ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 673 สนทนาในห้องลับ
ไม่ไปไหน?
วินาทีนี้หัวหน้าผู้อาวุโสคิดว่าหูของนางเพี้ยนไปแล้ว นางจึงหันไปมองผู้อาวุโสฮวา
ผู้อาวุโสฮวาพยักหน้าอย่างมั่นใจ
ฟังไม่ผิดไปหรอก แม้นางเองก็คิดว่านางหูฝาดเช่นกัน
ผู้อาวุโสฮวาสบตากับหัวหน้าผู้อาวุโส
หากไม่ไปก็ดียิ่งนัก เดิมทีพวกนางก็ไม่อยากให้นางจากไป
เมื่อพบกับแววตาอันเยือกเย็นของเจียงซื่อ หัวหน้าผู้อาวุโสก็ใจสั่นเล็กน้อย
อีกฝ่ายเสนอขึ้นว่าไม่ต้องการเดินทางจากไป แต่เหตุใดนางจึงกระสับกระส่ายเช่นนี้
หัวหน้าผู้อาวุโสตัดสินใจแน่วแน่ว่า “พี่ชายของท่านหายตัวไปในค่ายของเรา แน่นอนว่าพวกเราจะส่งกำลังคนออกตามหาอย่างถึงที่สุด เพียงแต่เรื่องนี้เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ประกอบกับเป็นเทศกาลซินหั่วมีผู้คนมากมายที่เข้าออกค่ายแห่งนี้ เกรงว่าระยะเวลาอันสั้นคงจะตามตัวได้ยาก…”
เจียงซื่อเผยอริมฝีปากขึ้น นางกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ข้าบอกแล้วว่าหากหาพี่ชายข้าไม่พบ ข้าก็จะอยู่ที่นี่ไม่ไปไหน”
ผู้อาวุโสฮวาอดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “หากพระชายาอ๋องประสงค์อยู่ที่นี่จริงๆ เผ่าอูเหมียวของเราก็ยินดียิ่งนัก”
หากสามารถรั้งนางให้อยู่ต่อได้โดยไม่ต้องผิดสัญญา แน่นอนว่าเป็นเรื่องดี
หัวหน้าผู้อาวุโสเหลือบมองไปทางผู้อาวุโสฮวา แววตานั้นไม่เห็นถึงความยินดี
ในโลกนี้จะมีสิ่งใดได้มาโดยไม่มีเงื่อนไข ผู้อาวุโสฮวาช่างไม่อาจระงับความรู้สึกตนเอาไว้ได้เลยเชียว
เป็นจริงดังนั้น เจียงซื่อยิ้มขึ้นว่า “ผู้อาวุโสฮวาอย่าเพิ่งรีบร้อนไป ข้ายังกล่าวไม่จบ”
นั่นไง
หัวหน้าผู้อาวุโสหันไปสบตากับผู้อาวุโสฮวา ทั้งสองพากันหันมามองเจียงซื่อ
“ในวันนี้เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้เข้าร่วมพิธีซินหั่วในฐานะของสตรีศักดิ์สิทธิ์ ข้าจึงได้รู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าท่าน ในสายตาของชนเผ่าอื่นๆ นั้นสำคัญและน่าเกรงขามเพียงไร ไม่รู้ว่าหากข้ารู้สึกชื่นชอบหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว แล้วจะเป็นเช่นไร”
“ไร้สาระ!” หัวหน้าผู้อาวุโสสบถออกมา
เผ่าอูเหมียวและเสวี่ยเหมียวเป็นปรปักษ์กันมาเนิ่นนาน ทั้งสองหากไม่ใช่ฝั่งซ้ายกดดันฝั่งขวา ก็เป็นฝั่งขวาที่มาเหยียบย่ำฝั่งซ้าย หากสตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวแสดงความรู้สึกรักใคร่ต่อหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว คาดว่าคงจะเกิดความโกลาหลของคนในเผ่า
เจียงซื่อไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง
นางไม่ใช่อาซังตัวจริงสักหน่อย นางจำเป็นต้องกลัวคำตวาดของหัวหน้าผู้อาวุโสด้วยหรือ
ท่าทางของเจียงซื่อทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสสงบสติลง จากนั้นกล่าวขึ้นช้าๆ “ข้าได้ยินผู้อาวุโสฮวากล่าวว่าเจ้าเป็นพระชายาอ๋องแห่งต้าโจว คำเช่นนี้เหตุใดจึงกล้ากล่าวออกมาได้”
ว่ากันว่าสตรีในต้าโจวล้วนหน้าบางไม่ใช่หรือ
เจียงซื่อกะพริบตาปริบๆ นางกล่าวอย่างไร้เดียงสาว่า “ข้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งเผ่าอูเหมียวไม่ใช่หรือ”
หัวหน้าผู้อาวุโสตกตะลึง
“ในเมื่อข้าคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นข้าจะชื่นชอบใครก็ย่อมได้ เกี่ยวข้องอันใดกับพระชายาอ๋องแห่งต้าโจว?”
