ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 622 ตัดสินใจลงใต้
“ยังหาไม่เจองั้นรึ” สีหน้าอวี้จิ่นคล้ำหม่นโดยสมบูรณ์
การเสียชีวิตของเจียงจั้นทำให้อาซื่อและท่านพ่อตาทุกข์ทรมานมากพออยู่แล้ว หากรู้ว่าร่างของเขายังหาไม่พบ ทั้งคู่จะเจ็บปวดใจเพียงใด
พานไห่ก้าวเท้าถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ร่างทั้งร่างวูบวาบอย่างไม่มีสาเหตุ
อยู่ต่อหน้าฝ่าบาทเช่นนี้ เยี่ยนอ๋องคงไม่กล้าลงไม้ลงมือกับเขา…เอ๋ เหตุใดจู่ๆ ถึงเกิดความคิดเช่นนี้
“พานกงกง ข้าอยากทราบรายละเอียดอีกหน่อย”
พานไห่รีบตอบ “ทหารครึ่งหนึ่งสู้รบอยู่ในแถบจี๋สุ่ย การปะทะกันครั้งนี้มีพลทหารบาดเจ็บล้มตายถึงเก้าในสิบ เหล่าพลทหารที่เหลือรอดกลับไปยังสมรภูมิรบเพื่อเก็บกวาด แต่ในความเป็นจริงกองทัพหนานหลานได้เก็บกวาดไปก่อนแล้วรอบหนึ่ง…พลทหารเหล่านั้นพยายามค้นหาหลายต่อหลายครั้ง ทว่ากลับไม่พบร่างของบุตรชายตงผิงปั๋วพ่ะย่ะค่ะ…”
ในสมรภูมิรบมีกฎธรรมเนียมที่มิได้จารึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ทว่าเป็นเรื่องที่ทราบโดยทั่วกันคือ ไม่ว่าทั้งสองฝ่ายที่สู้รบจะเป็นศัตรูกันมาช้านานเพียงใด หรือไม่ว่าในสนามรบจะปะทะกันดุเดือดเพียงใด เมื่อสงครามสิ้นสุดลงจะเว้นช่วงให้แต่ละฝ่ายได้เก็บกวาดสนามรบ
แม้จะเรียกว่าการเก็บกวาดสนามรบ แต่ก็เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายได้เก็บร่างสหายร่วมรบของตนเองกลับไป แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ทำลายร่างศพของศัตรู
ตอนที่ยังมีชีวิต ต่างก็พลีกายต่อสู้กับศัตรู แต่เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใด ล้วนแล้วแต่เป็นวีรบุรุษผู้พลีชีพเพื่อชาติทั้งสิ้น
ดังนั้น ร่างของผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่จะถูกนำกลับมายังบ้านเกิดของตนเอง
แต่แน่นอนว่าบางครั้งก็มีข้อยกเว้น กล่าวคือร่างผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งที่ถูกหินใหญ่ทับ ร่างที่ตกหน้าผาหรือตกลงไปในแม่น้ำก็ยากที่จะนำกลับมา
พานไห่เห็นสีหน้าย่ำแย่ของอวี้จิ่นจึงรีบกล่าวเสริมทันควัน “การรบกันกับกองทัพหนานหลานครั้งนี้เกิดขึ้นบริเวณแม่น้ำจี๋สุ่ย จึงมีพลทหารจำนวนหนึ่งตกลงไปในแม่น้ำ จึงคาดว่าร่างของบุตรชายตงผิงปั๋วน่าจะตกลงไปในแม่น้ำพ่ะย่ะค่ะ…”
อวี้จิ่นมองไปที่จิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยใบหน้าหมองหม่น “เสด็จพ่อ ผลลัพธ์เช่นนี้ ลูกไม่มีหน้ากลับไปหาพระชายาหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้เบิกตาเล็กน้อย “ความหมายของเจ้าคือ…”
หรือว่าจะขออยู่ในวังไม่ยอมกลับจวนอ๋องอย่างนั้นรึ
ทำเช่นนั้นมันผิดกฎระเบียบ ต่อให้เขาจะเห็นใจสะใภ้เจ็ดเพียงใดก็ไม่อนุญาตให้ทำเช่นนั้น
ริมฝีปากเรียวบางของอวี้จิ่นเม้มแน่นสนิท เขาเงียบงันชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจ “ลูกอยากไปทางใต้ด้วยตัวเองพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขยับคิ้ว
เจ้าเจ็ดจะไปที่ทางใต้ด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ
ในการสู้รบช่วงที่ผ่านมา พลทหารหนานหลานทำงานกันอย่างหนัก ส่วนเผ่าอูเหมียวที่อยู่คั่นกลางระหว่างต้าโจวและหนานหลานก็กำลังระส่ำระสายเพราะข่าวลือเรื่องการเสียชีวิตของสตรีศักดิ์สิทธิ์ เกรงว่าหากเจ้าเจ็ดไปจะเป็นอันตราย…
จิ่งหมิงฮ่องเต้อึกอักลังเลครู่ใหญ่
อวี้จิ่นเห็นสภาพจึงเอ่ยเสียงเรียบ “เสด็จพ่อ ลูกอยู่ที่ทางใต้มานานหลายปี ในแง่ของความคุ้นเคย ลูกคิดว่าพลทหารที่ถูกส่งไปประจำการอยู่ที่นั่นอาจสู้ลูกไม่ได้ ส่วนเรื่องเผ่าอูเหมียว ลูกก็เคยติดต่อกับพวกเขามาก่อน การไปทางใต้ครั้งนี้ จุดประสงค์หลักคือการไปหาร่างของพี่ชายภรรยา แต่ลูกจะใช้โอกาสนี้สืบข่าวของเผ่าอูเหมียวด้วย ขอเสด็จพ่อพระราชทานอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ครุ่นคิดก่อนจะถาม “เจ้าอยากไปที่นั่นจริงๆ งั้นหรือ”
“หากไม่แล้ว ลูกคงไม่มีหน้ากลับไปหาชายาพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นเผยท่าทางจริงจัง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น “ทางใต้กำลังวุ่นวาย แม้เจ้าจะเป็นองค์ชาย แต่ก็ไม่สามารถส่งกองกำลังยิ่งใหญ่ไปคุ้มกันได้…”
“ไม่มีความจำเป็นต้องส่งคนไปคุ้มกันพ่ะย่ะค่ะ คนน้อยย่อมคล่องตัวกว่า ลูกไปกับองครักษ์ส่วนตัวอีกสองคนก็เพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นตอบรับอย่างกระตือรือร้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยังคงละล่ำละลัก
อวี้จิ่นจึงกล่าวเสริม “หากปล่อยให้ลูกกลับไปเช่นนี้ ลูกคงไม่มีหน้ากลับไปหาพระชายาจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงมุมปาก
ไอ้ลูกคนนี้คงตั้งใจจะใช้เรื่องอยู่ในวังหลวงมาขู่เขาสินะ
เอาเถอะ แม้ว่าเขาจะมิได้กลัวการถูกข่มขู่ แต่ถึงอย่างไรสะใภ้เจ็ดก็ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาไม่น้อย เพราะเห็นแก่สะใภ้เจ็ด เขาจะยอมให้ทำเช่นนั้นก็แล้วกัน
ฮ่องเต้มองไปที่อวี้จิ่นพลางปั้นหน้าขรึม “ข้าอนุญาตให้เจ้าไปที่ทางใต้ แต่ว่าห้ามทำอะไรเอิกเกริก และห้ามก่อเรื่องเด็ดขาด”
“ลูกรับทราบพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นตอบรับทันควัน
“หากพบร่างของบุตรชายตงผิงปั๋วก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่หากไม่แล้ว เจ้าก็รีบกลับมาจะดีกว่า เพราะทั้งภรรยาและพ่อตาของเจ้าที่กำลังเศร้าโศกก็ต้องการกำลังใจ”
อวี้จิ่นหลุบตาพลางตอบ “พ่ะย่ะค่ะ”
ฝ่าบาทตอบรับคำขอของเขาแล้ว ไม่ว่าจะสั่งอะไร เขาก็ยอมทั้งนั้น
ระหว่างทางจากวังหลวงกลับไปยังจวนอ๋อง อวี้จิ่นเริ่มรู้สึกปวดศีรษะขึ้นอีกครั้ง
อาซื่อกำลังเฝ้ารออย่างระทมทุกข์ แต่เขากลับนำข่าวร้ายกลับไปบอกนาง…
อวี้จิ่นค่อยๆ สาวเท้าอันหนักอึ้งเข้าไปในอวี้เหอย่วน และเห็นเจียงซื่อกำลังนั่งเหม่ออยู่ที่ใต้ต้นไม้
เขาเร่งฝีเท้าเข้าไปหา และดึงมือหญิงสาวมากุมไว้
มือเรียวเล็กเย็นเฉียบ
ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมของตนออกมาคลุมให้นางพลางกล่าว “อากาศหนาวเพียงนี้ เจ้านั่งอยู่ตรงนี้นานแค่ไหนแล้ว”
ปากเอ่ยกล่าวไปเช่นนั้นทว่าสายตากวาดไปที่อาหมานซึ่งยืนอยู่ข้างๆ และเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เหตุใดถึงไม่ชวนพระชายาเข้าไปข้างใน”
อาหมานก้มศีรษะ และแอบแลบลิ้น
นายหญิงกำลังไม่สบายใจ อารมณ์ของท่านอ๋องก็ขึ้นๆ ลงๆ ตามไปด้วย
เจียงซื่อเอ่ยปาก “อย่าไปว่าพวกนางเลย ข้าอยู่ในห้องก็อุดอู้ เลยออกมาสูดอากาศ อาจิ่น เสด็จพ่อเรียกเจ้าไปเข้าเฝ้าเพราะมีข่าวคราวจากทางใต้งั้นหรือ”
“อื้ม”
เจียงซื่อเม้มปากก่อนจะเอ่ยเสียงสั่น “พี่รอง…”
นางอยากเห็นร่างของพี่ชาย แต่ก็กลัวว่าเมื่อพบแล้วจะรับความจริงไม่ได้
จนถึงบัดนี้นางยังไม่อาจทำใจเชื่อว่าพี่ชายของนางเสียชีวิตแล้ว อีกทั้งยังไม่กล้าจินตนาการว่าพี่ชายรูปโฉมงดงามและร่าเริงที่ผ่านสมรภูมิรบจะเป็นเช่นไร
“ตอนนี้ยังไม่พบร่างของเขา” พูดสั้นกระชับได้ใจความดีกว่าร่ายยืดยาว เผื่อความเจ็บปวดจะสั้นลง อวี้จิ่นตั้งใจจะบอกเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้เจียงซื่อได้รับรู้
แต่เจียงซื่อในขณะนั้นผงะนิ่ง นางพึมพำ “จะไม่เจอได้อย่างไร แล้วพี่รองของข้าไปอยู่ที่ไหนกัน”
“พลทหารทั้งสองฝ่ายสู้รบกันแถบแม่น้ำจี๋สุ่ย เป็นไปได้ว่าร่างของเขาอาจตกลงไปในแม่น้ำ…”
อวี้จิ่นพูดมาถึงเท่านี้ก็เห็นว่าใบหน้าของเจียงซื่อย่ำแย่เข้าขั้น ซีดเซียวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา อีกทั้งเนื้อตัวของนางยังสั่นสะท้านเกินจะควบคุม
“อาซื่อ เจ้าใจเย็นๆ ก่อน…” อวี้จิ่นจับมือเจียงซื่อ มือเย็นเฉียบในตอนแรกสั่นกระตุกไม่เป็นส่ำ
เสียงเรียกของอวี้จิ่นไม่เข้าหูเจียงซื่ออีกแล้ว มีเพียงประโยคก่อนหน้าที่ยังคงดังก้องอยู่ในหูของนาง ‘พลทหารทั้งสองฝ่ายสู้รบกันแถบแม่น้ำจี๋สุ่ย เป็นไปได้ว่าร่างของเขาอาจตกลงไปในแม่น้ำ…’
ความกลัวและความสิ้นหวังแผ่ซ่านอย่างไม่มีจุดสิ้นสุด
เมื่อชาติที่แล้วพี่รองเสียชีวิตที่แม่น้ำจินสุ่ย นางพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พี่รองหลุดพ้นจากโชคชะตาอันโหดร้าย แต่เวียนไปวนมา สุดท้ายแล้วพี่รองก็ยังจบชีวิตลงในแม่น้ำอยู่ดี…
หากเป็นเช่นนี้ แล้วท่านพ่อ? พี่ใหญ่? นางและอาฮวนล่ะ?
“อาซื่อ ข้าจะไปแดนใต้!” สองมือของอวี้จิ่นวางอยู่บนบ่าของนางพร้อมเอ่ยเสียงดังฟังชัด
เจียงซื่อถึงได้หลุดออกจากภวังค์ ม่านน้ำตาบดบังจนภาพของบุรุษเบื้องหน้าแลดูพร่ามัว
แม้ภาพตรงหน้าจะมัวเพียงใด แต่นางก็คุ้นเคยกับร่างตรงหน้าเป็นอย่างดี
“เจ้าจะไปที่ทางใต้อย่างนั้นหรือ” เจียงซื่อเก็บความกลัวและความสิ้นหวังไว้ในใจพลางเอ่ยถามเชื่องช้า
การเสียชีวิตของพี่รองส่งผลกระทบต่อนางอย่างใหญ่หลวง แต่นางจะไม่ปล่อยให้ตัวเองพังทลายเด็ดขาด เพราะนางต้องปกป้องคนอีกมาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น สติของเจียงซื่อก็เริ่มกลับเข้าที่
“อาซื่อ ข้าขออนุญาตเสด็จพ่อเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางไปที่นั่น ไปดูว่าจะสามารถพาพี่รองของเจ้ากลับมาได้หรือไม่”
เจียงซื่อเม้มปากนิ่งเงียบชั่วอึดใจก่อนจะกล่าว “ข้าอยากไปด้วย”
อวี้จิ่นถอนหายใจ “ยังมีอาฮวนที่ต้องดูแล”
เจียงซื่อยิ้มอย่างขมขื่น
จริงสิ อาฮวนติดมารดามาก นางคงทำได้เพียงพูดไปอย่างนั้น บนโลกใบนี้มีเรื่องมากมายที่อยู่เหนือการควบคุม ฉะนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่ทุกสิ่งจะเป็นดั่งใจนึก
“เช่นนั้นข้าจะดูแลลูกให้ดี ส่วนเจ้าก็รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน”