจั้นหันไปมองทหารคนหนึ่งซึ่งดูอายุไม่น้อยแล้ว จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้น
ทหารผู้นั้นยิ้มตอบด้วยท่าทางเคอะเขินว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าเพียงแค่อาจจะดูแก่เกินวัยเล็กน้อย แต่ข้าก็ยังไม่ได้มีภรรยาเช่นกัน”
เจียงจั้นกระตุกริมฝีปากเล็กน้อย เขากล่าวในใจว่า หน้าตาเช่นเจ้าเรียกว่าแก่เกินวัยเล็กน้อยหรือ ริ้วรอยบนใบหน้าช่างรีบร้อนขึ้นมากันเสียจริง
ในที่สุดก็มีนายทหารคนหนึ่งทนดูไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงกล่าวขึ้นด้วยตนเองอย่างกล้าหาญว่า “ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยแต่งงานมาหลายปีแล้วขอรับ”
“เจ้ามีลูกแล้วหรือไม่”
“มีแล้วขอรับ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง” เมื่อกล่าวถึงภรรยาและลูกๆ ที่อยู่แดนไกล ทหารผู้นั้นก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา
“เจ้าว่า สตรีตั้งครรภ์ต้องใช้เวลาเท่าใดจึงจะคลอด”
เขาจำได้ว่าตอนที่น้องสี่เขียนจดหมายมากล่าวถึงเรื่องอันน่ายินดีนี้เป็นเวลาใด แต่เขาไม่รู้ว่าคนเราตั้งครรภ์เป็นเวลากี่เดือนจึงจะคลอดบุตร หากเขารู้จะได้คำนวณเวลาว่าใช่หรือไม่
ทหารผู้นั้นกระอักกระอ่วมเล็กน้อย ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาทำการคำนวณแล้วกล่าวด้วยความลังเลว่า “ประมาณเก้าเดือนเห็นจะได้…”
“ไม่ใช่ กล่าวกันว่าตั้งครรภ์สิบเดือนจึงคลอดไม่ใช่หรือ อย่างน้อยควรจะตั้งครรภ์เป็นเวลาสิบเดือนสิ”
บรรดาชายหนุ่มร่างกายกำยำทั้งหลายเข้ามาล้อมรอบกวางย่างที่ใกล้จะไหม้เกรียม ในไม่ช้าพวกเขาก็แย่งกันเสียจนหน้าแดงเรื่อไปถึงลำคอ
เจียงจั้นได้ยินดังนั้นก็รู้สึกปวดศีรษะ เขากัดเนื้อกวางเข้าไปคำหนึ่งแล้วหวนถึงเมืองหลวงซึ่งอยู่อันไกลโพ้น คาดว่าเขาคงจะมีญาติเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว แววตาของเขาสื่อถึงความอิ่มเอมเปรมใจออกมา
หลังจากที่กลับไปถึงเมืองหลวง คาดว่าลูกของน้องสี่คงจะเรียกเขาว่าลุงเป็นแล้วกระมัง
หลังจากที่ธิดาน้อยแห่งจวนเยี่ยนอ๋องถือกำเนิดมาได้เป็นเวลาสามวัน ก็ได้จัดพิธีทำขวัญขึ้น
พิธีทำขวัญเป็นพิธีที่มีสิริมงคลยิ่งนัก จะละเลยไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ทว่าไม่จำเป็นต้องเชิญชวนญาติมิตรมากมาย เพียงแค่เชิญญาติสนิทมาร่วมพิธีเป็นพอ
แม้จะรู้ว่าเป็นเช่นนั้น แต่ในวันพิธีทำขวัญที่จวนเยี่ยนอ๋องก็ครึกครื้นผิดปกติ
หลังจากช่วงบ่าย ห้องโถงด้านนอกห้องคลอดได้ทำการจุดธูปเทียนขึ้น และทำพิธีโดยหมอผดุงครรภ์
หลังจากที่หมอผดุงครรภ์ใช้น้ำในอ่างใบเล็กทำการเช็ดไปที่บนตัวของอาฮวนเรียบร้อยแล้ว อาฮวนก็ได้ร้องไห้ขึ้น
ทุกคนได้พากันกล่าวถึงความเป็นสิริมงคลต่างๆ นานา ทว่าในใจกลับไม่คิดเช่นนั้น
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ธิดาองค์หนึ่ง ต่อให้เป็นบุตรคนแรกของจวนเยี่ยนอ๋อง แต่ก็คงไม่ใช่ผู้ที่สำคัญและควรค่าต่อการยกย่อง
พิธีในวันนี้เพียงแค่ทำตามเป็นประเพณีเท่านั้น
หลังจากที่หมอผดุงครรภ์ได้เอ่ยคำว่า “ข้าแต่ปวงเทพเทวา ขอฝากให้ท่านดูแลทั้งแม่ลูก โปรดส่งบุตรชายมาให้เต็มบ้านเรือน โปรดช่วยส่งบุตรสาวมาไม่ต้องมาก…” ทำให้แววตาของพระชายาฉีอ๋องเผยถึงรอยยิ้มเยาะเย้ยขึ้น