ต่อให้ต้องขายหน้า ก็ขายหน้าคนเผ่าอูเหมียวต่างหากเล่า
“หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวอายุปาเข้าไปสี่สิบปีแล้ว บุตรธิดาของเขาล้วนอายุไม่น้อยกว่าพระชายาอ๋อง” ผู้อาวุโสฮวากล่าวขึ้นอย่างไร้ความอดทน
เจียงซื่อยิ้มขึ้น “ไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้าชื่นชอบ หากต่อไปข้าไม่ชอบแล้ว ค่อยเปลี่ยนคนใหม่ก็ย่อมได้”
หัวหน้าผู้อาวุโสหน้าดำคร่ำเครียดดุจก้นหม้อ “เจ้าทำเช่นนี้ เคยคำนึงถึงชื่อเสียงสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเราหรือไม่”
เจียงซื่อสบตากับหัวหน้าผู้อาวุโส นางหุบรอยยิ้มนั้นลงแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ดูเหมือนท่านจะลืมไปแล้วว่าข้าไม่ใช่สตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียว ชื่อเสียงเหล่านั้นเกี่ยวข้องอันใดกับข้าเล่า หากข้าอยู่ที่เผ่าอูเหมียวต่อไปล่ะก็ ยามข้าอารมณ์ไม่ดีข้าจะทำเช่นไรก็ได้ หัวหน้าผู้อาวุโสหากไม่พอใจจะตำหนิติเตียนสตรีศักดิ์สิทธิ์อาซังก็ย่อมได้เช่นกัน และหากข้าไม่พึงพอใจ ข้าเพียงแค่หนีกลับไปที่ต้าโจวก็เท่านั้น”
คำนี้ของเจียงซื่อทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสโมโหแต่ไม่อาจกล่าวสิ่งใดได้
แม่นางผู้นี้กล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก!
เจียงซื่อรินน้ำชาให้ตนเองแก้วหนึ่ง ดื่มเข้าไปสองอึกแล้วกล่าวว่า “ข้าพอจะมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าพวกเจ้านำพี่ชายข้าไปซ่อนก็เพื่อให้ข้าอยู่ต่อที่นี่ แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรอก หากว่าข้าไม่อยากทำ ต้องการไล่ข้าไปข้าก็ไม่ไป หัวหน้าผู้อาวุโสพวกท่านแน่ใจหรือว่าต้องการให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่อารมณ์ไม่ดีอยู่ในเผ่าอูเหมียวของท่านต่อไป”
สีหน้าของหัวหน้าผู้อาวุโสมืดมนลง ดูเหมือนการข่มขู่จะเป็นผล
เหตุใดเรื่องราวจึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ทั้งๆ ที่พวกนางพยายามอย่างยิ่งในการให้อีกฝ่ายอยู่ต่อที่นี่ แต่บัดนี้กลับเป็นอีกฝ่ายที่กุมพวกนางไว้ในกำมือ?
