ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 639 เล่าเรื่องเงินถวายปัจจัย
น้ำเสียงฉาดฉานของร่างที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นดึงดูดความสนใจของทุกคนในที่นั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้เฝ้ามองหญิงรับใช้ที่เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของนางขาวสะอาด ดวงตาสุกใสแลดูฉลาดเฉลียว จากที่เห็นนางดูเป็นคนร่าเริง
ฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะชำเลืองไปทางเจียงซื่อพลางคิดว่า สะใภ้เจ็ดคล่องแคล่วปราดเปรียวขนาดนั้น หญิงรับใช้ของนางก็คงแกล้วกล้าไม่ต่างกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ชอบให้ผู้ใดแสดงท่าทีขลาดกลัวต่อหน้าตัวเอง เพราะนั่นทำให้เขานึกถึงบุตรชายที่แสนเหลาะแหละไร้ความสามารถของตนเอง
ฉะนั้นท่าทางเด็ดเดี่ยวของอาหมานจึงเป็นที่ถูกใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้
ความเงียบเข้าปกคลุมเพียงชั่วอึดใจก่อนที่จิ่งหมิงฮ่องเต้จะเอ่ยถาม “เจ้าคือบ่าวรับใช้ของจวนเยี่ยนอ๋องงั้นหรือ”
อาหมานรีบตอบทันควัน “กราบทูลฝ่าบาท บ่าวเป็นข้ารับใช้ข้างกายของพระชายาเยี่ยนอ๋องเพคะ”
ในจวนเยี่ยนอ๋องมีหญิงรับใช้มากมาย แต่ไม่มีสาวรับใช้คนใดมีสถานะเทียบเท่านางที่เป็นหญิงรับใช้ข้างกาย ฉะนั้นแล้วนี่เป็นโอกาสดี นางไม่ควรปล่อยให้ฝ่าบาทเข้าใจผิด
ท่าทีภาคภูมิใจของหญิงรับใช้ทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้เผลอยิ้มโดยไม่รู้ตัว “เจ้าชื่ออะไร”
อาหมานเอ่ยตอบชัดถ้อยชัดคำ “บ่าวชื่อว่าอาหมานเพคะ”
“อาหมาน...” จิ่งหมิงฮ่องเต้ทวนซ้ำพลางพยักหน้า “เป็นชื่อที่ดี ไหนเจ้าว่ามาซิว่าสาเหตุที่ว่าคืออะไร”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงที่อ่อนโยนก่อนหน้าก็เจือไปด้วยความจริงจัง
หมดข้อกังขาเรื่องที่พระชายาฉีอ๋องตั้งใจปองร้ายเจียงซื่อไปแล้ว และเขาก็ไม่ต้องการเซ้าซี้ว่าสะใภ้เจ็ดรอดมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร แต่ในเมื่อสาวรับใช้ของสะใภ้เจ็ดกล่าวขึ้นมาเอง เขาก็ยินดีที่ความสงสัยจะได้รับการคลี่คลาย
แม้เขาจะชื่นชมความเก่งกาจที่ไม่อาจคาดเดาของสะใภ้ แต่บางครั้งก็อดหวั่นใจไม่ได้
นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อผู้ปกครองรู้สึกว่าเขาไม่สามารถควบคุมบุคคลใดหรือเรื่องใดย่อมทำให้ผู้ปกครองรู้สึกไม่สบายใจเป็นธรรมดา จึงไม่แปลกหากความใคร่รู้จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ในขณะนั้น ไม่เพียงแต่จิ่งหมิงฮ่องเต้ ในตำหนักยังมีฮองเฮาและคนอื่นๆ ที่กำลังมองไปที่อาหมาน รอให้นางช่วยแถลงไข
พระชายาเยี่ยนอ๋องหนีรอดมาได้อย่างไร แล้วเหตุใดคนร้ายอย่างพระชายาฉีอ๋องถึงยังอยู่ในรถม้า นี่ก็หมายความว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องคงทำอะไรกับพระชายาฉีอ๋องจริงไหม
มีเพียงเจียงซื่อที่ยังอยู่ในท่าทีสงบนิ่ง ไม่มีวี่แววของความวิตกกังวลเล็ดลอดออกมาให้เห็น
นางรู้จักอาหมานเป็นอย่างดี
อาหมานตอบตามที่นางคาดไว้ไม่มีผิด “เพราะพระชายาถวายเงินปัจจัยเป็นจำนวนมากเพคะ”
“ว่าอย่างไรนะ” คำตอบนั้นเกินความคาดหมายของทุกคน จิ่งหมิงฮ่องเต้หลุดปากถามพลางโน้มตัวไปข้างหน้า
