ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 699 ตัดบัวไม่ให้เหลือใย
เมื่อเห็นใบหน้ารูปงามปานสลักกำลังยิ้มร่า เสียนเฟยหลงคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป “เจ้าว่าอะไรนะ”
น้ำเสียงของอวี้จิ่นอ่อนโยนกว่าเก่า แต่ทว่าสายตากลับเย็นชาแข็งขืน ชายหนุ่มเอ่ยเน้นทีละคำ “กระหม่อมพูดว่า เหนียงเหนียงทรงคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว ถึงได้หลงคิดว่ายังมีเยื่อใยระหว่างบุตรและมารดาหลงเหลืออยู่มิใช่หรือ”
“เจ้า ไหนเจ้าพูดใหม่ซิ!” เสียนเฟยปราดนิ้วไปที่อวี้จิ่นราวกับว่าได้ยินเรื่องที่ไม่คาดคิดที่สุด
ไม่น่าแปลกใจที่เสียนเฟยตะลึงงันกับสิ่งที่ได้ยิน
การที่บอกว่าความสัมพันธ์มารดาและบุตรของทั้งคู่ช่างบอบบางเป็นเรื่องที่รู้กันอยู่แก่ใจ แต่นางไม่คิดว่าอวี้จิ่นจะกล้าพูดออกมา
บนแผ่นดินต้าโจวยึดหลักความกตัญญูเป็นสารัตถะในการปกครอง ต่อให้นางทำผิดมาร้อยครั้งหรือพันครั้ง แต่สุดท้ายแล้วคำว่ามารดาผู้ให้กำเนิดก็ยังอยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง หนำซ้ำนางเองก็ไม่เคยทำผิดจนมีตราบาปติดตัว เพราะเดิมทีการสั่งให้เจ้าเจ็ดออกจากวังหลวงตั้งแต่ยังไม่รู้ความก็มิใช่จุดประสงค์ของนางแต่แรก
เจ้าเจ็ดเป็นองค์ชายที่ถูกสั่งให้ออกจากวังหลวงเพราะเป็นเภทภัยต่อฮ่องเต้ หากนางแอบติดต่อกับบุตรชายลับหลังก็ถือเป็นการทรยศฝ่าบาท ฉะนั้นหากเจ้าเจ็ดจะนำเรื่องนี้มาอ้างก็คงไม่มีผู้ใดเข้าข้างเขา
ในมุมของเสียนเฟย หากอวี้จิ่นมิใช่คนบ้าก็เป็นคนโง่ถึงได้กล้าเอ่ยวาจาร้ายกาจเช่นนี้
เสียงหัวเราะกรุ้มกริ่มสดใสประหนึ่งเสียงของน้ำพุดังขึ้น
“จะให้กระหม่อมพูดอีกกี่รอบ กระหม่อมก็จะพูดเช่นเดิมว่า เสียนเฟยเหนียงเหนียงและกระหม่อมมิได้มีสายสัมพันธ์ฉันมารดาและบุตรหลงเหลืออีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ หากจะให้พูด เมื่อก่อนกระหม่อมเคยคิดว่า อย่างน้อยๆ ในร่างกายของกระหม่อมครึ่งหนึ่งก็มาจากพระองค์ แต่ตั้งแต่ที่พระองค์ลงมือกับคนของกระหม่อม กระหม่อมก็ไม่เหลือความคิดเช่นนั้นอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้างามของเสียนเฟยซีดเผือด “ลงมืออะไร เจ้าอย่ามาพูดจาไร้สาระ!”
มุมปากของอวี้จิ่นยังคงยิ้มเสียดเย้ย “กระหม่อมยังไม่ทันพูดอะไร เหนียงเหนียงจะทรงร้อนตัวไปไยพ่ะย่ะค่ะ”
ในใจของเสียนเฟยท่วมท้นเกินจะกล่าว
ที่เจ้าเจ็ดพูดมาหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเขารู้เรื่องที่นางวางแผนให้สะใภ้เจียงไปถวายธูปที่วัดไป๋อวิ๋น
ทันใดนั้น เสียนเฟยก็แสดงออกชัดว่ากำลังตื่นตระหนก ความเย็นเยือกแผ่ซ่านจากก้นบึ้งหัวใจ สะใภ้เจียงรู้เรื่องนี้งั้นหรือ
หากจะบอกว่าสะใภ้เจียงทราบเรื่องนี้ และรอเจ้าเจ็ดกลับมาก่อนแล้วฟ้องเขาก็คงไม่แปลก
นางนึกถึงเจียงซื่อที่รู้เรื่องแต่ไม่ได้ตีโพยตีพายแล้วรู้สึกตงิดขึ้นมาในใจ นางคิดว่านางคงต้องทำความรู้จักอีกฝ่ายเสียใหม่
นางคงสะเพร่าเกินไป เจียงซื่อและหลี่ซื่อไปถวายธูปที่วัดด้วยกัน คนที่วางแผนทำร้ายอีกคนเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่คนที่เป็นเหยื่อกลับสบายดี แล้วเหตุใดนางถึงประเมินเจียงซื่อต่ำเช่นนั้น
เจียงซื่อหญิงชั่วต้องกำลังสงสัยนางอยู่เป็นแน่
“เจ้าเจ็ด นี่คือวิธีที่เจ้าปฏิบัติกับข้าที่เป็นมารดาอย่างนั้นหรือ แค่เพียงลมปากของสตรีไม่กี่คำ เจ้าก็ลืมมารดาบังเกิดเกล้าของเจ้าไปสิ้นเลยรึ”
อวี้จิ่นขำพรืด “เหนียงเหนียงก็ชราจนใกล้จะลงโลงอยู่แล้ว กล้าทำยังไม่กล้ารับอีก หรือคิดว่าอายุขนาดนี้แล้ว เลยไม่มีอะไรให้ต้องอายหรือพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของเสียนเฟยเขียวคล้ำขึ้นทันใด นางชี้นิ้วไปที่อวี้จิ่นพร้อมแผดเสียง “เนรคุณ…”
