ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 683 ยุ่งเหยิงหนักกว่าเก่า
เจียงจั้นตะลึงพรึงเพริด “ศพงั้นหรือ”
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่เรื่องที่ศพทิ้งรอยเท้าเอาไว้ แต่เป็นน้ำเสียงราบเรียบของน้องสี่ยามที่เอ่ยถึงเรื่องศพต่างหาก
เจียงจั้นดึงสติกลับมาในเวลาอันรวดเร็ว เขาชี้นิ้วไปที่รอยเท้าพลางถามด้วยความสงสัย “ไม่ซิ ศพเดินไม่ได้แล้วจะทิ้งรอยเท้าไว้ได้อย่างไร”
เจียงซื่อชี้ไปที่รอยเท้าที่เจียงจั้นเป็นคนค้นเจอ “พี่รองไม่รู้สึกว่า รอยเท้านี้แตกต่างจากรอยเท้าทั่วไปบ้างหรือ”
เจียงจั้นค้อมตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยเพื่อพินิจพิศดูรอยนั้นอีกครั้ง “ขนาดก็เท่ากับรอยเท้าทั่วๆ ไป”
หลงต้านและเหล่าฉินหันมาสบตากัน
เจียงซื่อแถลงไข “แต่ละก้าวที่เดินไป เท้าซ้ายและเท้าขวาอยู่ในระนาบเดียวกัน”
เจียงจั้นฉงนหนัก “จริงด้วย แล้วนี่เดินยังไงเนี่ย”
“คงไม่ได้เดิน” หลงต้านเอ่ยแทรก
เจียงจั้นหันไปมองต้นเสียง
หลงต้านเหยียดแขนทั้งสองข้างออกมาตรงๆ และกระโดดไปข้างหน้าสองที
เจียงจั้นเบิกตากว้างพลางดึงมุมปาก “เจ้าทำอะไรของเจ้า เป็นผีดิบรึอย่างไร”
เจียงจั้นยกเท้าขึ้นถีบหลงต้าน
หลงต้านถูกเตะเข้าที่หัวเข่าในขณะที่ไม่ทันได้ตั้งตัว ร่างของเขาจึงทรุดลงกับพื้น
เจียงจั้นเอ่ยด้วยความเกรี้ยวกราด “ให้ตายเถอะ นี่เจ้าว่างนักหรือไงถึงได้แต่งเรื่องหลอกให้คนกลัว”
หลงต้านลูบบั้นท้ายพลางยันร่างของตัวเองขึ้นภายใต้ใบหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ “คุณชายรอง ในสถานการณ์จริงจังขนาดนี้ ข้าจะกล้าล้อเล่นได้อย่างไร!”
เจียงจั้นผงะก่อนจะหันไปหาเจียงซื่ออย่างช่วยไม่ได้
ในใจของคุณชายรองเจียง คนที่เชื่อใจได้มากที่สุดมีแต่น้องสาวของเขาเท่านั้น
เจียงซื่อพยักหน้าพลางเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “น่าจะเป็นเช่นนั้น”
“น้อง น้องสี่…”
เจียงซื่อมองทอดไปเบื้องหน้า
เจียงจั้นเลียริมฝีปากแห้งผาก “เจ้าหมายถึงศพกระโดดเองงั้นหรือ”
“จะบอกว่าศพกระโดดออกไปเองคงไม่ถูกนัก คงจะมีคนไล่เสียมากกว่า” เจียงซื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้วจึงหัวเราะคิกคัก “อาจจะเป็นเด็กหนุ่มที่พาพี่รองหนีออกมาก็เป็นได้”
ในสมองขาวโพลนของเจียงจั้นมีใบหน้าอ่อนเยาว์น่าเกลียดน่ากลัวปรากฏขึ้น
การจะบอกว่าใบหน้านั้นน่าเกลียดน่ากลัวคงจะสุภาพเกินไป เพราะในความคิดของเจียงจั้น เขามองว่าคนๆ นั้นอัปลักษณ์เสียมากกว่า…
“ในเมื่อกล้าตามมาถึงโรงเตี๊ยมก็หัวรั้นอยู่พอตัว” เจียงจั้นนึกถึงเด็กหนุ่มพิลึกผู้นั้นพลางส่ายศีรษะ
หลงต้านหันไปถามอวี้จิ่น “เจ้านาย ทำอย่างไรกันดีขอรับ”
อวี้จิ่นไตร่ตรองก่อนจะเอ่ย “เด็กหนุ่มผู้นั้นคงไม่ได้มีเจตนาร้าย ลองตามรอยเท้านี้ไปก่อน ดูว่ามุ่งหน้าไปที่ใด”
ทั้งคณะใช้ตะเกียงส่องรอยเท้าเดินตามไป แต่เมื่อถึงบริเวณที่เป็นพื้นหิน รอยเท้านั้นก็ขาดหายไปเสียดื้อๆ
อวี้จิ่นยืดตัวขึ้น เขานิ่งเงียบเพียงชั่วครู่ก่อนจะเอ่ย “กลับไปที่โรงเตี๊ยมก่อนก็แล้วกัน”
“แต่เจ้านาย หากยังหาร่างศพไม่พบ แล้วเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาในภายหลังจะทำเช่นไรขอรับ”
อวี้จิ่นเชิดคาง “ฟ้าใกล้จะสว่างอยู่แล้ว พวกเรารีบกลับไปเก็บสัมภาระที่โรงเตี๊ยมและออกเดินทางขึ้นเหนือ ต่อให้มีเรื่องยุ่งยากเกิดขึ้นก็คงตามพวกเราไม่ทัน”
ในเมื่อร่างศพหายไปอย่างไร้ร่องรอย การจะตามหาก็รังแต่จะทำให้เสียเวลา สู้รีบเผ่นก่อนจะดีกว่า
เจียงจั้นลูบจมูกพลางคิดในใจว่า ท่านอ๋องทำอะไรตามอำเภอใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก แต่เหตุไฉนเขาถึงถูกท่านพ่อฟาดเอาๆ ทั้งที่ท่านอ๋องไม่เคยโดนอะไรเลย
และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่อวี้จิ่นคาด ในเวลานี้เผ่าเสวี่ยเหมียวกำลังตกอยู่ในความโกลาหล เปลวเพลิงลุกลามเป็นวงกว้างเกินควบคุม
เมื่อหัวหน้าเผ่าเสียชีวิตลง พื้นฟ้าก็เหมือนจะถล่มลงมา เสียงร้องไห้คร่ำครวญดังระงมไปทั่วสารทิศ
ในวินาทีที่สรรพสิ่งกำลังสับสนวุ่นวาย ร่างของใครบางคนค่อยๆ ก้าวเข้าไปในกองเพลิง
ขณะที่ไฟกำลังไหม้ท่วมเรือน ผู้คนที่มายืนออกันอยู่ที่หน้าเรือนบ้างก็ร้องไห้ บ้างก็ร้องให้คนมาช่วยดับไฟ ไม่มีผู้ใดทันสังเกตเงาคนในกองเพลิงด้านหลังเรือน
“ช่วยกันดับไฟเร็วเข้า หากยังชักช้า ได้วอดกันทั้งหลังพอดี!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งในเผ่าเสวี่ยเหมียวร้องตะโกน
เสียงร้องไห้เงียบลงทันใด จำนวนคนที่มาช่วยดับไฟเพิ่มขึ้นถนัดตาจึงทำให้ทุกอย่างชุลมุนมากกว่าเก่า
ภายใต้ความโกลาหลนั้น เด็กหนุ่มร่างบางจึงแอบหนีออกไปได้โดยไม่มีผู้ใดทันสังเกต
ในที่สุดเปลวเพลิงก็ดับหมอด มีคนบางส่วนเริ่มเก็บกวาด ในขณะที่คนบางส่วนยังคงยืนร้องไห้ฟูมฟายอยู่ที่ข้างร่างศพของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว
ผู้อาวุโสผู้นั้นตรวจสอบตามเนื้อตัวของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวด้วยใบหน้าทุกข์ระทม “บนร่างของหัวหน้าเผ่าไม่มีร่องรอยของการถูกทำร้าย”
เมื่อไม่มีแผลจากการถูกทำร้าย ข้อสันนิษฐานว่าเสียชีวิตจากอุบัติเหตุก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
“ที่คอก็ไม่มีอย่างนั้นหรือ” เสียงหนึ่งถามขึ้น
ผู้อาวุโสส่ายหน้า “หัวหน้าเผ่าเสียชีวิตในกองเพลิง ต่อให้มีรอยแผลก็ยากที่จะตรวจสอบ นอกเสียจากว่า…”
“นอกเสียจากว่าอะไร”
ผู้อาวุโสลังเลชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “นอกจากว่าจะใช้มีดปลายแหลมกรีดผิวเนื้อที่รอบคอ เพื่อดูว่ากระดูกที่รอบคอมีบาดแผลหรือไม่…”
ทันทีประโยคนี้ลั่นออกไป ทั้งหมดก็ส่งเสียเอ็ดอึง
ไม่ว่าจะแผ่นดินต้าโจวหรือตามชนเผ่าเล็กๆ เหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ให้เกียรติแก่ผู้วายชนม์ทั้งสิ้น ฉะนั้นการกระทำใดที่ส่งผลให้ร่างของผู้เสียชีวิตเกิดความเสียหายจึงถือเป็นเรื่องต้องห้าม
แต่สุดท้ายแล้ว บุตรชายของหัวหน้าเผ่าก็กลั้นใจเอ่ยว่า “เชิญผู้อาวุโสตรวจสอบดูเถิด ข้าไม่อยากให้บิดาของข้าต้องเสียชีวิตอย่างไม่ทราบต้นสายปลายเหตุเช่นนี้”
เมื่อบุตรชายของหัวหน้าเผ่ากล่าวเช่นนั้น ผู้อาวุโสก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีกแล้ว เขาลงมือตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน และจบลงด้วยการส่ายศีรษะ
“เป็นไปไม่ได้!” บุตรชายของหัวหน้าเผ่าเอ่ยอย่างเดือดดาล “ต่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้หลังจากที่ท่านพ่อหลับไป หนอนพิษกู่ที่ท่านพ่อเลี้ยงไว้จะต้องปลุกท่านพ่ออย่างแน่นอน ท่านพ่อไม่มีทางนอนหลับไม่รู้ตัวเช่นนี้”
คนในเผ่ากล่าวเสริม “จริงด้วย หัวหน้าเผ่าจะเสียชีวิตง่ายๆ ได้อย่างไร…”
ความจริงที่ว่าหัวหน้าเผ่าผู้สูงส่งจะเสียชีวิตง่ายๆ เช่นนี้หนักหนาเกินใครจะรับไหว
“เหตุใดวันนี้ท่านพ่อถึงมาอยู่ในห้องตำรา” บุตรชายของหัวหน้าเผ่าเอ่ยถาม
หัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ มีภรรยาและอนุภรรยามากมายเป็นโขยง ในคืนค่ำเดือนสิบสองอันหนาวเหน็บ เขาเลือกที่จะไม่นอนตระกองกอดซึมซาบไออุ่นกลิ่นหอมรัญจวนของหญิงสาว แต่กลับมาขลุกตัวอยู่ในห้องตำราแปลว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสผู้นั้นขมวดคิ้วไม่พูดไม่จา ในขณะที่ผู้อาวุโสอีกคนหรี่ตามองคล้ายกับกำลังใคร่ครวญบางอย่าง
ทันใดนั้น เสียงร้องตกใจของใครบางคนก็ดังขึ้น “ยังมีอีกศพ!”
คนกลุ่มหนึ่งช่วยกันหามร่างศพนั้นเข้ามา
ร่างศพถูกไฟคลอกแต่ยังไม่ดำมะเมื่อมเท่าหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว ผู้คนจึงทราบในทันทีว่าร่างนั้นคือผู้ใด
“เหตุไฉนถึงเป็นอาซาน”
อาซานเป็นคนสนิทของหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียว ฉะนั้นเขาแทบจะไม่ห่างจากหัวหน้าเผ่าเลย
ผู้อาวุโสที่เอ่ยก่อนหน้านี้ตรวจสอบร่างศพนั้น แล้วสีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ลงอย่างถนัดตา “อาซานคอหัก…”
สายตาหลายคู่มองสลับไปมาระหว่างหัวหน้าเผ่าเสวี่ยเหมียวและอาซาน
“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” บุตรชายหัวหน้าเผ่าเอ่ยถามด้วยความสับสน
ผู้อาวุโสกวาดตามองไปรอบทิศพลางเอ่ย “เข้าไปคุยข้างในเถอะ”
คนราวๆ เจ็ดถึงแปดคนเดินเข้าไปด้านในซึ่งรวมบุตรชายของหัวหน้าเผ่าด้วย
คนเหล่านั้นถือเป็นชนชั้นปกครองของเผ่าเสวี่ยเหมียว
ภายในห้องสว่างไสวประหนึ่งเวลากลางวัน ผู้อาวุโสที่เอ่ยก่อนหน้านี้มองไปที่ผู้อาวุโสอีกคน “ผู้อาวุโสหรง เจ้ารู้อะไรใช่หรือไม่”
ผู้อาวุโสหรงขยับมุมปากเล็กน้อย
“มาจนถึงบัดนี้แล้ว หากเจ้ายังอมพะนำ เจ้าจะทนดูหัวหน้าเผ่าตายอย่างปริศนาอย่างนี้หรือ”
ผู้อาวุโสหรงต่อสู้กับตัวเองอย่างหนักก่อนจะเอ่ย “เมื่อวานหัวหน้าเผ่าได้รับข่าว จึงวางแผนว่าจะกำจัดองค์ชายเจ็ดของแผ่นดินต้าโจวที่มาเป็นแขกที่อูเหมียวในขณะนี้ เมื่อวานหัวหน้าเผ่าจึงส่งอาซานออกไปปฏิบัติภารกิจ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าจู่ๆ หัวหน้าเผ่าและอาซานจะมาเสียชีวิตในกองเพลิง…”
“องค์ชายเจ็ดของแผ่นดินโจวอย่างนั้นหรือ หรือว่าท่านพ่อของข้าถูกเขาทำร้ายอย่างนั้นหรือ”
มีอีกคนสงสัย “เหตุใดหัวหน้าเผ่าถึงต้องสังหารองค์ชายเจ็ดของแผ่นดินโจวด้วยเล่า”
“แต่เดี๋ยวนะ ต่อให้เป็นฝีมือขององค์ชายเจ็ดของแผ่นดินโจว แล้วเขาเข้ามาในค่ายของพวกเราได้อย่างไร ที่ประตูค่ายมีม่านไผ่ล้อมอยู่ หากคนนอกผ่านเข้ามาจะต้องสลบไสลอย่างแน่นอน…”
หลังจากสนทนากันอยู่พักใหญ่ เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้น “องค์ชายเจ็ดคงมิได้ไปเยือนอูเหมียวในฐานะแขก แต่อูเหมียวได้มอบยาป้องกันตัวให้แก่เขา?”