ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 669 ความน่าเกรงขาม
เมื่อเห็นหนึ่งในผู้มีพระคุณช่วยชีวิต อวิ๋นชวนจึงรู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้ง
เนื่องจากนับแต่เขาได้เข้ามาประกอบอาชีพเป็นผู้เคลื่อนย้ายศพ ก็ไม่ค่อยได้รู้จักคนภายนอกเท่าไรนัก ยิ่งไม่คิดจะเป็นเพื่อนกับคนภายนอก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะลืมบุญคุณของผู้มีพระคุณ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้บอกชื่อของตนกับพี่ชายผู้นั้น หมายความว่าพวกเขาทั้งหลายมีความสำคัญต่อใจอย่างไม่ธรรมดา
พี่ชายผู้นั้นกล่าวว่าผู้ที่เอ่ยให้ช่วยคนแรกคือแม่นางอาฮวา
อวิ๋นชวนต้องการเข้าใกล้สตรีผู้กำลังเต้นรำในที่ไม่ไกลออกไปนัก แต่ก็เกรงจะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น จึงทำได้เพียงเต้นรำด้วยท่าทางแข็งทื่อ ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้
ในที่สุดก็เข้ามาอยู่ข้างหลังของสตรีนางนั้น ชายหนุ่มรวบรวมความกล้าตะโกนออกมาว่า “แม่นางอาฮวา”
อาฮวายังคงเต้นรำตามจังหวะทำนองโดยไม่หยุดฝีเท้าลง นางหันหลังกลับมามองชายหนุ่มแปลกหน้าแล้วเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าเรียกข้าหรือ”
ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงของเครื่องดนตรี ประกอบกับเสียงแตรที่ยังดังไม่หยุด อวิ๋นชวนรู้สึกว่าตนฟังไม่ชัด จึงก้าวเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง
การร่ายรำของอาฮวายังไม่หยุดลง แต่สีหน้าท่าทีของนางดูระมัดระวังขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”
อวิ๋นชวนรู้สึกงุนงง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ขนมเปี๊ยะที่เจ้าให้ข้า ข้ายังกินไม่หมด…”
สตรีสวมกระโปรงสีสันสดใสนางหนึ่งร่ายรำหมุนมาข้างกายอาฮวา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันไพเราะเสนาะหูว่า “อาฮวา เจ้ากำลังสนทนากับผู้ใด”
อาฮวายิ้มให้สตรีกระโปรงสีฉูดฉาดนางนั้น “ข้าไม่ได้สนทนากับผู้ใด สองสามวันมานี้มักเจอแต่คนแปลกๆ …”
อวิ๋นชวนมองไปทางสตรีทั้งสองที่ร่ายรำห่างออกไป ความเย็นชาแผ่ซ่านออกมาจากใจ
สตรีนางนี้ไม่ใช่อาฮวา!
