ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 601 เจ็บหัวใจ
จิ่งหมิงฮ่องเต้เซล้มลงไป เหล่าขุนนางตกตะลึงไปตามๆ กัน
“ฝ่าบาท…” เสียงตกใจกลัวดังขึ้นไม่ขาดสายลอดเข้ามาในหูฮ่องเต้ประหนึ่งเสียงหึ่งๆ ของยุง
ตอนนี้เขาไม่อาจเก็บซ่อนอาการจากสายตาของเหล่าขุนนางอีกแล้ว มือกุมอยู่ที่ตำแหน่งของหัวใจ เม็ดเหงื่อเย็นเฉียบไหลซึมไม่มีทีท่าจะหยุด
พานไห่ใช้ทั้งร่างเข้าไปรับจิ่งหมิงฮ่องเต้ เขาถามแผ่วเบา “ฝ่าบาท พระองค์เป็นอะไรไปหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตอบเสียงอู้อี้ “พา…พาข้าเข้าไปข้างใน…”
พานไห่ไม่กล้าถามต่อ เขารีบพยุงจิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าไปทันที
ท้องพระโรงตกอยู่ในความโกลาหล
บรรดาขุนนางมองหน้ากันและกัน
“ฝ่าบาทมิได้ดีขึ้นแล้วหรือ เหตุไฉนถึงได้…”
“จริงด้วย จากสภาพของฝ่าบาท น่ากังวลยิ่งนัก…”
“หรือว่าฝ่าบาททรงมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ”
“ใต้เท้าจาง ระวังคำพูดของท่านด้วย!”
ผ่านไปไม่นาน ข้าหลวงคนหนึ่งก็เดินออกมาพลางกล่าว “ใต้เท้าทั้งหลายกลับไปก่อนเถิด”
เหล่าขุนนางมีหรือจะทำตาม พวกเขาล้อมวงเข้ามาซักถามข้าหลวงไม่หยุดปาก “ฝ่าบาททรงเป็นเช่นไรบ้าง”
ข้าหลวงรีบตอบ “ท่านใต้เท้าวางใจได้ หมอหลวงเข้าไปดูพระอาการของฝ่าบาทแล้ว ฝ่าบาทมิได้มีอาการร้ายแรงอันใด…”
“เช่นนั้นฝ่าบาททรงเป็นอะไรกันแน่ หรือว่าอาการประชวรก่อนหน้านี้ยังไม่หายดีรึ”
ข้าหลวงที่ถูกจี้ถามเช่นนั้นเหงื่อกาฬไหลซึมจนชุ่มโชก เขายกมือขึ้นปาดหน้าผากก่อนจะตอบ “สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด ขอให้ท่านใต้เท้าทั้งหลายกลับไปรอฟังข่าวที่จวนของตัวเอง”
“ฝ่าบาทประชวรเช่นนี้ พวกข้าที่เป็นขุนนางจะกลับไปนั่งรอฟังข่าวที่จวนตัวเองได้อย่างไร”
“ใช่ๆ พวกข้าต้องรอให้แน่ใจว่าฝ่าบาททรงปลอดภัย พวกข้าถึงจะกลับ”
ข้าหลวงกระแอมไอ “ฝ่าบาททรงมิได้มีอาการรุนแรงอันใด ที่ให้ท่านใต้เท้าแยกย้ายกลับไปก็เป็นคำสั่งของฝ่าบาท หากใต้เท้าไม่กลับ หมายความว่าต้องการละเมิดคำสั่งของฝ่าบาทอย่างนั้นหรือ”
ทั้งหมดชะงักงันนิ่งอึ้ง
ข้าหลวงผู้นั้นอาศัยจังหวะนี้พาตัวเองออกจากท้องพระโรง
เมื่อข้าหลวงจากไปแล้ว ทั้งหมดก็ได้แต่มองหน้ากันพลางถอนหายใจ สุดท้ายก็ต้องยอมแยกย้ายกลับไปด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
ขณะที่ออกจากพระราชวังเป็นช่วงที่ท้องฟ้าสลัวอึมครึม สีหม่นของท้องฟ้าเป็นสีเดียวกับความรู้สึกของเหล่าขุนนาง
หรือว่าฟ้าของแผ่นดินต้าโจวจะถึงคราวต้องเปลี่ยนผ่านเสียแล้ว
ความสงสัยผุดขึ้นในความคิดก่อนจะแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งในและนอกราชสำนัก ผู้คนเริ่มหวั่นวิตก
จิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ใบหน้าซีดเซียวเอ่ยถามแพทย์หลวง “สรุปแล้วข้าป่วยเป็นโรคอะไร”
แพทย์หลวงว้าวุ่นใจชั่วครู่ก่อนจะตอบ “ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าพระองค์จะมีอาการโรคพระหทัยเฉียบพลันพ่ะย่ะค่ะ…”
“โรคหัวใจ?” จิ่งหมิงฮ่องเต้หวนนึกความเจ็บปวดที่เกิดเมื่อครู่ และสีหน้าของเขาก็แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างจนไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้ทำให้เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงลางร้าย
หรือว่าเขาจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
เขาไม่หวังว่าจักรพรรดิจะดำรงอยู่ค้ำฟ้า เพียงแต่ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นในช่วงเวลาเช่นนี้
องค์รัชทายาทไม่เป็นดั่งหวัง หากเขาเป็นอะไรไป ไพร่ฟ้าประชาชนจะตกอยู่ในอันตราย
ตอนนี้เขาจะยังตายไม่ได้!
