ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนพิเศษ 1 ว่างเปล่า
ฉีอ๋องไม่ได้ออกจากจวนของตัวเองมานานแล้ว
เมื่อเสด็จแม่ของเขาทำร้ายองค์หญิงฝูชิง เสด็จพ่อถึงชิงชังเขาเข้าไส้ นั่นเป็นเหตุผลให้เขาต้องจำยอมถอยออกมา
แต่โชคดีที่เขายังมีจดหมายที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้หนึ่งฉบับ ต่อให้เสด็จพ่อจะเลือกเจ้าเจ็ดขึ้นเป็นรัชทายาท แต่แรงสนับสนุนจากไทเฮาจะทำให้เขามีโอกาสกลับมาอีกครั้ง
พ่อบ้านก้าวฉับเข้ามาพร้อมสีหน้าย่ำแย่เข้าขั้น “ท่านอ๋อง เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
มือของฉีอ๋องที่ถือตำราพุทธเกร็งตึง “เรื่องอะไร”
พ่อบ้านก้มศีรษะไม่กล้ามองหน้าฉีอ๋อง “เมื่อครู่มีข่าวส่งมาว่า ฝ่าบาทมีรับสั่งให้องค์รัชทายาทเสด็จขึ้นครองราชย์พ่ะย่ะค่ะ…”
ฉีอ๋องลุกพรวด ตำราพุทธร่วงลงพื้น
ตำราแผ่หลา อักขระพุทธพจน์สะดุดตาชวนให้รู้สึกสงบนิ่ง ประหนึ่งว่ากำลังเยาะเย้ยคนที่ทำให้มันหล่นพื้น
ฉีอ๋องวิ่งออกไป แม้เท้าจะเหยียบตำราพุทธแต่เขามิได้หันหลังกลับมามอง
“ท่านอ๋อง…” พ่อบ้านรีบวิ่งตามออกไป “พระองค์อย่าเพิ่งวูบวามไปเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
หมู่นี้ท่านอ๋องดูแปลกๆ แม้ภายนอกจะดูสงบนิ่ง แต่ทว่าแววตากลับลุ่มลึกจนน่ากลัว
ท่านอ๋องแบบนี้ทำให้เขารู้สึกว้าวุ่นใจ
ฉีอ๋องชะงักฝีเท้า ก้าวฉับกลับมาที่ห้องตำรา ปิดประตู ทิ้งพ่อบ้านไว้ด้านนอก
ผ่านไปไม่นาน ฉีอ๋องก็เปิดประตูอีกครั้ง เดินดุ่มออกไป
“ท่านอ๋อง จะเสด็จไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะไปไหนต้องแจ้งให้พ่อบ้านอย่างเจ้าทราบด้วยรึ ถอยไป!”
ฉีอ๋องดันตัวพ่อบ้าน ก้าวพ้นประตูจวนอ๋องแล้วมุ่งหน้าสู่วังหลวง
เขารอต่อไปไม่ได้แล้ว
รอไปรอมา องค์ชายธรรมดาอย่างเจ้าเจ็ดกลับได้ขึ้นเป็นเยี่ยนอ๋อง รอแล้วรออีกก็กลายเป็นองค์รัชทายาท จนกระทั่งตอนนี้กำลังจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่แล้ว!
น่าเวทนาที่เขาเอาแต่เฝ้ารอว่าจะได้รับแรงสนับสนุนจากไทเฮา
เขานี่มันโง่ โง่จริงๆ!
อารมณ์ร้อนรุ่มเกือบทำให้ฉีอ๋องเซตกจากหลังม้า
เมื่อใกล้ถึงวังหลวง ฉีอ๋องก็พลิกตัวกระโดดตัวลงจากหลังม้า ยื่นคำร้องขอเข้าเฝ้าไทเฮาที่หน้าประตูวัง
ไทเฮาในขณะนี้ถูกกักบริเวณ ฉะนั้นคำร้องนี้จึงส่งไปไม่ถึงตำหนักฉือหนิง แต่ส่งไปถึงจิ่งหมิงตี้ที่ยังทำหน้าที่รักษาการณ์ตำแหน่งชั่วคราว
“เจ้าสี่มาขอเข้าเฝ้าไทเฮาอย่างนั้นรึ” จิ่งหมิงตี้ได้ยินดังนั้น อากัปกิริยาก็เย็นชาทันใด
สำหรับองค์ชายสี่ เขาไม่คิดจะพบหน้าอีกแล้ว แต่หากเจ้าสี่อยากพบไทเฮา เขาจะปล่อยไปเฉยๆ ได้อย่างไร
ในเมื่อเขาสละราชสมบัติไปแล้ว เจ้าสี่จะขอเข้าเฝ้าไทเฮาทำไมกัน
“พาเจ้าสี่มาที่นี่”
ฉีอ๋องไม่คิดว่าจิ่งหมิงตี้จะยอมพบหน้าเขา ฉีอ๋องตื่นเต้นเล็กน้อย เขาคุกเข่ากล่าวเสียงสั่น “ถวายบังคมเสด็จพ่อ”
จิ่งหมิงตี้พิศมองฉีอ๋อง ก่อนจะเข้าประเด็น “เจ้าขอเข้าเฝ้าไทเฮาด้วยเรื่องอันใด”
ฉีอ๋องก้มมองพื้น ลังเลชั่วอึดใจก่อนจะตอบ “ลูกไม่ได้เข้าวังมาน้อมทักเสด็จพ่อและเสด็จย่านานแล้ว จึงรู้สึกห่วงหาพ่ะย่ะค่ะ…”
แววตาจิ่งหมิงตี้ลุ่มลึก “เจ้ารู้จักห่วงหาอาทรผู้อาวุโสก็ดีแล้ว แต่ทว่าตอนนี้เหตุการณ์ยังไม่สงบดี หากอยากจะน้อมทักข้าก็รอให้ผ่านพ้นพิธีราชาภิเษกจักรพรรดิองค์ใหม่ไปก่อน พอถึงตอนนั้นข้าถึงจะมีเวลาว่าง”
หากเจ้าสี่มาตอนนั้น เขาอาจจะใจอ่อนก็เป็นได้
ในเมื่อยกบัลลังก์ให้เจ้าเจ็ดไปแล้ว บุตรชายที่เคยทำผิดต่อเขา เคยทำให้เขาเสียใจ เขาก็พอจะยอมอ่อนข้อให้ได้บ้าง
ฉีอ๋องรีบกล่าว “ลูกเองก็คิดว่าเสด็จพ่อน่าจะทรงยุ่ง จึงคิดว่าจะไปเยี่ยมเสด็จย่าก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“คงไม่มีความจำเป็นใดให้เจ้าไปเยี่ยมไทเฮา ไทเฮาชันษามากแล้วจึงควรถนอมกายไว้”
ฉีอ๋องไม่ยอมแพ้ ถามต่อ “เสด็จย่าประชวรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หมดความอดทน แผดเสียงเดือดดาล “ไอ้ลูกชั่ว เจ้าจะอยากเข้าเฝ้าไทเฮาทำไมกันนัก เห็นข้ายกบัลลังก์ให้เจ้าเจ็ด เจ้าก็เลยร้อนใจอยากเข้าเฝ้าไทเฮา เพราะหวังจะให้ไทเฮาช่วยแย่งบัลลังก์งั้นรึ”
ฉีอ๋องตกใจจนหน้าซีด ก้มกราบกรานทันควัน “เสด็จพ่อ ลูกไม่มีความคิดเช่นนั้น…”
“หากไม่มีความคิดเช่นนั้นก็ไสหัวกลับไป!”
ฉีอ๋องฟังเสียงคำรามของจิ่งหมิงตี้แล้วรู้สึกรวดร้าวประหนึ่งถูกแท่งน้ำแข็งคมปลาบทิ่มถึงขั้วหัวใจ
เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง เขาแค่มาขอเข้าเฝ้าเพื่อน้อมทักเสด็จย่า คำของ่ายดายเพียงนี้ เหตุใดเสด็จพ่อถึงต้องตอบโต้ด้วยท่าทีเกรี้ยวกราดด้วยเล่า
เป็นเพราะอะไรกันนะ
ฉีอ๋องคิดไม่ตก เขาคุกเข่านิ่งไม่เคลื่อนไหว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ่งปะทุหนัก ตะโกนดังสนั่น “พานไห่ พวกเจ้าตายกันหมดแล้วรึ หรือเพราะเห็นว่าข้ากำลังจะเป็นไท่ซั่งหวงถึงได้เมินคำพูดของข้ากันหมด”
พานไห่ชี้นิ้วสั่งข้าหลวงอีกสองคนให้พาตัวฉีอ๋องออกไป
ในหัวของฉีอ๋องขาวโพลน เขาพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการของข้าหลวง “เสด็จพ่อ ลูกกล้าให้ฟ้าดินเป็นพยานว่าลูกมิเคยมีความคิดเช่นนั้น สิ่งที่พระองค์ตรัสทำให้ลูกดูเป็นคนหน้าไม่อาย…”
ผละ หลังจากดิ้นรนยื้อยุดอยู่นาน จดหมายฉบับหนึ่งหลุดร่วงออกมาจากอกของฉีอ๋อง
ทั้งหมดตกอยู่ในความเงียบ
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชายตามอง ตอบสนองเร็วไว “เก็บขึ้นมา!”
ฉีอ๋องเพิ่งได้สติ กระโจนตัวฉกฉวยจดหมายฉบับนั้น
ทว่าพานไห่คว้าของมือฉีอ๋องไว้ได้ทัน ส่วนมืออีกข้างเอื้อมลงไปเก็บจดหมายแล้วส่งให้จิ่งหมิงตี้
วินาทีที่เห็นอักษรขนาดเล็กบนกระดาษ หนังตาของจิ่งหมิงตี้ก็กระตุกวูบ เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้ว สีหน้าคล้ำหม่นประหนึ่งเมฆทะมึนหนาสุมตัว
“นี่คือจุดประสงค์ที่เจ้ามาขอเข้าเฝ้าไทเฮางั้นรึ” จิ่งหมิงตี้ยกแผ่นจดหมายในมือ มือนั้นสั่นเล็กน้อย
เสียงของฉีอ๋องสายสาบสูญ เขาทรุดตัวนั่งลงบนพื้นอิฐสีทอง สั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่าง
จิ่งหมิงตี้เดินไป ยกเท้าถีบเข้าเต็มแรง ในขณะที่เตะ เขาใช้จดหมายที่พับเป็นชั้นหนาตีเข้าที่ใบหน้าของฉีอ๋อง
“ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เจ้าชั่วช้าเสียยิ่งกว่าเดรัจฉาน ข้าควรส่งเจ้าไปเฝ้าสุสานหลวงแต่แรก!”
ฉีอ๋องหลบบาทาลอยลิ่ว วินาทีที่ได้ยินคำว่า ‘เฝ้าสุสานหลวง’ ดวงตาพลันเบิกกว้าง ในชั่วแล่นนั้น สัมปชัญญะมลายหายสิ้น รีบพุ่งตัวไปกระชากจดหมายจากมือของจิ่งหมิงตี้
พานไห่ตะลึงพรึงเพริด ดึงร่างจิ่งหมิงตี้มาไว้ด้านหลัง และใช้เท้าถีบฉีอ๋องลอยไปไกลลิบ
ฉีอ๋องซบหน้าลงบนพื้นอิฐแข็งแรง ปากพร่ำพรรณนาสุดเสียง “กระหม่อมไม่ไปเฝ้าสุสานหลวง กระหม่อมมีจดหมาย จดหมายที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้กระหม่อม!”
