ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนที่ 725 เอาใจใส่ดูแล
จิ่งหมิงฮ่องเต้หยุดลงครู่หนึ่ง แล้วมุ่งหน้าเดินต่อไปยังตำหนักคุนหนิง
ช่างเถอะ ยังไงก็ลืมแล้ว จะไปเร็วไปช้าก็คงไม่ต่างกัน ไปหาฮองเฮาก่อนแล้วกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้อยากเห็นการพบกันครั้งแรกของฮองเฮาและอวี้จิ่นหลังจากที่ความสัมพันธ์เปลี่ยนไปว่าเป็นอย่างไร
เขาจำได้ว่าตอนที่เขาถูกนางในพาเข้าไปพบกับไทเฮา ทั้งกังวล สับสนวุ่นวาย แต่ก็มีความรู้สึกตื่นเต้นและรอคอยด้วย
ตอนนั้นเขายังเด็ก ในใจจึงรู้สึกซับซ้อนมาก เจ้าเจ็ดถือว่าโชคดี น่าจะไม่ทรมานเหมือนเขาในตอนนั้น
จิ่งหมิงฮ่องเต้เร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักคุนหนิง ไปได้ครึ่งทางก็เจอเข้ากับอวี้จิ่น
“เจ้ายังไปไม่ไปอีกรึ”
อวี้จิ่นคารวะด้วยท่าทีเคารพนบน้อม เอ่ยขึ้น “ลูกตื่นเต้นเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะ “ตื่นเต้นอะไรหรือ”
เจ้าเจ็ดโตป่านนี้แล้ว ที่แท้ก็ยังรู้จักตื่นเต้นอยู่
เมื่อคิดเช่นนี้ ในใจฮ่องเต้ก็รู้สึกเท่าเทียมโดยไม่มีสาเหตุ
“ไม่รู้ว่าควรจะพูดคุยอะไรกับเสด็จแม่ถึงจะเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ” อวี้จิ่นพูดออกไปด้วยท่าทีนิ่งสงบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งมีความสุข
ตอนนั้นเขาก็เคยกังวลเรื่องนี้
ในฐานะที่เป็นผู้ถูกเลือก มักจะกังวลมากที่สุด
จะทำให้อีกฝ่ายชอบได้หรือไม่ ถ้าหากว่าทำได้ไม่ดีจะส่งเขากลับไปที่เดิม แล้วเลือกคนอื่นหรือไม่
เขาถึงขั้นฝันร้าย ในฝันเขาไม่ได้เป็นองค์ชายที่พี่น้องอิจฉาเพราะถูกฮองเฮารับเลี้ยง เขายังคงเป็นเด็กน้อยน่าสงสารไร้ซึ่งที่พึ่งพิงเหมือนเดิม
ที่แท้เจ้าเจ็ดก็เป็นเหมือนกัน
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจยาว ยิ้มออกมา “สำหรับเสด็จแม่ของเจ้านั้น เจ้าเพียงแค่จริงใจและกตัญญูก็พอ เอาล่ะ ไปกับข้าแล้วกัน”
ทางฮองเฮาพอทราบข่าวแล้วก็มายืนรออยู่ที่บันไดหินนอกตำหนักแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้สาวเท้าก้าวเข้ามา หัวเราะเสียงดังพลางตรัสถามออกไป “ฮองเฮาเหตุใดถึงมาอยู่ข้างนอกล่ะ”
ฮองเฮาชำเลืองมองอวี้จิ่น พร้อมกับเอ่ยตอบ “หม่อมฉันกังวลว่าฝ่าบาทจะถูกทำให้ลำบากใจ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะร่า “ฮองเฮาคิดมากไปแล้ว เหล่าขุนนางพวกนั้นล้วนเข้าใจ จะทำให้ข้าลำบากใจได้อย่างไรกัน”
ฮองเฮา “…” ฝ่าบาทไม่ยอมเสียหน้าจริงๆ
พานไห่ “…” ฝ่าบาทไม่ยอมเสียหน้าจริงๆ
อวี้จิ่น “…” ฝ่าบาทช่างขี้โม้เสียจริง
แม้จะตำหนิอยู่ในใจเช่นนี้ ทว่าอวี้จิ่นกลับไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาเลย เคารพฮองเฮาด้วยท่าทีเคร่งขรึม “ลูกขอน้อมทักเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮาอมยิ้ม จ้องมองบุรุษที่โค้งตัวประสานมือคารวะ
รูปโฉมงดงาม ท่าทางสง่าผ่าเผย
จากนี้ไปก็จะเป็นลูกชายของนางแล้ว ลูกชายคนโตที่มีรูปร่างหน้าเค้าโครงของเสียนเฟย
สำหรับเรื่องนี้ ฮองเฮาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกอึดอัด แต่กลับรู้สึกมีความสุข
คลอดมาได้แล้วยังไง มีสายเลือดเกี่ยวพันกันแล้วยังไง หากไม่เสพสุขจนเกินตัว สุดท้ายความโชคดีก็จะตกลงมาอยู่ข้างๆ เอง จะว่าไปแล้ว ดูเหมือนว่าเสียนเฟยจะยังไม่รู้เรื่อง
สำหรับจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่สามารถตัดสินใจได้เร็วเช่นนี้ ฮองเฮารู้สึกตกใจเล็กน้อย
หลังจากตกใจแล้วก็ดีใจ
ตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วและเฉียบขาด ถึงจะสามารถเลี่ยงเหตุร้ายได้มากมาย
ฮองเฮาจ้องอวี้จิ่นอยู่นานพอสมควร ทว่าอวี้จิ่นยังคงรักษาท่วงท่าคำนับไว้อยู่
“เข้าไปแล้วค่อยคุยกันเถอะ” ในที่สุดฮองเฮาก็เอ่ยปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
เมื่อเข้าไปในห้อง ฮ่องเต้นั่งลง อวี้จิ่นยืนซื่ออยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง
ฮองเฮายิ้มพูดขึ้น “ยืนอยู่ทำไมกัน นั่งลงสิ”
มีนางกำนัลยกเก้าอี้มาวางไว้ตั้งนานแล้ว
อวี้จิ่นเหลือบมองเก้าอี้ นั่งลงตามระเบียบ
ฮองเฮาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “จากนี้ไปพวกเราก็จะเป็นแม่ลูกกันแล้ว จิ่นเอ๋อร์อย่าได้เกร็งไปเลย”
อวี้จิ่นเกือบลื่นไถลตกเก้าอี้
เขาโตขนาดนี้แล้ว ทำไมฮองเฮาถึงเรียกว่า ‘จิ่นเอ๋อร์’ ออกมาได้หน้าตาเฉย
จิ่นเอ๋อร์…อวี้จิ่นอดไม่ได้อยากจะส่ายหน้าออกมา
ตอนที่เขาเป็นเด็กทารกยังไม่เคยมีใครเรียกเขาว่าจิ่นเอ๋อร์…
พอเหลือบมองฮองเฮาที่อมยิ้มมุมปาก เป็นครั้งแรกที่อวี้จิ่นยอมแพ้
ยังไงก็เป็นถึงฮองเฮา ฝีมือนี้ใครก็เทียบไม่ติด
จิ่งหมิงฮ่องเต้เห็นอวี้จิ่นใจลอย จึงกระแอมเสียงเตือนขึ้นเบาๆ “นั่งเซ่ออยู่ทำไม ไม่ได้ยินที่เสด็จแม่พูดหรือ”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาเลือกลูกชายคนโตให้กับฮองเฮา ถ้าหากฮองเฮาไม่ชอบ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด
“พ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ ต่อหน้าท่านลูกจะไม่ระมัดระวังตัวมากเกินไป”
ฮองเฮายิ้ม “ถูกแล้วล่ะ ครอบครัวเดียวกันอย่าได้ทำตัวห่างเหิน ประเดี๋ยวกลับไปเจ้าพาพระชายาอ๋องมาด้วย ข้าก็จะเรียกฝูชิงมา พวกเรามาทานข้าวด้วยกัน”
แค่กแค่ก จู่ๆ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไอออกมา
ฮองเฮารีบเอ่ยขึ้น “หากถึงเวลานั้นฝ่าบาทมีเวลาก็มาเถอะเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าลงท่าทางสงบเสงี่ยม “ค่อยว่ากันอีกที”
พูดคุยสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง ถือว่าแม่ลูกเจอกันอย่างเป็นทางการแล้ว จากนั้นจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็พาอวี้จิ่นออกไปพร้อมกัน
เมื่อยืนอยู่ที่ปากทางแยก จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็หยุดลง มองไปที่อวี้จิ่งพลางตรัสออกไป “จากนี้ไปก็มาน้อมทักเสด็จแม่ของเจ้าบ่อยๆ เพราะเสด็จแม่ของเจ้าก็ไม่ง่ายเลย”
อวี้จิ่นยิ้มพูดออกไป “เสด็จพ่อวางใจเถิด ลูกจะมาบ่อยๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นเจ้ากลับไปเถอะ เกรงว่าพระชายาของเจ้าจะยังไม่รู้เรื่อง”
“ลูกขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ”