ทั้งหมดในที่นั้นชะงักไปในทันใด
เกี่ยวอะไรกับเงินถวายปัจจัย
อาหมานหักนิ้วพลางอรรถาธิบายถี่ถ้วน “วันนี้พระชายาของบ่าวไปสวดภาวนาขอพรและถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋นกับพระชายาฉีอ๋อง พระชายาทรงบริจาคเงินถวายปัจจัยเป็นจำนวนหนึ่งพันแปดร้อยตำลึง แต่พระชายาฉีอ๋องทรงบริจาคเพียงสี่ร้อยตำลึง ซึ่งยังไม่ได้ครึ่งของพระชายา ยอดเงินบริจาคเป็นเครื่องยืนยันถึงแรงศรัทธาที่มีต่อพระโพธิสัตว์ พระชายาของบ่าวมีแรงศรัทธามากถึงเพียงนี้ พระพุทธองค์ย่อมคุ้มครองเป็นแน่แท้เพคะ…”
หญิงรับใช้เอ่ยฉะฉานพลางกวาดตามองไปรอบๆ “ดังนั้น การที่พระชายาของบ่าวทรงรอดมาได้อย่างปลอดภัยจึงมิใช่เรื่องแปลก คนดีพระคุ้มครองเพคะ”
จะดูซิว่าสาเหตุง่ายๆ เพียงเท่านี้ เหล่าผู้สูงศักดิ์จะยังเล้าหลือไม่เลิกอีกหรือเปล่า
ทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบ สายตาทุกคู่ไปหยุดอยู่ที่ฉีอ๋อง
ฉีอ๋องหน้าแดงก่ำ
ในชีวิตเขาไม่เคยรู้สึกอับอายเท่านี้มาก่อน!
พระชายาสองพระองค์ไปถวายธูปด้วยกัน พระชายาเยี่ยนอ๋องบริจาคเงินถวายปัจจัยหนึ่งพันแปดร้อยตำลึง ส่วนภรรยาของเขากลับถวายเพียงสี่ร้อยตำลึง เขานึกไม่ออกเลยว่าในตอนนั้นหลี่ซื่อทนความอัปยศนี้ได้อย่างไร
เอาเถอะ ถึงอย่างไรเขาก็ทราบสถานะการเงินของจวนเป็นอย่างดี เขาจึงเข้าใจความคิดของนาง หากพระชายาเยี่ยนอ๋องตายไป เรื่องเงินถวายปัจจัยจะไม่มากวนใจนางอีก เพียงแต่เรื่องนี้กลับถูกนำมาเล่าขานต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อเสียได้
ฉีอ๋องรู้สึกคล้ายกับถูกตบหน้าจนบวมฉึ่ง
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชำเลืองไปที่ฉีอ๋องด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ก่อนจะหันไปถามฮองเฮา “ข้าลืมถามไปเรื่องหนึ่ง เหตุใดวันนี้พระชายาฉีอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋องถึงไปถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋น”
ฮองเฮาเก็บซ่อนความยินดีไว้ในใจ ใบหน้าของนางยังคงนิ่งเรียบ “เสียนเฟยล้มป่วยเพคะ พระชายาทั้งสองถึงได้ไปสวดภาวนาขอพรเพื่อเสียนเฟยที่วัดไป๋อวิ๋นเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น คิ้วก็ขมวดโดยพลัน เขาหันไปมองฉีอ๋องอีกครั้งด้วยแววตาไม่สบอารมณ์
เขาทราบดีว่าเสียนเฟยรู้สึกเช่นไรต่อเจ้าสี่และเจ้าเจ็ด หากเสียนเฟยเห็นว่าเจ้าสี่เป็นเนื้อที่อุ้งมือ นางก็คงเห็นเจ้าเจ็ดเป็นหนังด้านที่ปลายส้นเท้า… เมื่อการเปรียบเทียบอย่างเป็นรูปธรรมผุดขึ้นในสมอง มุมปากของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็กระตุกฉับพลัน
การเปรียบเป็นหนังด้านที่ปลายส้นเท้าดูจะเกินเรื่องไปเสียหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทราบดีว่าเสียนเฟยลำเอียงเพียงใด
ในยามที่ต้องเสียสละ สะใภ้สี่กลับบริจาคเงินปัจจัยไม่ได้ถึงเศษเสี้ยวของสะใภ้เจ็ด ทำให้พอรับรู้ได้ถึงความคิดของนาง
สะใภ้จะคิดกับแม่สามีเช่นไร ก็สุดแท้แต่ทัศนคติของผู้เป็นสามีที่มีต่อมารดาของตัวเอง หลักเหตุผลนี้มิได้เป็นจริงเฉพาะในกลุ่มสามัญชนเท่านั้น ในครอบครัวของเชื้อพระวงศ์ก็มีความคิดเช่นนี้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าใจสัจธรรมข้อนี้อย่างถ่องแท้ จึงไม่แปลกถ้าเขาจะไม่พอใจฉีอ๋อง