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดเช่นนั้นแล้ว ความเศร้าโศกก็ก่อตัวใหญ่จนคับอก ขอบตาเริ่มเปียกชื้นเอาเสียดื้อๆ
“ร้ายแรงมากหรือไม่” เพราะความเจ็บแปลบเมื่อครู่ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไร้เรี่ยวแรงจะพูด จึงได้แต่ถามเสียงรวยริน
ร่างของแพทย์หลวงมีเหงื่อเย็นเฉียบไหลชุ่ม เขาตอบงึมงำ “กระหม่อมจะออกเทียบโอสถให้ก่อนแล้วกันพ่ะย่ะค่ะ…”
ริมฝีปากของจิ่งหมิงฮ่องเต้กระตุกวูบ เขาเข้าใจความหมายนั้นดี
แค่ถามว่าอาการหนักหรือไม่ หมอหลวงยังตอบไม่ได้
อารมณ์ของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดำดิ่งหนักกว่าเก่า เขายกมือเป็นเชิงให้เหล่าแพทย์หลวงออกไป
ฮองเฮารี่มาที่ตำหนักด้วยสีหน้าย่ำแย่ไม่ต่างกัน นางกุมมือของจิ่งหมิงฮ่องเต้พลางถาม “ฝ่าบาท พระองค์มีอาการเจ็บที่พระหทัยตั้งแต่เมื่อไหร่หรือเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เอนตัวพิงหมอน เม็ดเหงื่อผุดพรายบนหน้าผาก เสียงตอบเฉื่อยเนือยไร้กำลัง “ตอนที่ใกล้เสร็จว่าราชการเช้า แต่ข้าไม่เคยมีอาการเช่นนี้มาก่อน”
เขาเองก็รู้สึกแปลกใจ เพราะโรคเดิมก่อนหน้านี้เกิดจากถูกไท่จื่อกระตุ้นซ้ำๆ จนกำเริบ แต่ก็เห็นชัดๆ ว่าอาการดีขึ้นแล้ว แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงได้มีอาการโรคหัวใจเฉียบพลันเช่นนี้
ฮองเฮาใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อบนหน้าผากของจิ่งหมิงฮ่องเต้ หลังจากเงียบงันอยู่นาน นางก็เอ่ยแผ่วเบาออกมาในที่สุด “ฝ่าบาท พระองค์คิดหรือไม่ว่า อาการนี้แลดูแปลกพิลึก”
“หื้ม?”
ฮองเฮาเม้มปาก “หากนี่มิใช่โรคทางกายทั่วไปล่ะเพคะ”
“เจ้ากำลังหมายถึงอะไร” แววตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ลุ่มลึกขึ้นโดยพลัน
ฮองเฮาลังเลอยู่นานกว่าจะตอบ “หม่อมฉันนึกถึงเรื่องที่องค์หญิงสิบห้าถูกทำร้าย และเรื่องที่เกิดขึ้นที่เขาชิงเหลียง นางในร่ายระบำที่วางยาพิษองค์หญิงที่สิบห้าและหยางเฟยล้วนมีอาการโรคหัวใจเฉียบพลันด้วยกันทั้งคู่…”
ฮองเฮาไม่กล้ากล่าวต่อ เพียงแต่พิศมองสีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้อยู่อย่างนั้น
พระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไป มือไม้สั่นเหนือการควบคุม
เขาพอจะเดาออกแต่แรกแล้ว แต่ไม่อยากเชื่อเช่นนั้น แต่เมื่อฮองเฮาเอ่ยออกมาเช่นนี้ เขาก็ไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป
ที่จู่ๆ ก็เจ็บแปลบขึ้นมาที่หัวใจเป็นเพราะมีคนจงใจทำร้ายเข้าอย่างนั้นหรือ
“แต่ตั่วหมัวมัวก็ตายไปแล้ว…” จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วพลางมองไปที่ฮองเฮา
ฮองเฮาก็ยังคิดไม่ตก ได้แต่ขมวดคิ้วมุ่นไม่เกริ่นกล่าว
ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ย่ำแย่เข้าขั้น เขาเอ่ยเสียงสั่น “หรือว่า…ในวังหลวงยังมีพวกของตั่วหมัวมัวหลงเหลืออยู่”
“ฝ่าบาท ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้…”
ประโยคท่อนหลังยังไม่ทันจบดี จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ยกมือกุมอก เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลซึมออกมาในชั่วพริบตา
ฮองเฮาลุกลี้ลุกลนแผดเสียงดังลั่น “หมอหลวง หมอหลวง…”
แพทย์หลวงหลายคนเร่งรี่เข้ามา แม้เห็นอาการเจ็บปวดทุรนทุรายของจิ่งหมิงฮ่องเต้ แต่พวกเขากลับทำอะไรไม่ได้
“พวกเจ้ายืนบื้ออยู่ทำไม” เสียงสูงแหลมของฮองเฮาเกรี้ยวกราดยิ่งนัก
เหล่าแพทย์หลวงคุกเข่าสำนึกผิด
ฮองเฮาตำหนิต่อว่าแพทย์หลวงไม่หยุดปาก มือยังคงกุมแน่นที่บริเวณทรวงอกของฮ่องเต้
ไม่กี่ชั่วอึดใจ ร่างกายของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เริ่มคุ้นชินกับความเจ็บปวดนั้น เหงื่อเย็นชื้นแฉะไปทั่วร่าง
ฮองเฮาเห็นว่าอาการของจิ่งหมิงฮ่องเต้เกินจะเยียวยา นางจึงแผดเสียงดังลั่น “พวกเจ้าออกไปให้หมด!”