เจียงซื่อจับแก้วชาเล่นด้วยท่าทางสบายอารมณ์
เผ่าอูเหมียวขาดสตรีศักดิ์สิทธิ์ ส่วนนางรูปร่างหน้าตาเช่นเดียวกับอาซัง ด้วยเหตุนี้เอง เผ่าอูเหมียวคงไม่อาจใช้ชีวิตราบรื่นได้หากมีนางคอยก่อกวนปั่นป่วน
แทนที่จะป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายใช้วิธีการต่างๆ จัดการเป็นประจำ คงดีกว่าที่จะเป็นผู้กระทำเสียเอง และให้อีกฝ่ายรู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่เต็มใจเป็นนั้นย่ำแย่มากเพียงใด
หัวหน้าผู้อาวุโสเงียบไปเนิ่นนาน ทันใดนั้นนางก็ถอนหายใจออกมา “พี่ชายของเจ้าถูกคนของเจ้าพาตัวออกไปแล้วกระมัง”
คิ้วของเจียงซื่อเลิกขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปทางหัวหน้าผู้อาวุโส
หัวหน้าผู้อาวุโสยิ้มขึ้น “ถึงข้าไม่รู้ว่าเจ้าทำได้อย่างไร แต่ด้วยความห่วงใยของพระชายาอ๋องที่มีต่อพี่ชาย เหตุผลที่เจ้าสงบเงียบได้ในเวลานี้ แท้จริงนั้นง่ายมาก นั่นคือพี่ชายของเจ้าถูกพาตัวออกไปแล้วโดยคนของเจ้า เจ้าจึงแน่ใจว่าพี่ชายของเจ้าไม่ตกอยู่ในอันตราย”
เจียงซื่อไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ได้แต่ยิ้มขึ้น
หัวหน้าผู้อาวุโสเป็นผู้นำชนเผ่า แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดที่นางคิดไม่ถึง จึงไม่น่าแปลกใจที่นางคาดเดาได้
แต่เจียงซื่อไม่กลัวการคาดเดาของอีกฝ่าย สิ่งสำคัญคือต้องให้อีกฝ่ายรู้ว่านางไม่ใช่ตัวละครที่อีกฝ่ายจะบงการได้ตามใจนึก นางทำท่าทางจริงจังเพื่อสนทนาสร้างความร่วมมือ
ใช่แล้ว ครั้งนี้ที่นางเข้ามาในเผ่าอูเหมียว เจียงซื่อมีความตั้งใจจะทำความร่วมมือกับที่นี่
เมื่อชาติที่แล้วจวบจนปัจจุบัน มีบางสิ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เช่นนั้นก็ควรริเริ่มที่จะควบคุมมันด้วยตนเอง
ด้วยแรงสนับสนุนของอูเหมียว นางและอาจิ่นอาจจะมีฐานะมั่นคงมากขึ้นได้ในอนาคต
หัวหน้าผู้อาวุโสไม่ได้แก่เพียงแค่อายุเท่านั้น เมื่อนางเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเจียงซื่อก็เข้าใจสิ่งที่กล่าวถึงทันที
นางลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง สายตามองดูดอกไม้สีแดงและหญ้าสีเขียวนอกหน้าต่างครู่หนึ่ง จากนั้นหันกลับมาเดินไปที่ชั้นหนังสือ
มีโต๊ะสูงที่มีไม้แกะสลักคดเคี้ยวดุจงูอยู่เหนือโต๊ะนั้น
รูปงูแลบลิ้น ช่างเหมือนจริงยิ่งนัก