รอจนอวี้จิ่นเดินออกไปไกล จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงได้มุ่งหน้าไปที่ตำหนักอวี้เฉวียน
อันที่จริงเมื่อครู่เขาลังเลนิดหน่อย อยากจะพาเจ้าเจ็ดไปหาเสียนเฟย ทว่าพอคิดดูอีกทีแม่ลูกคู่นี้เดิมก็ห่างเหินกัน ปัจจุบันสถานะแม่ลูกคงไม่มีอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรเกินความจำเป็น
เวลานี้ตำหนักอวี้เฉวียนยังคงไม่ได้รับข่าวสาร
เพียงแค่ได้ยิน ‘ฝ่าบาททรงเสด็จ’ ทำให้เสียนเฟยรู้สึกแปลกใจมาก จึงรีบเข้ามารับเสด็จ
“ฝ่าบาทมาถึงนี่…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้า “เข้าไปเถอะ”
เสียนเฟยขี้หนาว ตำหนักอวี้เฉวียนจึงอบอุ่นกว่าตำหนักคุนหนิง จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกไม่เคยชินจึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
หากนับเวลาดู น่าจะเพิ่งเสร็จจากการว่าราชการ ควรจะเป็นเวลาทรงงานอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร เสียนเฟยเดาไม่ออกว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้มาเพื่ออะไร แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถาม เช่นนั้นจึงทำเรื่องที่ทำไว้ก่อนหน้านี้ต่อ…ชงชา
การดื่มชาของคนต้าโจวนั้นไม่ซับซ้อนเหมือนราชวงศ์ก่อน แต่ก็ต้องมีความอดทน
เมื่อมองเสียนเฟยที่กำลังเทใบชาลงในกาต้มน้ำชาที่น้ำกำลังเดือดด้วยท่าทีอ่อนช้อยงดงาม จากนั้นเทลงในชามลายครามสีขาวอีกครั้ง แล้วเทเข้าไปในกาต้มน้ำอีก จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกรำคาญเล็กน้อย
แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยหงุดหงิดเรื่องพวกนี้ ต่อให้ท่าทางลีลาชงชาจะมากมายแค่ไหน มันก็แค่ชาถ้วยเดียว ถ้ามีเวลาว่างเขายอมที่จะพลิกตำราหรือว่าลูบพุงเจ้าจี๋เสียงมากกว่า
“เชิญฝ่าบาทดื่มชาก่อนเพคะ” เสียนเฟยนำชาที่ชงใหม่ยื่นให้จิ่งหมิงฮ่องเต้
จิ่งหมิงฮ่องเต้รับมาพร้อมกับดื่มไปหนึ่งอึกเพื่อรักษาหน้า จากนั้นก็วางถ้วยน้ำชาลายครามสีขาวไว้ข้างๆ ตรัสออกไป “ตอนนั้นเจ้าเจ็ดกวนโมโหอ้ายเฟย หลังจากนั้นได้มาที่ตำหนักอวี้เฉวียนอีกหรือไม่”
เมื่อได้ยินจิ่งหมิงฮ่องเต้พูดถึงอวี้จิ่น สีหน้าเสียนเฟยก็เคร่งขรึมลงทันที
จะมาที่ตำหนักอวี้เฉวียนทำไมกัน ในสายตาเจ้าชั่วนั่นมีแม่อย่างนางอยู่ซะที่ไหน!
ณ วันนั้นที่เสียหน้าเพราะอวี้จิ่น เขาอกตัญญูแต่กลับไม่ได้รับการลงโทษใดๆ จากฝ่าบาท เสียนเฟยยังคงอดทนไว้ไม่พูดอะไรออกมา พอจิ่งหมิงฮ่องเต้ถาม แน่นอนว่าจึงไม่พลาดโอกาสที่จะจัดการอวี้จิ่น
เสียนเฟยถอนหายใจออกมาเบาๆ “ไม่เคยมาเพคะ อาจเป็นเพราะหม่อมฉันไม่มีความโชคดี จึงไม่กล้าหวังความกตัญญูจากเจ้าเจ็ดแล้วล่ะเพคะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ถอนหายใจไปด้วย “เจ้าเจ็ดสารเลวนั่นมักจะกวนโมโหอ้ายเฟย ข้าทราบแล้ว”
เสียนเฟยอมยิ้มมุมปากขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ฝ่าบาทเห็นบาปบุญคุณโทษแล้วหรือ
จิ่งหมิงฮ่องเต้แตะมือเสียนเฟยเบาๆ ตรัสปลอบใจ “เช่นนั้นข้าจึงให้เขาเป็นโอรสในฮองเฮาแล้ว อ้ายเฟยจะได้ไม่ต้องเสียสุขภาพเพราะเจ้าลูกสารเลวคนนี้อีก”