ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 645 สวนดอกเหมย
การเปิดเผยเจ้าของตัวจริงของร้านลู่เซิงเซียงไม่ได้ทำให้กิจการขยายใหญ่ขึ้น และถึงแม้ยอดขายจะหดตัวลง แต่แนวโน้มกลุ่มลูกค้าหลักเริ่มเอนเอียงไปทางกลุ่มสตรีชั้นสูง
ด้วยสาเหตุนี้ แม้รายได้ของร้านลู่เซิงเซียงจะพุ่งสูงขึ้น แต่กลับยิ่งทำให้ร้านเข้าถึงยาก ฉะนั้นโอกาสที่คนจะมาก่อเรื่องที่ร้านจึงเป็นไปได้ยาก
“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าป้าซิ่วหายตัวไป”
“เมื่อวานป้าซิ่วไปที่เขตชานเมืองเพื่อตรวจสอบคุณภาพดอกล่าเหมย แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่กลับมาที่ร้านเลยเพคะ แม่นางฉูฉู่เห็นท่าไม่ดีจึงตามไปดู เจ้าของสวนดอกเหมยแจ้งว่าป้าซิ่วกลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วเพคะ…”
เจียงซื่อขมวดคิ้ว “ป้าซิ่วไปคนเดียวงั้นรึ”
อาเฉี่ยวตอบ “ไปกับเด็กหนุ่มอีกคนเพคะ”
“ก็หมายความว่า หายไปทั้งคู่อย่างนั้นหรือ”
อาเฉี่ยวพยักหน้า “แม่นางฉูฉู่เค้นถามจากเจ้าของสวนดอกเหมย ทว่าไม่ได้ความอันใดจึงรีบส่งคนมาแจ้งบ่าวเพคะ นายหญิง พระองค์ว่า…”
เจียงซื่อครุ่นคิดพลางบอก “ไปดูที่ลู่เซิงเซียงก่อนก็แล้วกัน”
สาเหตุที่ป้าซิ่วหายตัวไปมีความเป็นไปได้หลายทาง
ระหว่างทางอาจถูกโจรผู้ร้ายปล้นชิงทรัพย์สิน และทำร้ายป้าซิ่วและเด็กหนุ่ม ส่วนอีกความเป็นไปได้หนึ่งคือสาเหตุอาจมาจากตัวนางเอง
จากที่นางคิด นางมองว่าความเป็นไปได้ที่สองมีโอกาสมากกว่า
นางเพิ่งจะกำจัดพระชายาฉีอ๋อง อีกทั้งยังทำให้ฉีอ๋องเสียหน้า เพราะเมื่อเอ่ยถึงฉีอ๋อง สิ่งที่แรกที่ผู้คนจะคิดถึงคือ จวนฉีอ๋องช่างอัตคัดเหลือเกิน… ในสถานการณ์เช่นนี้ ฉีอ๋องอาจจะวางแผนทำลายร้านลู่เซิงเซียงเพื่อเป็นการแก้แค้น
แต่การที่จะแก้แค้นนางโดยตรงก็มิใช่งานง่าย ฉะนั้นการจะลงมือกับร้านที่เปรียบเสมือนบ่อเงินบ่อทองของนางจะง่ายกว่า
เจียงซื่อขบคิดในระหว่างทางที่ไปร้านลู่เซิงเซียง
ประตูร้านปิดสนิทพร้อมแขวนป้ายทำการชั่วคราว
เจียงซื่อเดินเข้าทางประตูหลังและพบหลูฉูฉู่
ใบหน้าหลูฉูฉู่ย่ำแย่เกินบรรยาย “พระชายา ป้าซิ่วหายตัวไปเพคะ!”