ทั้งแพทย์หลวงและข้าหลวงที่คอยอยู่ปรนนิบัติออกไปจนหมด เหลือแต่พานไห่เท่านั้น
อาการทุรนทุรายเมื่อครู่ทำให้ร่างกายของฮ่องเต้ทรุดหนัก เขาพยายามลืมตามองฮองเฮาด้วยความยากลำบาก
เขารู้ว่าที่ฮองเฮาไล่ทุกคนออกไป เพราะมีเรื่องสำคัญจะพูด
“ฝ่าบาท เรียกพระชายาเยี่ยนอ๋องมาดูพระอาการเถิดเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หนังตากระตุกวูบ
ฮองเฮาเฝ้ามองด้วยสายตาสงสัยพลางเอ่ยอ่อนโยน “โรคพระหทัยของฝ่าบาทอาจเหมือนโรคดวงตาของฝูชิงก็เป็นได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ควรเรียกพระชายาเยี่ยนอ๋องให้เข้ามาดูหน่อยเถิดเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้ารับ เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ไม่ต้องส่งเทียบเรียกสะใภ้เจ็ดเข้ามาหรอก เพราะเจ้าพวกนั้นคงทราบเรื่องแล้ว อีกเดี๋ยวก็คงจะเข้าวังในไม่ช้า”
หากอาการเจ็บหัวใจของเขาเกี่ยวข้องกับตั่วหมัวมัว เขาก็ไม่ควรเปิดเผยเรื่องของสะใภ้เจ็ด
แล้วก็เป็นไปตามคาด ไม่ทันไรข้าหลวงก็เข้ามารายงานว่า ท่านอ๋องพาชายามาขอเข้าเฝ้า
ไท่จื่อและพระชายาจากตำหนักบูรพาก็มาถึงแล้วเช่นกัน
พานไห่เดินไปหยุดอยู่หน้าบรรดาองค์ชายพลางกวาดสายตาไปรอบๆ “ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เยี่ยนอ๋องและพระชายาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของคนอื่นๆ ผิดแผกไปในทันใด รอจนกระทั่งทั้งคู่ตามพานไห่เข้าไปแล้ว ทั้งหมดก็ได้แต่มองหน้ากัน
เสด็จพ่อประชวรกะทันหันคราวนี้ เรียกเจ้าเจ็ดกับสะใภ้เข้าไปเป็นคู่แรกอย่างนั้นหรือ
หลู่อ๋องลูบคางพลางปรารภ “ดูไม่ออกเลยจริงเชียวว่าเสด็จพ่อจะอยากพบเจ้าเจ็ดมากที่สุด!”
พระชายาหลู่อ๋องกลอกตาพลางกระซิบแผ่วเบา “พูดให้มันน้อยๆ หน่อย”
ใบหน้าของฉีอ๋องยังคงนิ่งเรียบ ทว่าในใจกลับหนักอึ้ง
ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้จึงได้เห็นธาตุแท้ เสด็จพ่อเรียกเจ้าเจ็ดและสะใภ้เจ็ดเข้าไปเป็นคนแรกหมายความว่าอย่างไร
หากไท่จื่อถูกปลด คู่แข่งคนสำคัญของเขาก็คือเจ้าเจ็ดอย่างนั้นหรือ
อาการเจ็บปวดที่ทรวงอกเกินจะทนรับไหว จิ่งหมิงฮ่องเต้จึงมิได้สนใจว่าคนที่เหลือจะคิดเช่นไร อีกทั้ง ที่ผ่านมาสองสามีภรรยาคู่นี้ก็ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาไม่น้อย เขาจึงมิได้รังเกียจหากต้องแสดงท่าทีโปรดปราน
เมื่ออวี้จิ่นและเจียงซื่อถวายความเคารพเรียบร้อยแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เข้าประเด็นทันที “สะใภ้เจ็ด เจ้ามาดูให้ข้าหน่อยซิว่า ร่างกายของข้าผิดปกติตรงไหน”