ฉีอ๋องที่ถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนั้นแทบจะล้มทั้งยืน เขารู้สึกหนักอึ้งไปทั้งหัวใจ
เขาพยายามใช้ชีวิตมาอย่างดีและอยู่ในทำนองคลองธรรมมาโดยตลอด ทั้งหมดก็เพราะอยากทำให้เสด็จพ่อเห็นว่าเขาแตกต่างจากโอรสองค์อื่น แต่ความพยายามตลอดหลายปีกลับไม่เป็นผล เพราะนอกจากเขาจะไม่เคยอยู่ในสายตาของเสด็จพ่อแล้ว เสด็จพ่อยังรู้สึกไม่พอใจในตัวเขาง่ายดายถึงเพียงนี้
ในวินาทีนั้น ฉีอ๋องรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก
จิ่งหมิงฮ่องเต้มิได้สนใจว่าฉีอ๋องจะรู้สึกอย่างไร เขาหันไปสั่งพานไห่ “ให้คนไปดูซิว่าหลี่ซื่อฟื้นหรือยัง”
สรรพนามเรียก ‘หลี่ซื่อ’ ทำให้หัวใจทุกคนในที่นั้นสั่นสะท้าน
คงไม่ต้องบอกแล้วว่าจุดจบของพระชายาฉีอ๋องจะเป็นเช่นไร
พานไห่สั่งข้าหลวงให้ไปถามความคืบหน้าที่ตำหนักคุนหนิง ไม่นานนักก็กลับมารายงาน “พระชายาฉีอ๋องยังไม่ฟื้นพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด “เจ้าสี่ เจ้าพานางกลับไปที่จวนเถอะ”
ในเมื่อหลักฐานทางวัตถุและทางบุคคลมีพร้อม การที่พระชายาฉีอ๋องจะฟื้นหรือไม่ฟื้นก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อยากเจาะลึกมากไปกว่านี้
หากให้โอกาสพระชายาฉีอ๋องได้แก้ตัว แล้วนางเปิดโปงว่าพระชายาเยี่ยนอ๋องกระทำการตอบโต้ มีแต่จะทำให้เรื่องเลวร้ายไปกันใหญ่
เขาไม่ควรลงโทษสะใภ้เจ็ดเพียงเพราะนางใช้กลอุบายเพื่อป้องกันตัว เพราะมิฉะนั้นแล้วชะตาของเหยื่อก็ไม่ต่างอะไรจากการถูกทำร้าย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ขบคิด
เขาเงียบไปหลายอึดใจก่อนจะกล่าว “พระชายาฉีอ๋องหลี่ซื่อประสบเหตุม้าพยศ สภาพจิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างสาหัสจนกลายเป็นคนวิกลจริต ต่อไปนี้ข้าของสั่งให้นางรักษาตัวอยู่แต่ในจวน ไม่อนุญาตให้พบหน้าผู้ใดทั้งนั้น”
ฉีอ๋องตกตะลึง “เสด็จพ่อ…”
ความตกตะลึงนั้นเป็นเพียงการแสดงที่พยายามจะปกปิดความโหดเหี้ยม
“หื้ม?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ดึงหน้าเคร่งขรึม
ฉีอ๋องเผยสีหน้าเจ็บปวดรวดร้าว แต่ในที่สุดก็น้อมรับแต่โดยดี
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปหาเจียงซื่อ “สะใภ้เจ็ด เรื่องวันนี้คงทำให้เจ้าตกใจไม่น้อย เจ้ากลับไปพักเถิด อีกเดี๋ยว…จะมีของกำนัลปลอบขวัญส่งตามไป”
“หม่อมฉันทำให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่ต้องลำบากแล้วเพคะ” เจียงซื่อเอ่ยสุภาพ
นางเฝ้ารอวันที่จะได้กำจัดเป้าหมายเล็กๆ อย่างพระชายาฉีอ๋องมาโดยตลอด ดูเหมือนว่าเป้าหมายของนางจะค่อยๆ สำเร็จไปทีละน้อย
ไม่ พระชายาฉีอ๋องมิใช่เป้าหมายเล็กๆ
แม้ว่าความยากในการกำจัดพระชายาฉีอ๋องอาจไม่สู้การกำจัดองค์หญิงใหญ่หรงหยางและพรรคพวก แต่สำหรับนาง พระชายาฉีอ๋องถือเป็นข้อยกเว้น
เนื่องจากชาติที่แล้วนางเสียชีวิตก็เพราะน้ำมือของพระชายาฉีอ๋อง ฉะนั้นการจะเผชิญหน้าพระชายาฉีอ๋องในแต่ละครั้ง นางจึงต้องใช้ความพากเพียรอย่างยิ่งในการเอาชนะ
จิ่งหมิงฮ่องเต้สั่งให้ทุกคนกลับไปแล้ว บัดนี้จึงเหลือเพียงเขาและฮองเฮา
“ฮองเฮา นำเรื่องนี้ไปแจ้งให้เสียนเฟยทราบด้วยก็แล้วกัน”