“ข้าได้ยินจากอาเฉี่ยวมาแล้ว” เจียงซื่อพยักหน้ารับเล็กน้อยก่อนจะถาม “ฉูฉู่ เมื่อวานก่อนที่ป้าซิ่วจะออกไป นางมีท่าทางผิดปกติอันใดหรือไม่”
หลูฉูฉู่พยายามรื้อค้นความทรงจำ นางส่ายศีรษะ “นางทำเหมือนทุกครั้งเพคะ ป้าซิ่วใส่ใจร้านยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด หากนางได้ยินว่าที่ไหนมีบุปผาพันธุ์ดี นางก็จะไปตรวจสอบดูด้วยตนเอง และนี่ก็มิใช่ครั้งแรกเพคะ”
“แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นล่ะ”
“เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นคนไว้ใจได้เพคะ เขาอยู่ที่นี่มานานกว่าหม่อมฉันเสียอีก”
“แล้วสถานการณ์ที่บ้านของเขาเป็นอย่างไร”
หลูฉูฉู่ผงะไปเล็กน้อยก่อนจะตอบ “หม่อมฉันให้คนไปแจ้งครอบครัวเขาแล้วเพคะ ดูเหมือนว่าคนที่บ้านก็มิทราบเรื่องนี้ ทันทีที่ได้ยินว่าเขาหายตัว พวกเขาก็ร้อนใจเพคะ”
เจียงซื่อขจัดความสงสัยในตัวเด็กหนุ่มไปสิ้น
เพราะหากเด็กหนุ่มรับสินบน เขาคงแอบบอกคนในครอบครัวไว้ก่อน คนในบ้านไม่น่าจะอยู่ในอาการตื่นตระหนกเช่นนี้
แต่ก็แน่นอนว่า โลกนี้อาจมีคนบางคนที่ยอมละทิ้งครอบครัวเพียงเพื่อผลประโยชน์ฉาบฉวย แต่คนประเภทนั้นก็มีให้เห็นน้อยนัก ฉะนั้นความเป็นไปได้ในจุดนี้จึงมีไม่มาก
และยิ่งหากไม่ได้เป็นคนที่มีฐานะแล้ว สาเหตุที่สามัญชนจะใฝ่หาผลประโยชน์เหล่านี้ก็เผื่อความเป็นอยู่ที่ดีของคนในครอบครัว
“แล้วเจ้าของสวนดอกเหมยล่ะ”
แววตาของหลูฉูฉู่ขับประกายโหดเหี้ยม นางกล่าวสั้นๆ “พระชายาคอยที่นี่ก่อนนะเพคะ” นางแหวกม่านพุ่งพรวดออกไป ไม่นานเกินรอก็กลับมาพร้อมลากใครอีกคนมาด้วย
บุรุษวัยกลางคนรูปร่างท้วมเล็กน้อย ภายนอกแลดูเป็นคนมีอันจะกิน ท่าทางเกรี้ยวกราดของฉูฉู่ทำให้บุรุษผู้นั้นไม่กล้าขัดขืน
“เจ้าของร้านของพวกเรามาแล้ว จะดูซิว่าต่อหน้าพระพักตร์พระชายา เจ้าจะกล้าปิดบังอีกหรือไม่!” หลูฉูฉู่ดันตัวบุรุษวัยกลางคนให้ไปยืนอยู่ตรงหน้าเจียงซื่อ “พระชายา นายคนนี้คือเจ้าของสวนดอกเหมยเพคะ เขาเป็นคนเชิญป้าซิ่วไปชมดอกเหมยที่นั่นเพคะ”
เจียงซื่อพิศมองบุรุษตรงหน้า
เขารีบค้อมตัวทำความเคารพ “ผู้น้อยถวายบังคม…ถวายบังคมพระชายา…”
เจียงซื่อคร้านเกินกว่าจะตอบรับคำทักทาย นางเข้าประเด็น “เมื่อวานป้าซิ่วไปถึงที่สวนของเจ้าตอนยามใด”
“นางมาถึงช่วงยามเวยเจิ้ง[1] หลังจากผู้น้อยเพิ่งทานมื้อกลางวันเสร็จไม่นานพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วนางกลับไปตอนยามใด”
บุรุษวัยกลางคนตอบโดยปราศจากท่าทีลังเล “นางกลับไปช่วงยามเซินเจิ้ง[2] พ่ะย่ะค่ะ”
เจียงซื่อตริตรองในใจ
ป้าซิ่วมาถึงช่วงยามเวยเจิ้ง หากสิ่งที่เจ้าของสวนพูดเป็นความจริงก็หมายความว่าป้าซิ่วใช้เวลาอยู่ในสวนประมาณหนึ่งชั่วยาม เวลาเท่านั้นเพียงพอสำหรับตรวจสอบดูคุณภาพของบุปผา ระยะทางจากสวนดอกเหมยกลับมาที่ร้านน้ำหอมลู่เซิงเซียงใช้เวลาเดินทางหนึ่งชั่วยามเช่นกัน หากป้าซิ่วออกจากสวนช่วงยามเซินเจิ้งก็จะกลับมาถึงก่อนที่ประตูเมืองจะปิด คาดว่าป้าซิ่วน่าจะกะเวลาเดินทางตามที่กล่าวมา
เจียงซื่อพิศมองบุรุษวัยกลางคนด้วยใบหน้าที่ไม่ได้สื่ออารมณ์ใด ทำให้บุรุษผู้นั้นรู้สึกประหม่าจนผิวหน้าสั่นสะท้าน
นี่คือพระชายาตัวเป็นๆ หากทำให้นางกริ้วโกรธโกรธา นางจะทำลายสวนดอกเหมยของเขาหรือไม่
แต่เดี๋ยวนะ ทำลายสวนมิใช่เรื่องใหญ่ พระนางจะสั่งหวัดหัวของเขาหรือไม่!
เมื่อความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัว บุรุษหนุ่มวัยกลางคนก็แทบล้มทั้งยืน ขาทั้งสองข้างสั่นไม่หยุด
เจียงซื่อรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวข้องกับบุรุษวัยกลางคนผู้นี้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ควรละเลยความเป็นไปได้เล็กๆ นางถาม “ที่เจ้าบอกว่าป้าซิ่วออกจากสวนช่วงประมาณยามเซินเจิ้ง มีพยานบุคคลหรือไม่”
บุรุษผู้นั้นชะงักนิ่ง
พยานบุคคล? เหตุใดจู่ๆ ถึงได้รู้สึกเหมือนกับกำลังถูกสอบปากคำ ถึงขนาดที่ต้องมีพยานบุคคล พยานวัตถุยืนยัน
หลูฉูฉู่จ้องเขม็งไปที่เขา “พระชายาตรัสถามเจ้าอยู่ ยังไม่รีบตอบอีก!”
อาหมานจ้องพร้อมแผดเสียง “ใช่ ยืนกลอกตาบื้อใบ้อยู่นั่น นี่หัวของเจ้ากำลังขบคิดเรื่องที่ไม่เป็นแก่นสารอยู่หรือเปล่า”
บุรุษวัยกลางคนรีบคุกเข่า ใบหน้าเว้าวอนคร่ำครวญ “ผู้น้อยมิกล้าปิดบังพระชายา พยานบุคคล…จริงด้วย ผู้น้อยนึกออกแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนที่ผู้น้อยเดินออกมาส่งป้าซิ่วเป็นช่วงเดียวกันกับที่มีกลุ่มเด็กๆ มาแอบเด็ดกิ่งดอกเหมยที่สวน แม่ยายของกระหม่อมเห็นเข้าจึงรีบเอาไม้กวาดไล่ตีเด็กพวกนั้น แต่มีเด็กจ้ำม่ำคนหนึ่งสะดุดล้มอยู่ตรงหน้าป้าซิ่ว ป้าซิ่วช่วยพยุงเด็กน้อยคนนั้นขึ้นมา นางช่างเป็นคนดีจริงๆ…”
“หยุดพูดไร้สาระ!” หลูฉูฉู่เอ็ดก่อนจะหันไปมองเจียงซื่อ
เจียงซื่อครุ่นคิดเพียงครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเราลองไปถามเด็กพวกนั้นกัน”
ป้าซิ่วหายตัวไปกะทันหัน นางจึงจำเป็นต้องขจัดข้อสงสัยเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่ติดตามและเจ้าของสวนดอกเหมยให้ได้เสียก่อนถึงจะเริ่มหาคำตอบจากเรื่องอื่นๆ
“พระชายา พาคนติดตามไปมากหน่อยเถิดเพคะ” อาเฉี่ยวรู้สึกไม่สบายใจจึงเอ่ยเตือน
เจียงซื่อพยักหน้าและหันไปสั่งหลงต้านไปพาองครักษ์ตามได้ด้วย คนกลุ่มหนึ่งเดินทางมุ่งหน้าสู่สวนดอกเหมยที่ชานเมือง
ในขณะนั้นยังไม่เข้ายามอู่ ดอกล่าเหมยสีเหลืองอร่ามประหนึ่งทองคำกำลังบานเบ่งบานได้ที่ บุปผาสีทองขยับไหวไปตามลม
ดอกล่าเหมยจะออกดอกไวกว่าดอกเหมยชนิดอื่นๆ สองเดือน และดูเหมือนว่านี่จะเป็นช่วงเวลาที่บานสะพรั่งมากที่สุด
เจียงซื่อหยุดนิ่งพลางสูดลมหายใจแผ่วเบา อวลไอหอมฟุ้งพุ่งปะทะฆานประสาท
ดอกล่าเหมยเป็นหนึ่งในบุปผาที่นำมาสกัดเป็นเซียงลู่คุณภาพสูง จึงไม่แปลกหากป้าซิ่วจะเดินทางมาตรวจสอบด้วยตนเอง
“พระชายา พวกเด็กที่แอบมาเด็ดดอกเหมยมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลงต้านเดินเข้ามารายงาน
เจียงซื่อหันไปมองเด็กสี่ห้าคนที่อายุราวๆ เจ็ดแปดขวบที่มีผู้ใหญ่จูงมือเดินมา
ผู้ใหญ่เหล่านั้นมองเจียงซื่อด้วยสายตาประหม่าอย่างถึงที่สุด แต่ฝ่ายเด็กๆ กลับมีท่าทีสงสัยใคร่รู้
น้ำเสียงของเจียงซื่อพลันอ่อนลง “ได้ยินมาว่าเมื่อวานมีคนหกล้ม ไหนใครหกล้ม บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
เด็กเหล่านั้นหันไปมองเด็กชายร่างท้วมเป็นตาเดียว
เด็กน้อยหน้าแดงระเรื่อพลางกล่าวเสียงเล็กเสียงน้อย “ไม่เจ็บเลยสักนิด”
[1] ยามเวยเจิ้ง คือ ช่วงระหว่าง 14:00-15:00 น.
[2] ยามเซินเจิ้ง คือ ช่วงระหว่าง 15:00-17:00 น.