หัวหน้าผู้อาวุโสบิดไปที่หัวของงู เกิดเป็นเสียงดังแกร๊ก จากนั้นชั้นหนังสือก็ถูกเปิดออก เผยบันไดทางลับออกมา
“พวกเจ้าจงเข้ามาเถิด” ดูเหมือนหัวหน้าผู้อาวุโสจะตัดสินใจบางอย่าง นางกล่าวออกมาอย่างเงียบงัน
เจียงซื่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไปอย่างช้าๆ
อืม ดูเหมือนการที่ทำตัวหนังหนาหน้าด้านนั้นมีประโยชน์จริงๆ นางอาศัยอยู่ที่เผ่าอูเหมียวประมาณสามปีในชาติที่แล้ว แต่นางกลับไม่รู้ว่ามีห้องลับอยู่ที่นี่
ผู้อาวุโสฮวาลังเลเล็กน้อย
ด้วยตัวตนของนาง จากเหตุผลแล้วไม่ควรรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ให้มากไป
แต่เมื่อคิดไปคิดมา ก็พอจะเข้าใจได้
เป็นนางที่นำตัวพระชยาอ๋องมาจากราชวงศ์ต้าโจว ความลับบางอย่างเดิมทีแม้นางไม่ควรรู้ แต่เกรงว่าคงไม่อาจปิดบังได้
ผู้อาวุโสฮวาเดินตามเจียงซื่อเข้าไปด้านในห้องลับ
หัวหน้าผู้อาวุโสสัมผัสไปที่ศีรษะของงูอีกฝั่งในห้องลับ จากนั้นประตูก็ถูกปิดลง ภายในห้องลับมีเพียงแสงสลัว ทำให้มองไปใบหน้าดูมืดมนอย่างบอกไม่ถูก
เจียงซื่อรอให้หัวหน้าผู้อาวุโสกล่าวออกมาก่อน ท่าทีของนางค่อนข้างพอใจ
แต่ท่าทีของผู้อาวุโสฮวากลับต่างออกไป บัดนี้นางเริ่มเกิดความตระหนกกังวล
หากไม่ใช่เรื่องจริงจังเป็นที่สุด คาดว่าหัวหน้าผู้อาวุโสคงไม่จำเป็นต้องมากล่าวในห้องลับเช่นนี้
ด้วยบรรยากาศอันอึดอัด ในที่สุดหัวหน้าผู้อาวุโสก็ได้เอ่ยปากกล่าวว่า “ข้าได้ยินผู้อาวุโสฮวากล่าว ในครานั้นที่พบเจ้าครั้งแรก เจ้าก็รู้ว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเรานามว่าอาซัง?”
เจียงซื่อพยักหน้า
“พระชายาอ๋อง บอกได้หรือไม่ว่าท่านรู้เรื่องนี้มาจากที่ใด”
เจียงซื่อยิ้มขึ้น “ท่านอ๋องบอกข้า”
“พระชายาอ๋องท่านสามารถพูดภาษาอูเหมียวได้อย่างคล่องแคล่ว”
“ท่านอ๋องสอนข้า”
“แล้วเหตุใดพระชายาอ๋องจึงได้มีวิชาสกัดหนอนกู่ ที่แม้แต่อาซังสตรีศักดิ์สิทธิ์อูเหมียวของข้ายังไม่อาจบรรลุได้” แววตาของหัวหน้าผู้อาวุโสมองมาทางเจียงซื่ออย่างรุกร้อน
ในใจของเจียงซื่อตกตะลึงเล็กน้อย
หัวหน้าผู้อาวุโสยอมรับออกมาตามตรงว่าอาซังไม่สามารถบรรลุวิชาสกัดหนอนกู่ได้ออกมา แล้วต่อจากนั้นจะมีคำที่น่าตกใจกว่านี้อีกหรือไม่
หัวหน้าผู้อาวุโสไม่รอให้เจียงซื่อตอบกลับมา นางได้เอ่ยขึ้นอีกว่า “ข้าขอบอกตามจริงว่า อาซัง สตรีศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าอูเหมียวได้จากโลกนี้ไปแล้ว”