ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 659 ปู่หลานคู่หนึ่ง
หลงต้านเคยเห็นใบหน้าที่ตกใจจนไร้เลือดฝาด ใบหน้าที่โกรธจนซีดเผือด และแน่นอนว่าเขาก็เคยเห็นใบหน้าที่แข็งทื่อและขาวโพลนเฉกเช่นตรงหน้านี้มาก่อนเหมือนกัน
นี่เป็นใบหน้าของคนตาย
หลงต้านที่มีนิสัยป่าเถื่อนขนลุกขนชันขึ้นมาทันที เดินถอยหลังไปอย่างไม่รู้ตัว
สองคนนั้น ไม่สิ ศพทั้งสองร่างยังคงไม่ขยับเขยื้อน ราวกับทหารรักษาการณ์ที่พยายามปฏิบัติหน้าที่เฝ้าอยู่ข้างต้นไม้อย่างสุดกำลัง
หลังจากความรู้สึกตกใจผ่านไป หลงต้านก็เข้าไปใกล้ ได้กลิ่นของศพโชยอออกมา
หลงต้านสีหน้าเปลี่ยน
อากาศเช่นนี้ยังได้กลิ่นเหม็นของศพ อย่างน้อยสองคนนี้จะต้องตายมาแล้วสามวันกว่า
เหตุใดศพที่ตายมากว่าสามวันถึงได้ปรากฏขึ้นที่นี่
ดูเหมือนว่าเรื่องราวจะแปลกประหลาดขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
หลงต้านข่มความรู้สึกตื่นตระหนกไว้ในใจ อาศัยแสงสลัวจากสายฟ้าสังเกตสองศพนั้น
ทั้งสองร่างนี้เป็นบุรุษ แต่เนื่องจากมันมืดเกินไป จึงดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร ทว่าก็เห็นลางๆ ว่าคนแรกเป็นชายวัยกลางคน ส่วนอีกคนยังอายุน้อย น่าจะยังไม่บรรลุนิติภาวะ
ท้องฟ้ามืดมาก มีเพียงแสงสะท้อนเล็กน้อยจากหิมะบนพื้น
หลงต้านยื่นหน้าเข้าไปใกล้อย่างอดไม่ได้ เพราะอยากดูอย่างละเอียด
จู่ๆ ร่างของชายอายุน้อยก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
ทันใดนั้นจึงรู้สึกเย็นวาบจากปลายเท้าขึ้นมาถึงหัว หลงต้านหันหลังวิ่งออกไป วิ่งปรี่ไปถึงหน้าประตูวัดแล้วถึงได้หยุดลง
ใบหน้าของเขาขาวซีดขึ้นมาโดยพลัน
หลงต้านยืนนิ่งพยายามทำตัวให้สงบลง เขาหันกลับไปดูอย่างกล้าหาญ พลางเช็ดเหงื่อที่แตกพลั่กเต็มหน้าผากออกแล้วเดินเข้าวัดไป
ภายในวัดเงียบสงบ ดูเหมือนว่าคนอื่นจะหลับหมดแล้ว
หลงต้านเดินกลับไปด้านข้างเหล่าฉิน แล้วนอนลง
ท่ามกลางความมืดมิด เหล่าฉินลืมตาขึ้นมา แตะไปที่มือหลงต้านเบาๆ
หลงต้านชักมือถอยหลัง เบ้ปากออกมา
เหล่าฉินต้องเปลี่ยนนิสัยบ้าๆ นี้ซะ ภายนอกดูเป็นคนเย็นชาวาจาน้อย ทำไมถึงชอบจับมือผู้อื่นนัก
กลางค่ำกลางคืน มันทำให้คนอื่นตกใจได้ง่าย
พอนึกถึงตอนร่างของชายอายุน้อยที่จู่ๆ เดินเข้ามาใกล้เขา หลงต้านก็ยังคงขนลุกซู่อยู่
วันนี้ช่างแปลกเสียจริง!
เมื่อเห็นว่าเหล่าฉินยังมองเขาด้วยสายตารอคอย หลงต้านก็ส่ายหน้าเบาๆ หลับตาลง
เหล่าฉินรู้สึกสงสัยเล็กน้อย อีกฟากของกองไฟที่กำลังจะมอด เขาเหลือบมองปู่หลานสองคนนั้นนอนหลับ แล้วมองออกไปด้านนอกวัด
เขาถูกดึงแขนเสื้อไว้ หันไปเจอเข้ากับหลงต้านที่ลืมตาขึ้นมาใหม่
“นอนก่อน” หลงต้านพูดโดยไม่เปล่งเสียง
ทว่าในขณะเดียวกัน เจียงซื่อก็ยังไม่นอน
หลงต้านไม่มีทางวิ่งแจ้นออกไปโดยไม่มีเหตุผลแน่ เมื่อครู่อ้างว่าไปฉี่ เกรงว่าคงจะพบว่ามีอะไรบางอย่างแน่
ไม่ เหล่าฉินน่าจะเจอก่อน หลงต้านจึงตามออกไปเพื่อยืนยัน
หลังจากที่หลงต้านกลับมากลับไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ แสดงว่าเหตุการณ์มันจะต้องเกินที่คาดไว้แน่ น่าจะผิดปกติจนทำให้เขาไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ
ข้างนอกวัดมีอะไรกันแน่
เจียงซื่อมองออกไปที่หน้าประตูวัด
ภายในวัดมีแค่แสงสลัว จึงทำให้มองเห็นนอกวัดเป็นสีดำทมิฬ
เจียงซื่อเดาไม่ออก จึงเลิกคิดแล้วหลับไป
ยานอนหลับที่ใช้ไปจะทำให้คนเป่ยฉีสองคนนั้นไม่มีทางตื่นก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางได้แน่ ส่วนเรื่องอื่น ในเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ ก็นอนพักผ่อนเอาแรงดีกว่า
พอเจียงซื่อตื่นขึ้นมาอีกที ท้องฟ้าก็สว่างจ้าแล้ว เหล่าฉินกับผู้อาวุโสฮวากำลังเตรียมอาหารเช้า หลงต้านกลับนอนพิงกำแพงพร้อมกับกรนออกมาเบาๆ
“หิมะหยุดตกแล้วหรือ”
เหล่าฉินหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่ในมือ “หยุดแล้วขอรับ หลงต้านเฝ้ายามอยู่ทั้งคืน เพิ่งนอนหลับไปได้ไม่นานเอง”
“เช่นนั้นให้เขาหลับต่ออีกหน่อยเถอะ” เจียงซื่อพูดไปพลางมองกวาดไปยังที่ที่คู่ปู่หลานสองคนนั้นนอนพัก ที่ตรงนั้นไม่มีสองปู่หลานตั้งนานแล้ว
“ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่างสองปู่หลานคู่นั้นก็ออกเดินทางไปแล้ว ข้าไม่ได้ขวางไว้” เหล่าฉินพูด
เขาเป็นคนรับช่วงเฝ้ายามต่อ จึงรู้เวลาที่สองคนนั้นออกไปได้อย่างชัดเจน พอคิดไปคิดมา ก็เห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรั้งไว้
ไม่ว่าปู่หลานคู่นั้นจะแปลกประหลาดอย่างไร การพบกันโดยบังเอิญนั้นก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขามากเท่าไหร่
“เหล่าฉิน เมื่อวานจู่ๆ เจ้าก็ออกไป มีอะไรผิดปกติหรือ”
“ไม่ได้พบความผิดปกติอะไรจากปู่หลานคู่นั้น เพียงแต่รู้สึกว่าการที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นในเวลานั้น เพื่อความมั่นใจจึงอยากจะออกไปดู จากนั้นก็เห็นลางๆ ว่าที่ต้นไม้ข้างทางมีคนยืนอยู่สองคน ข้าแอบบอกหลงต้านแล้ว ต่อมาหลงต้านได้ออกไปดู หลังจากที่เขากลับมาก็ไม่พูดไม่จาอะไร แถมยังบอกเป็นนัยว่าให้ข้ารีบนอน…”
เจียงซื่อไม่ได้ปลุกหลงต้านที่นอนอยู่ หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จก็มานั่งลงข้างกองไฟ
ข้าวต้มเสร็จพอดี หลงต้านลืมตาตื่นขึ้นเพราะได้กลิ่นหอมโชยออกมา
เขารีบชำเลืองมองออกไปข้างนอก กระโดดผึงลุกขึ้น “ปู่หลานคู่นั้นไปแล้วหรือ”
“ไปแล้ว”
หลงต้านพุ่งตัวออกไปดู เห็นเพียงแต่ความว่างเปล่าใต้ต้นไม้ ส่วนอีกฝั่งมีรถม้าที่เหล่าฉินกวาดหิมะออกไปแล้วจอดอยู่ ม้าดำที่กลับสู่ความปกติพ่นลมหายใจออกมาเป็นไอสีขาว
เขาก้มลงหยิบหิมะขึ้นมาป้ายหน้า จากนั้นกลับเข้าไปในวัดที่ผุพัง
“หลงต้าน เมื่อคืนเจ้าเจออะไรเข้า” เหล่าฉินที่อยากรู้ตั้งแต่เมื่อคืนเอ่ยถามออกไป
หลงต้านสีหน้าแย่ลงเล็กน้อย ถุยน้ำลายลงพื้น “ซวยจริงๆ เลย เหล่าฉิน เมื่อคืนสองคนนั้นที่เจ้าเจอไม่ใช่คนเป็น มันคือศพสองร่าง!”
เหล่าฉินวางถ้วยข้าวต้มลง สีหน้าประหลาดใจ
เจียงซื่อก็ตกตะลึงไปตามกัน พร้อมกับมองไปที่หลงต้าน
“อย่างต่ำน่าจะตายได้สามวันกว่า ใบหน้าเขียวคล้ำ ดูเหมือนจะตายเพราะโชคไม่ดี และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือจู่ๆ ศพของเด็กชายนั้นเดินตรงมาที่ข้า โชคดีที่ข้ากล้าหาญ หากเป็นคนขี้ขลาดคงกลัวจนฉี่ราดไปแล้ว…”
หลงต้านพูดฉอดๆ ประสบการณ์ที่เขาพบเจอมาเมื่อคืนเพียงพอที่จะทำให้เขาคุยโวไปได้ทั้งชีวิตแล้ว
“ปู่หลานคู่นั้น น่าจะเป็นผู้เคลื่อนย้ายศพ” จู่ๆ ผู้อาวุโสฮวาที่เงียบมาโดยตลอดก็เอ่ยปากพูดขึ้น
ทั้งสามคนมองไปที่นาง
ผู้อาวุโสฮวายังคงสีหน้าเดิมไว้ พูดอธิบายเสียงเรียบ “มีชนเผ่าหนึ่งอยู่ติดกับเผ่าอูเหมียว ซึ่งมีคนจำนวนหนึ่งในเผ่าเชี่ยวชาญวิชาเคลื่อนย้ายศพ อีกทั้งยังหาเลี้ยงชีพโดยการใช้วิชาเคลื่อนย้ายร่างของศพที่ตายในที่ต่างถิ่นกลับหวนคืนสู่บ้านเกิดด้วย ทว่าการเคลื่อนย้ายร่างจะต้องทำในตอนกลางคืน เมื่อคืนน่าจะหิมะตกหนักมากจริงๆ จึงไม่อาจเดินทางได้ ถึงได้เข้ามาพักที่ในวัดอันผุพังแห่งนี้”
หลงต้านสงสัยยิ่งขึ้นอีก “ในเมื่อต้องเดินทางตอนกลางคืน เหตุใดปู่หลานคู่นั้นไม่รอให้ถึงตอนค่ำก่อนค่อยออกเดินทางล่ะ”
ผู้อาวุโสฮวารู้สึกจนปัญญา “พวกเขากังวลว่าเจ้าจะเจออะไรเข้า เช่นนั้นก็เลยถือโอกาสออกเดินทางตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง บางทีอาจจะไปหาที่พักที่อื่นแล้วรอจนฟ้ามืด อย่างไรก็ตามผู้เคลื่อนย้ายศพที่กำลังเดินทางเช่นนี้มันไม่ดีนักหากได้พบเจอกับคนเป็น…”
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสฮวาพูดเช่นนี้ หลงต้านก็ไม่ถามอะไรเพิ่มอีก ยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมากินเสียงซูดซาด
โวยวายอยู่ตั้งนาน เขานึกว่าผีหลอกซะอีก ตกใจเปล่าจริงๆ
เจียงซื่อวางถ้วยข้าวต้มลงช้าๆ ความคิดในหัวแล่นขึ้น
ที่ผู้อาวุโสฮวาบอกว่าชนเผ่าที่เชี่ยวชาญวิชาเคลื่อนย้ายศพน่าจะเป็นเผ่าไป๋เซียง ชาติภพที่แล้วนางเคยใช้ชีวิตอยู่ในเผ่าอูเหมียวช่วงหนึ่ง จึงเคยได้ยินมาบ้าง แต่ว่าไม่เคยคุยกับชนเผ่านั้นเลย
เผ่าอูเหมียวกับเผ่าไป๋เซียงทั้งสองเผ่าถือว่าอยู่ร่วมกันอย่างสันติ มีไปมาหาสู่กันบ้างเป็นบางครั้ง ต่างก็ไม่ล้ำอาณาเขตกัน
หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ ทั้งสี่คนก็ออกเดินทางจากวัดอันผุพังไปเงียบๆ ทิ้งคนเป่ยฉีสองคนนอนสลบไสลอยู่ที่นั่น
หลงต้านเดินอยู่หลังสุด เมื่อเดินผ่านต้นไม้ต้นนั้น ก็ไม่วายที่จะทิ้งสัญลักษณ์ไว้
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ชายเป่ยฉีที่ดูมีอายุฟื้นขึ้นมา มองไปรอบๆ ก็เห็นเพื่อนร่วมเดินทางนอนสลบอยู่ข้างๆ
“ตื่น ตื่น” ชายมีอายุตะโกนเรียกชายหนุ่ม
เรียกอยู่สักพัก ในที่สุดชายหนุ่มอายุน้อยก็ลืมตาขึ้นมา
“ในที่สุดเจ้าก็ตื่นแล้ว…”
ชายหนุ่มอายุน้อยชกกำปั้นออกไป พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว “ผีหลอก…”