พานไห่ยกมือขึ้นปิดปาก
เวรกรรม นี่เขาเตะฉีอ๋องจนสติเลอะเลือนเลยหรือ
“ฝ่าบาท ฉีอ๋อง…”
ในขณะนั้น จิ่งหมิงฮ่องเต้เองก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ เขาเอ่ยเสียงเย็น “ปิดปากฉีอ๋องแล้วพาตัวเข้าไปขังไว้ที่จวน ห้ามให้ผู้ใดเข้าพบเป็นอันขาด!”
เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง ปล่อยให้บุตรชายคนนี้ใช้ชีวิตสำเริงสำราญไปวันๆ แต่เมื่อเห็นจดหมายฉบับนี้แล้วจึงตระหนักได้ว่าความคิดของเขาน่าขันสิ้นดี
เขาเคยรู้สึกสงสารเจ้าลูกชั่วคนนี้ แต่เจ้าลูกชั่วรู้จักบุญคุณคนที่ไหนกัน
เขาสละราชบัลลังก์ให้องค์รัชทายาทไปแล้ว เขาไม่ต้องการให้มือของตัวเองต้องเปื้อนเลือดของลูกในไส้อีกแล้ว เช่นนั้นก็คงต้องกักบริเวณเจ้าสี่ตลอดชีวิตเฉกเช่นไทเฮา
นับแต่นี้ ตัวตนของเขาจะหายไป ชาติหน้าฉันใด อย่าได้เกิดมาเป็นพ่อลูกกันอีกเลย
ฉีอ๋องถูกนำตัวกลับมาส่งที่จวนฉีอ๋องอย่างลับๆ และไม่นานข้าหลวงก็เข้ามารายงาน “ฉีอ๋องเสียสติไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พิธีบรมราชาภิเษกจัดขึ้นอย่างเอิกเกริก เสียงโห่ร้องยินดีกึกก้องไปทั่วทั้งเมืองหลวง แต่ทว่าจวนกว้างใหญ่ของฉีอ๋องกลับเงียบสงัด ประหนึ่งว่าว่างเปล่าร้างผู้คน
ในมุมห้อง ฉีอ๋องพับคัมภีร์ขงจื่อที่คัดลอกออกมาแล้วยัดใส่ไว้ในอกเสื้อ ผมเผ้าหลุดลุ่ย แววตาเหม่อจ้อง ปากพร่ำรำพึงรำพัน “จดหมายของข้า จดหมายที่เสด็จแม่ทิ้งไว้ให้ข้า จดหมายนี้บอกให้ข้าเป็นไท่จื่อ…”
คนที่เฝ้าอยู่นอกประตูยกมือขึ้นปิดหูพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้า
คำกล่าวเช่นนี้ เขาไม่กล้าฟังหรอก
เฮ้อ เมื่อไหร่วันเวลาเหล่านี้จะสิ้นสุดไปเสียที!
นานวันเข้า ข่าวลือเรื่องฉีอ๋องเสียสติก็ค่อยๆ แพร่สะพัดออกไป จนในที่สุดข่าวนี้ก็มาถึงหูพระชายาฉีอ๋องที่บำเพ็ญเพียรอยู่ที่อารามหลวง
พระชายาฉีอ๋องก่นด่าด้วยความแค้น และร้องไห้ฟูมฟายยกใหญ่ แต่นับตั้งแต่วันนั้นมา นางก็เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์อย่างแท้จริง
มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่บนโลก มิควรก่อกรรม เพราะมิฉะนั้นเวรกรรมจะตามมาเอาคืนไม่ช้าก็เร็ว
นางได้รับผลกรรมนั้นแล้ว และบุรุษใจดำอำมหิตผู้นั้นก็กำลังรับผลกรรมไม่ต่างกัน
เป็นเช่นนี้ถือว่าดีแล้ว