นี่มันเกิดเรื่องใดขึ้นกัน
ชายหนุ่มรู้สึกงุนงงเหลือเกิน เขาสัมผัสได้ถึงความคลุมเครือตรงหน้า
ขณะนั้นเจียงซื่อได้เดินตรงมาอยู่บริเวณหัวหน้าผู้อาวุโส เหล่าผู้นำชั้นสูงของเผ่าอูเหมียวและเผ่าอื่นๆ ล้วนยุ่งอยู่ จึงไม่มีผู้ใดสนใจชายหนุ่มเพียงคนเดียว รวมทั้งผู้อาวุโสที่เคยพบกับเขาด้วย
บัดนี้ ทุกคนต่างรู้สึกสนใจคำถามที่หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวเอ่ยถามขึ้นมา
สายตาของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวจ้องมองไปทางเจียงซื่อ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ปิดประตูจำศีลฝึกตนอยู่ถึงสามปีกว่า ไม่ทราบว่าวิชาสกัดหนอนพิษกู่ฝึกได้บรรลุแล้วหรือไม่”
ประโยคนี้ทำให้ผู้อาวุโสฮวาถึงกับหน้าเปลี่ยนสี สีหน้าของหัวหน้าผู้อาวุโสแม้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่หัวใจของนางก็กระสับกระส่ายขึ้นทันใด
หลังจากที่อาซังตายจากไป เพื่อเป็นการปลอบใจคนในเผ่า จึงได้ให้เหตุผลว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จะปิดประตูบำเพ็ญตนเพื่อฝึกฝนวิชาสกัดหนอนพิษกู่
ในเผ่าอูเหมียว ผู้ที่มีความสามารถในการฝึกวิชาสกัดหนอนพิษกู่มีเพียงสตรีศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
นั่นหมายความว่า บัดนี้ ผู้ที่มีวิชาสกัดหนอนพิษกู่ คนหนึ่งคือหัวหน้าผู้อาวุโส อีกคนหนึ่งก็คืออาซัง
แต่ในความเป็นจริง อาซังยังไม่ทันได้บรรลุวิชาสกัดหนอนพิษกู่อย่างสมบูรณ์
เรื่องนี้ดึงดูความสนใจของผู้คนมากมาย
หัวหน้าผู้อาวุโสนึกถึงการจากไปของอาซัง หัวใจก็เยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
คนในชนเผ่าหรือแม้แต่ผู้อาวุโสเหล่านั้นล้วนไม่รู้ว่าอาซังไม่ได้ป่วยตาย แต่นางถูกหนอนพิษกู่ต่อต้านกลับเมื่อครั้นฝึกฝนวิชาสกัดหนอนพิษกู่
การที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ปิดประตูฝึกตนนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เนื่องจากอาซังรีบร้อนเกินเหตุ จึงไม่อาจควบคุมวิชาสกัดหนอนพิษกู่ได้ ท้ายที่สุดจึงถึงแก่ชีวิต
นี่คือความสูญเสียครั้งใหญ่ของเผ่าอูเหมียว ไม่สิ แท้จริงแล้วนับแต่สตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นหัวหน้าผู้อาวุโสเป็นต้นมา เรียกได้ว่าเป็นพิบัติมาตั้งนานแล้ว…
หัวหน้าผู้อาวุโสละความคิดของตนกลับมาแล้วมองไปทางหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว “สตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราจะเป็นเช่นไร จำเป็นต้องรายงานให้หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวรับรู้ด้วยหรือ”
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ชนเผ่าน้อยทั้งสิบกว่าชนเผ่ายกย่องชนเผ่าของท่านมากที่สุด สิ่งที่พวกเราเทิดทูนนั่นคือการคุ้มครองจากเผ่าอูเหมียว เพื่อให้สตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวมีพลังสูงสุด แต่ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาเมื่อสามปีกว่าก่อนหน้านี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์สามารถควบคุมวิชาสกัดหนอนพิษกู่ได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น นี่ช่างอับอายต่อคำขานว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์”
ชนเผ่าอื่นได้แต่พยักหน้าเห็นด้วย
ไม่มีชนเผ่าใดที่ยินยอมให้ชนเผ่าอื่นเข้ามาปกครองชนเผ่าของตนเองไปตลอดชีวิต การที่พวกเขายินยอม นั่นเป็นเพราะว่าเผ่าอูเหมียวมีกำลังอันแข็งแกร่งอยู่ในมือ และพลังอันแข็งแกร่งนี้ถูกถ่ายทอดออกมาจากสตรีศักดิ์สิทธิ์
นับตั้งแต่ตำแหน่งสตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนว่างลง พวกเขาทั้งหลายก็รู้สึกไม่พึงพอใจนัก ต่อมาเมื่อปรากฏเด็กหญิงคนหนึ่งที่มีความสามารถในการฝึกฝนวิชาสกัดหนอนพิษกู่ นั่นก็คืออาซัง พวกเขาจึงได้ละทิ้งความคิดนั้นไป
แต่พวกเขาไม่เคยลืมว่า สตรีศักดิ์สิทธิ์ของอูเหมียวหรืออาซังยังไม่สามารถฝึกฝนวิชาสกัดหนอนพิษกู่ได้เต็มร้อย หากจะเอ่ยอย่างแท้จริงแล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ควบคุมพลังได้เพียงแค่สามส่วน นับได้แค่ดีกว่าตัวเลือกคนอื่นๆ ที่จะขึ้นมาเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เท่านั้น
แน่นอนว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แต่ละรุ่นของเผ่าอูเหมียวไม่ได้สำเร็จวิชาสกัดหนอนพิษกู่ตั้งแต่แรกเริ่ม สตรีศักดิ์สิทธิ์มากมายสามารถควบคุมวิชานี้ได้ในตอนเริ่มฝึกฝนเพียงแค่สามส่วนไม่เกินห้าส่วนเท่านั้น และค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นตามระยะเวลาที่ฝึกฝน
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวมองไปทางเจียงซื่อแล้วยิ้มขึ้นกล่าวว่า “ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียวจะสำเร็จวิชาสกัดหนอนพิษกู่ตอนอายุสิบแปดปีได้อย่างสมบูรณ์ ข้าได้ยินมาว่าหัวหน้าผู้อาวุโสมีความสามารถอันโดดเด่นและบรรลุการฝึกฝนวิชาสกัดหนอนพิษกู่ได้เมื่ออายุเพียงสิบห้าปี บัดนี้ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์มีอายุใกล้จะสิบแปดปีแล้ว คาดว่าคงจะบรรลุวิชาแล้วกระมัง”
เผ่าเสวี่ยเหมียวแยกตัวออกไปจากเผ่าอูเหมียว ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจเรื่องนี้เป็นดี
แท้จริงแล้วหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวรู้สึกสงสัยในพรสวรรค์ของอาซังมาโดยตลอด หากว่าชนเผ่าย่อยทั้งสิบกว่าชนเผ่ารวมตัวกันเปิดโปงพรสวรรค์ของสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าอูเหมียวในรุ่นนี้ว่าไม่เพียงพอ นั่นหมายความว่าพลังอำนาจของเผ่าอูเหมียวจะลดน้อยลง เช่นนั้นเสวี่ยเหมียวก็มีโอกาส
เมื่อเผชิญหน้ากับความยั่วยุของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว หัวหน้าผู้อาวุโสก็โมโหเดือดดาล “วันนี้คือเทศกาลซินหั่ว ผู้คนในชนเผ่ามากมายเดินทางมาที่นี่เพื่อเฉลิมฉลองชื่นชมยินดี แต่หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว ท่านกลับไม่มีความเคารพยำเกรงสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าข้าแม้แต่น้อย ไม่ทราบว่าท่านมีจุดประสงค์ใด”
หัวหน้าเสวี่ยเหมียวหัวเราะขึ้นเบาๆ “หัวหน้าผู้อาวุโส การเคารพยำเกรงนั้นก็ต้องดูความสามารถอันแท้จริงด้วย ข้าไม่กล้าสงสัยต่อตัวสตรีศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่ข้ารู้สึกเป็นห่วงความก้าวหน้าในการฝึกฝนตนของสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็เท่านั้น การที่ท่านหัวหน้าผู้อาวุโสหลีกเลี่ยงหัวข้อนี้ไม่อยากกล่าวถึงมัน นั่นเพื่อสิ่งใดกันเล่า”