สิ่งที่หมอผดุงครรภ์กล่าวออกมานั้นเป็นคำที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ตอนนั้นนางเองก็เคยได้ยินคำเช่นนี้ด้วย
‘โปรดประทานบุตรชายให้เต็มบ้านเรือน ช่วยส่งบุตรสาวมาไม่ต้องมาก’ ในตอนนั้นที่นางได้ยินไม่ต้องกล่าวถึงว่ารู้สึกปวดใจเพียงใด
เหตุใดจึงไม่ได้บุตรชายเล่า
พระชายาฉีอ๋องอดไม่ได้ที่จะหันไปมองทางเจียงซื่อ
นางเพิ่งจะให้กำเนิดบุตรได้ไม่ถึงสามวัน แต่สตรีที่อยู่ตรงหน้านี้กลับไม่มีวี่แววถึงความอ่อนล้าแต่อย่างใด ดูอิ่มเอมกว่าตอนที่จะตั้งครรภ์เสียอีก ความอิ่มเอมเหล่านี้ทำให้มองไปนางดูโดดเด่นงดงามกว่าเดิม
ในใจของพระชายาฉีอ๋องรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก
ในโลกใบนี้มักจะมีคนบางกลุ่มที่ได้รับความเมตตาจากสวรรค์มากกว่าผู้ใด ทำให้ผู้คนพบเห็นล้วนอิจฉา
นางสายตาไปมองทางเจียงซื่อด้วยแววตาแฝงความยิ้มเยาะ พระชายาฉีอ๋องแอบคิดอยู่ในใจว่า นางให้กำเนิดพระธิดา พระชายาเยี่ยนอ๋องไม่เป็นกังวลใจกับเรื่องนี้เลยหรือ
เหอะๆ ก็คงจะเสแสร้งทำเป็นเข้มแข็งเท่านั้น
“พระชายาอ๋องเพคะ มีผู้เดินทางมาจากพระราชวังเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้นางหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาพร้อมรายงาน
ผู้คนทั้งหลายที่นั่งอยู่ในห้องโถงต่างพากันนิ่งเงียบและหันไปมองหน้ากันไปมา
พิธีทำขวัญเหตุใดจึงมีคนจากพระราชวังเดินทางมา
การที่เชื้อพระวงศ์ให้กำเนิดสมาชิกใหม่ เรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก เรื่องเพิ่มรายชื่อลงไปยังฝ่ายข้าราชการพลเรือนและบันทึกไว้ในแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ ส่วนจะได้รับของกำนัลจากพระราชวังหรือไม่นั้น ก็ต้องดูว่า เป็นจวนใดผู้ให้กำเนิด หากว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญเท่าไรนัก อย่างมากสุดก็เพียงแค่มอบของบำรุงร่างกายมาให้ก็เท่านั้นตามธรรมเนียม
ในพิธีทำขวัญ กลับตั้งใจส่งคนมาร่วมงานนับว่าน้อยยิ่งนัก พิจารณาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วดูเหมือนว่าจะมีเพียงตอนที่ ท่านอ๋องไม่กี่คนซึ่งให้กำเนิดซื่อจื่อ จึงมีคนจากพระราชวังเดินทางมา…
เล่อกงกงเป็นศิษย์ของพานไห่ และพานไห่เป็นขันทีคนสนิทซึ่งฝ่าบาทไว้ใจมากที่สุด ข้าหลวงจากในพระราชวังเป็นคนที่ฮ่องเต้ส่งมา แต่ไม่ใช่ฮองเฮาและไทเฮา
ทุกคนยิ่งคิดยิ่งประหลาดใจถึงจุดประสงค์การเดินทางมาของข้าหลวงผู้นี้ จนกระทั่งเสี่ยวเล่อจื่อหยิบพระราชโองการสีเหลืองทองออกมา แววตาของพวกเขาทุกคนจึงได้ตกตะลึง
เหตุใดจึงมีพระราชโองการมาด้วย
เสี่ยวเล่อจื่อมองไปยังสายตาของทุกคน ก่อนจะเปิดพระราชโองการออกด้วยความระมัดระวังแล้วอ่านขึ้นว่า “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา พระชายาเยี่ยนอ๋องอ่อนช้อยเฉลียวฉลาด สง่างามและมีคุณธรรม บัดนี้พระชายาเยี่ยนอ๋องได้ให้กำเนิดพระธิดาคนโตของนางขึ้น ซึ่งจะโดดเด่นเช่นเดียวกับพระมารดา…พระธิดาของพระชายาเยี่ยนอ๋องช่างงดงามคล้ายกับมารดา จึงเป็นที่ชื่นชอบของข้ายิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่งตั้งยศให้นางเป็นเหอซูจวิ้นจู่ จบพระราชโองการ”
ภายในห้องโถงไร้สิ้นเสียงใดแม้กระทั่งเสียงลม บรรยากาศ ณ ที่นั้นเงียบสงัดเสียจนน่าประหลาดใจ