อวี้จิ่นเอี่ยวตัวหลบนิ้วของเสียนเฟย “เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกโดนคนรังแกแล้วจะอยู่เฉยงั้นหรือ หรือคิดว่าเป็นคนให้กำเนิดแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ข้าเองก็ไม่ถนัดเรื่องเสแสร้งแกล้งทำ ฉะนั้นแล้วขอประกาศชัดตรงนี้เลยแล้วกันว่า ต่อไปนี้อย่าได้ทำตัวเป็นพญาอินทรีต่อหน้าข้าอีก เพราะใครก็ตามที่ถือวิสาสะต่อหน้าข้า ข้าจะจับถอนขนให้หมด”
ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้ อวี้จิ่นก็ลุกขึ้นยืนและมองลงมาที่เสียนเฟยที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวพลางเอ่ยแผ่วเบา “และถึงจะเป็นเจ้า ข้าก็ไม่เว้น”
ในช่วงก่อนที่เขาจะอายุสิบสองปี อวี้จิ่นเติบโตมากลางป่ากลางเขา แม้จะมีคนคอยอบรมสั่งสอน แต่เมื่อเป็นโอรสของฮ่องเต้ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ การที่ผู้ใหญ่จะตีตัวออกหากเพื่อให้เด็กรู้สึกแปลกแยกมิใช่เรื่องยาก อีกทั้งยังไม่มีผู้ใดกล่าวโทษได้ หลังจากเลยอายุสิบสองปีมาแล้ว อวี้จิ่นได้ผ่านการฝึกฝนในสนามรบ ในช่วงเวลาหลายปีนั้นทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นและเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเองให้รอดปลอดภัย
ประสบการณ์ในวัยเด็กและในช่วงวัยรุ่นตอนต้นบ่มเพาะให้เขามีบุคลิกลักษณะบางอย่างที่อาจไม่สอดคล้องกับโลก หากมีใครผ่านมาได้ยินสิ่งที่เขากล่าวแก่เสียนเฟย อาจรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ยุติธรรมต่อเสียนเฟย แต่สำหรับอวี้จิ่น นี่เป็นการแสดงความจริงใจอย่างถึงที่สุดแล้ว
เมื่อกล่าวจบ อวี้จิ่นรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก ชายหนุ่มยิ้มตาหยี ประสานมือคารวะเสียนเฟยพร้อมเอ่ยฉะฉาน “ในเมื่อเหนียงเหนียงรู้สึกไม่ค่อยสบายก็ควรถนอมพระวรกายไว้หน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ คนอื่นจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อเห็นว่าอวี้จิ่นที่กำลังยิ้มเยาะเตรียมหมุนตัวเดินกลับออกไป ความเดือดพล่านจากทุกส่วนในร่างกายเสียนเฟยก็ปะทุขึ้นทันที เสียงแหลมสูงดังลั่น “ลูกเนรคุณ หยุดเดี๋ยวนี้…”
ยังไม่ทันจบประโยค ร่างของหญิงสาวก็เซและล้มลงกับพื้น
เสียงนั้นทำให้บ่าวรับใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอกพรวดพราดเข้ามา แต่คนที่ตอบสนองเร็วกว่านั้นคืออวี้จิ่น
ในขณะที่หมัวมัวคนสนิทกำลังรี่เข้ามาเป็นจังหวะเดียวกันกับที่อวี้จิ่นเอื้อมมือข้างหนึ่งไปพยุงเสียนเฟย ส่วนมืออีกข้างก็ตบเบาๆ เข้าที่หลังของนาง ชายหนุ่มกล่าวร้องด้วยความตื่นตระหนก “เหนียงเหนียง เป็นอะไรไปพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า เจ้า…” เสียนเฟยไม่คิดว่าอวี้จิ่นจะเปลี่ยนได้เร็วถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังดูเป็นธรรมชาติเสียด้วย ร่างกายของนางสั่นสะท้านจนพูดไม่ออกเลยสักคำเดียว
หมัวมัวคนสนิทมารับช่วงต่อ “ท่านอ๋อง ให้บ่าวดูแลต่อเถิดเพคะ”
เมื่ออวี้จิ่นเห็นว่าเสียนเฟยโกรธเกรี้ยวจนกลายสภาพเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่มีท่าทีรีบร้อนอีกแล้ว ชายหนุ่มยืนนิ่งๆ พร้อมแสดงท่าทีเป็นห่วงเป็นใย “กระหม่อมทราบว่าเหนียงเหนียงกริ้วกระหม่อม เพียงแต่ว่าความรู้สึกเช่นนั้นอาจทำให้พระวรกายของพระองค์ทรุดหนัก พระองค์ว่ากระหม่อมพูดถูกไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เสียนเฟยกลอกตาใส่บุตรชายด้วยความโกรธจัด เพราะนอกจากอวี้จิ่นจะไม่ยอมกลับแล้ว เขายังอยู่ยั่วโมโหนางต่อ
หมัวมัวคนสนิทของเสียนเฟยร้อนใจจึงแผดเสียงสั่งนางใน “ยืนบื้ออยู่ทำไม รีบไปตามหมอหลวงเร็วเข้า!”
เสียงของหมัวมัวคนสนิททำให้เสียนเฟยได้สติ นางรีบเอ่ยแทรก “เชิญ…เชิญฝ่าบาทมา…”
“เหนียงเหนียง…” หมัวมัวลังเล นางอยากให้เสียนเฟยเปลี่ยนใจ
เมื่อเช้าก็เพิ่งเชิญฮ่องเต้มาที่นี่ หากไปเชิญมาอีกตอนนี้ จะไม่ถี่ไปหรือ
“ไปซิ!” ร่างของเสียนเฟยสั่นเทา ใบหน้าของนางย่ำแย่เกินจะกล่าว ประหนึ่งว่าพร้อมจะหมดลมหายใจได้ทุกเมื่อ
หมัวมัวคนสนิทไม่กล้ารั้งรอ นางรีบสั่งให้คนไปกราบทูลจิ่งหมิงฮ่องเต้
เสียนเฟยรู้สึกรุ่มร้อนดั่งมีเพลิงกัลป์สุมอยู่ในทรวง แต่นางไม่อาจขยับตัว จึงทำได้เพียงส่งสายตาแค้นอาฆาตไปที่อวี้จิ่น
ไอ้ลูกทรพี รอฝ่าบาทเสด็จมาก่อนเถอะ นางจะฟ้องว่าเขาเป็นคนอกตัญญู!
ใบหน้าของอวี้จิ่นยังคงแสดงออกชัดว่าเป็นกังวล แต่แววตากลับนิ่งสงบประหนึ่งธารน้ำไหล
จะฟ้องเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ หึๆ เขากำลังรออยู่เลย
ขณะที่คนของตำหนักอวี้เฉวียนมาถึงมายังตำหนักหย่างซิน หันหราน ผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์จิ่นหลินเพิ่งจะเข้าไปได้ไม่นาน และขณะนี้กำลังสนทนาธุระอยู่กับฮ่องเต้
เสียงเคาะประตูขัดจังหวะการสนทนาของทั้งคู่
“มีเรื่องอะไร” จิ่งหมิงฮ่องเต้มองไปที่พานไห่อย่างไม่สบอารมณ์
พานไห่นับถือความกล้าหาญของคนจากตำหนักอวี้เฉวียนเหลือเกิน “กราบทูลฝ่าบาท พระตำหนักอวี้เฉวียนส่งคนมาเชิญให้พระองค์เสด็จไปที่นั่น เพราะพระอาการของเสียนเฟยไม่สู้ดีพ่ะย่ะค่ะ…”
“ไม่สู้ดี?” จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักงัน “เมื่อเช้าข้าก็เพิ่งไปที่นั่นมา ไม่สู้ดีอีกแล้วรึ”
“คนจากตำหนักรายงานว่าได้เรียกหมอหลวงมาดูแล้ว แต่พระอาการของเสียนเฟยเหนียงเหนียงยังคงทรุดลงเรื่อยๆ จึงเห็นว่าควรมากราบทูลให้ฝ่าบาททรงทราบพ่ะย่ะค่ะ”
“ปวดหัวขึ้นมาอีกแล้วรึ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เพิ่งสนทนากับหันหรานได้ไม่นาน ไม่ต้องการให้บทสนทนานี้ถูกขัดจังหวะ ฉะนั้นจึงสั่งให้พานไห่พาคนของตำหนักอวี้เฉวียนเข้ามาสอบถามอาการ
คนที่มาแจ้งคือขันที
“เหนียงเหนียงของพวกเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง”
ขันทีก้มศีรษะต่ำพลางเอ่ยเสียงสั่น “เหนียงเหนียง…เหนียงเหนียงกริ้วเพราะเยี่ยนอ๋องพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ผงะไปเพราะเพิ่งนึกออกว่าอวี้จิ่นน่าจะอยู่ที่ตำหนักอวี้เฉวียน
นี่เจ้าเจ็ดทำให้เสียนเฟยโมโหจนโรคกำเริบงั้นหรือ