“หัวหน้าผู้อาวุโส ในเมื่อวันนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์ได้ออกจากการจำศีลฝึกตนแล้ว เหตุใดจึงไม่ให้พวกเขาได้เห็นฝีมือของสตรีศักดิ์สิทธิ์สักหน่อยเล่า พวกเขาจะได้ไม่ดูถูกเผ่าอูเหมียวของเรา!” ผู้อาวุโสหน้ายาวกล่าวขึ้นด้วยความโมโห
ผู้อาวุโสอูเหมียวสองสามคนพากันพยักหน้า
ก่อนหน้านี้สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่ยอมปรากฏกายต่อหน้าสาธารณชน จึงถูกผู้คนคาดเดาไปต่างๆ นานา บัดนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายขึ้นแล้วก็ยังคงถูกคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เผ่าอูเหมียวคงจะถูกผู้อื่นเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าอย่างแน่นอน
แม้แต่คนฝั่งตนยังก้าวไปยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามอย่างเงียบงัน ทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสรู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก นางรู้สึกว่าตนกำลังจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์นี้เอาไว้ได้
หากว่าอาซังยังอยู่ เพียงแค่นางปรากฏตัวแก่คนภายนอกบางครั้งคราก็คงไม่เท่าไร แต่ในวันนี้กลับเป็นวันที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายเป็นครั้งแรกหลังจากฝึกวิชา ไม่ว่าคนในชนเผ่าหรือนอกชนเผ่า แต่ละคนล้วนพากันจับจ้องเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนตั้งตารอ
การหลบเลี่ยงหลีกหนีนำมาซึ่งการคาดเดาต่างๆ ของผู้คน
ทันใดนั้นแขนเสื้อของหัวหน้าผู้อาวุโสก็ถูกกระตุกเล็กน้อย
ปรากฏมือเรียวยาวขาวผ่องของสตรีอันไร้ที่ติ
แต่สิ่งที่ทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสรู้สึกดึงดูดนั้นไม่ใช่มืออันขาวผ่อง แต่เป็นตัวอักษรสีแดงที่เขียนไว้ในมือว่า ‘สงบ เกรงขาม’
แววตาของหัวหน้าผู้อาวุโสเป็นประกายแวบเข้ามา นางเข้าใจความหมายของเจียงซื่ออย่างรวดเร็ว
นางให้คำสัญญาอย่างหนักแน่นเอาไว้ว่าหลังภารกิจสำเร็จแล้วจะปล่อยสองพี่น้องไป ดังนั้นบัดนี้เจียงซื่อจึงยินยอมที่จะแสดงความเกรงขามต่อผู้คนเหล่านี้
วินาทีนี้ความรู้สึกในใจของหัวหน้าผู้อาวุโสดูซับซ้อน
นางทำตัวไม่ถูก ไม่เข้าใจ และมีความรู้สึกถึงการรอคอยอย่างไม่อาจอธิบายได้
ส่วนกำลังรอคอยสิ่งใดนั้น นางเองก็ไม่รู้
ท้ายที่สุดแล้วหัวหน้าผู้อาวุโสก็พยักหน้าเบาๆ
จากสิ่งที่นางคิดเอาไว้ นางคงทำได้เพียงทำตามคำบีบคั้นของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว อย่าว่าแต่ตรงหน้านี้เป็นอาซังตัวปลอมเลย ต่อให้อาซังฟื้นคืนชีพขึ้นมา นางก็จำเป็นจะต้องเผชิญหน้ารับกับความจริงที่ยังไม่สามารถบรรลุวิชาสกัดหนอนพิษกู่ได้
นางอยากจะเห็นยิ่งนักว่าสตรีแห่งต้าโจวนางนี้จะทำเช่นไร
เมื่อเจียงซื่อเห็นว่าหัวหน้าผู้อาวุโสพยักหน้าตอบรับแล้ว ริมฝีปากของนางก็เผยอขึ้นเล็กน้อย
คำมั่นสัญญาของหัวหน้าผู้อาวุโส ทำให้นางวางใจกว่าคำของผู้อาวุโสฮวา
เจียงซื่อหันไปยิ้มให้กับหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว “ท่านหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวเป็นห่วงกังวลเรื่องการฝึกฝนวิชาของข้าเช่นนี้ เป็นเพราะคิดถึงหนอนตัวน้อยเหล่านั้นหรือ”
นางกล่าวจบก็ได้วางมือลงที่โต๊ะ จากนั้นดีดปลายเล็บเบาๆ
“รีบมองไปที่พื้นเร็ว” มีใครบางคนร้องขึ้น
หนอนประหลาดมากมายปีนป่ายขึ้นไปบนร่างกายของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว