ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ - ตอนพิเศษ 8 อยู่ด้วยกันตลอดไป
สายลมที่ขอบหน้าผาหวีดหวิวอยู่ที่ข้างหู มือสั่นเทาทั้งสองข้างของเจียงซื่อเกาะเกี่ยวขอบหน้าผาไว้แน่น
ฝ่ามือเนียนนุ่มของนางถลอกปอกเปิก มีโลหิตไหลซึม ร่างกายค่อยๆ ห้อยลงตามแรงโน้มถ่วง ทว่านางไม่มีความคิดที่จะปล่อยมือ
นางยังไม่อยากตายตอนนี้
นางผ่านอะไรมาตั้งมากมายกว่าจะหลุดพ้นวังวนอันน่าเศร้าในอดีตและได้ครองรักกับอาจิ่น อีกทั้งวันเวลาที่นางเฝ้ารอก็ยังมาไม่ถึง
หากนางตายไปตอนนี้ อาจิ่นจะต้องอยู่ตัวคนเดียว
นางกอบกุมความคิดนี้ พยายามดึงพลังจากทุกอณูในร่างส่งไปที่ท่อนแขน และร่างของนางก็ค่อยๆ ขยับขึ้น
แต่แล้วจู่ๆ รองเท้าปักลายด้วยดิ้นเงินก็เคลื่อนผ่านเข้ามาในลานสายตาของนาง
เจียงซื่อออกแรงเพื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง
รอยยิ้มเย็นเยือกแขวนอยู่ที่มุมปากพระชายาฉีอ๋อง แตกต่างจากรูปลักษณ์อ่อนโยนและผ่อนปรนในช่วงปกติของนางโดยสิ้นเชิง
“น้องสะใภ้เจ็ดนี่ช่างดวงแข็งเสียเหลือเกิน”
เจียงซื่อขบริมฝีปากแน่น
จนถึงบัดนี้แล้ว นางเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง
นางและพระชายาฉีอ๋องมาถวายธูปด้วยกันที่วัดไป๋อวิ๋นแต่ดันเกิดเหตุการณ์ม้าพยศ ในตอนนี้ร่างของนางห้อยอยู่ที่ขอบหน้าผากึ่งกลางระหว่างความเป็นและความตาย แต่ทว่าพระชายาฉีอ๋องกลับยืนหน้าชื่นตาบานอยู่ตรงนี้
ด้านเคราะห์คราวนี้ พระชายาฉีอ๋องคือคนร้าย!
“เพราะอะไร” เจียงซื่อถาม
นางทั้งสงสัย ไม่จำยอมและโกรธแค้น ทว่าไม่คิดจะร้องขอความช่วยเหลือ
ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าทำกับนางถึงขึ้นนี้ ขอร้องไปก็มิได้ก่อประโยชน์อันใด รังแต่จะทำให้ตัวเองต้องเสียศักดิ์ศรี
พระชายาฉีอ๋องมิได้ตอบข้อสงสัยของเจียงซื่อ นางโน้มตัวไปข้างหน้า แกะมือเปื้อนเลือดของเจียงซื่อออกด้วยสีหน้าเฉยเมย
ในชั่วขณะที่ร่างของเจียงซื่อหล่นลงไป หูของนางได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาของพระชายาฉีอ๋องตามหลัง
ร่างของหญิงสาวดิ่งลงเร็วขึ้น ทว่าในจังหวะนั้น ในสมองของเจียงซื่อกลับอวลอึงไปด้วยเรื่องราวมากมาย
ทั้งบิดาและพี่ชาย พี่สาวคนโต แต่โดยมากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับอวี้จิ่น
ในช่วงเวลาเช่นนี้ เรื่องราวที่เคยทำให้นางทุกข์ใจ หรือคนที่เคยทำให้นางเป็นทุกข์กลับมิได้แวบผ่านเข้ามาในความคิด
นางไม่มีเวลามากพอที่จะใส่ใจสิ่งเหล่านั้น
นางยังไม่อยากตาย
ร่างของเจียงซื่อกระแทกเข้ากับก้อนหินที่ก้นเหว กระดูกหักไม่มีชิ้นดี
ในชั่วอึดใจ นางยังไม่สิ้นลม สติสัมปชัญญะของนางยังคงหลงเหลืออยู่
เมื่อสติฟื้นคืนกลับ ความเจ็บปวดก็ถาโถม
เจ็บเหลือเกิน…
อาจิ่น เจ้าอยู่ที่ไหน ข้าเจ็บเหลือเกิน…
มีเสียงวัตถุหนักตกสู่พื้น
สุนัขตัวใหญ่แทรกตัวเข้ามาหาเจียงซื่อ
“โฮ่ง…” สุนัขตัวใหญ่เห่าเสียงดังหนหนึ่ง มันใช้ลิ้นเลียไปบนมือของนายหญิง
มือข้างนั้นแน่นิ่งไม่ตอบสนอง
เจ้าสุนัขตัวใหญ่พยายามเข้าไปใกล้อีกเพื่อเลียแก้มของนายหญิง
โลกของเจ้าสุนัขช่างเรียบง่าย มีแค่เจ้านาย นายหญิง และกระดูก
แต่ทำไมนายหญิงถึงไม่ขยับ
มันตามกลิ่นมาตลอดทาง แต่ทำไมนายหญิงถึงไม่ขยับตัว
เจ้าสุนัขใช้ปากคาบอาภรณ์ของเจียงซื่อ ออกแรงดึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่แรงจะเริ่มเหือดหาย
“โฮ่ง…” สุนัขตัวใหญ่เห่าแผ่วเบา
อวี้จิ่นที่ได้รับข่าวควบมาตะบึงม้ามาถึงที่ ขณะที่พลิกตัวลงจากม้า ร่างของเขาเกือบเซตกลงไปที่ขอบหน้าผา
“นายท่าน...” หลงต้านยื่นมือมาพยุง แต่กลับถูกผลักออกไป
“อยู่ตรงนี้รึ”
หลงต้านไม่กล้าสบตาแดงก่ำของอวี้จิ่น เขาได้แต่พยักหน้าด้วยความยากลำบาก “ขอรับ…”
อวี้จิ่นไม่รอช้ารีบกระโดดลงไปทันที
หลงต้านรีบตามไป
ที่ก้นเหวสงัดเงียบ เปล่าเปลี่ยวชวนสิ้นหวัง
ทันทีที่อวี้จิ่นเห็นร่างหนึ่งนอนแผ่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เขาก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหา
ร่างของชายาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย โลหิตที่หลั่งนองออกจากร่างแห้งไปนานแล้ว ย้อมให้หินในบริเวณนั้นกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม
อวี้จิ่นเอื้อมมือไปลูบไล้แก้มของเจียงซื่อ
แก้มที่เขาเคยหอมนับครั้งไม่ถ้วนเย็นเฉียบ
อวี้จิ่นอุ้มเจียงซื่อขึ้นมาโดยมิได้เอ่ยคำใด สีหน้าของชายหนุ่มขาวซีดจนน่าตกใจ
หลงต้านที่ตามลงมาเห็นภาพนั้นตกตะลึงไม่แพ้กัน เขาขานเรียกอย่างอดมิได้ “นายท่าน...”
อวี้จิ่นมิได้หันไปมอง เขาอุ้มเจียงซื่อเดินผ่านหลงต้านไป
หลงต้านอยากจะขานเรียกทว่าทราบดีว่าการจากไปของพระชายากระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของผู้เป็นนายเพียงใด เขาทำได้เพียงถอนหายใจ และอุ้มร่างเจ้าสุนัขตัวใหญ่ที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ ร่างของเจียงซื่อเดินตามไป
เจ้าสุนัขไม่หายใจอีกแล้ว
หลงต้านใช้มือปาดหางตา เขาร้องไห้
ก่อนหน้านี้ยังดีอยู่หลัดๆ เหตุไฉนถึงได้เกิดเรื่องเช่นนี้
เมื่อกลับขึ้นมาบนหน้าผา หน่วยกู้ภัยก็มาถึงพอดี
อวี้จิ่นไม่แม้แต่ชายตามองคนเหล่านั้น เขาอุ้มเจียงซื่อขึ้นไปบนหลังม้า กระตุกบังเหียนควบม้าออกไป
หลงต้านที่อุ้มร่างของเอ้อร์หนิวมาช้าไปก้าวหนึ่งได้แต่ยืนงง “นายท่าน จะไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้จิ่นเฆี่ยนม้าอย่างบ้าคลั่ง ในหัวมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เขาต้องไปขอให้หัวหน้าผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวช่วยภรรยาของเขา
โชคดีที่ในขณะนั้นหัวหน้าผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียวพักอยู่ในเมืองหลวง
อวี้จิ่นควบม้าอยู่นานเท่าใดไม่อาจทราบ ในที่สุดเขาก็พาเจียงซื่อเข้ามาที่เรือนของชาวบ้าน
“ช่วยนาง!” อวี้จิ่นพุ่งปราดเข้าไปที่หน้าหัวหน้าผู้อาวุโส นั่นเป็นประโยคแรกตั้งแต่เขาพบร่างเจียงซื่อ
เมื่อเห็นเจียงซื่อที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยเลือดและบาดแผล สีหน้าของหัวหน้าผู้อาวุโสก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นางกล่าวด้วยความตกใจ “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้”
อวี้จิ่นไร้เรี่ยวแรงจะอธิบาย เขาเอ่ยเพียงว่า “ช่วยนาง!”
หัวหน้าผู้อาวุโสเอื้อมมือไปแตะเจียงซื่อ และกล่าวอย่างถอนใจ “สตรีศักดิ์สิทธิ์เสียชีวิตแล้ว”
“ข้ารู้ แต่พวกเจ้ามีศาสตร์ทำให้คนตายฟื้นคืนชีพ ช่วยนางสิ!”
“แต่ว่า…” การจากไปของเจียงซื่อทำให้หัวหน้าผู้อาวุโสสับสนไม่แพ้กัน
อวี้จิ่นคุกเข่า “ขอร้องล่ะ ช่วยนางเถิด”
หัวหน้าผู้อาวุโสมองบุรุษหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านอ๋องทราบใช่หรือไม่ว่าการใช้ศาสตร์ทำให้คนตายฟื้นคืนชีพนั้นจะต้องมีคนยินยอมแลกชีวิตด้วยชีวิต”
“ข้ายอม”
เขาขอแค่ให้ชายาของเขายังมีชีวิตอยู่
แววตาของหัวหน้าผู้อาวุโสขับประกายเล็กน้อย “เมื่อนางฟื้นขึ้นมา ทุกสิ่งจะกลับไปเริ่มต้นใหม่ เจ้าเข้าใจคำว่ากลับไปเริ่มต้นใหม่หรือเปล่า”
อวี้จิ่นส่ายหัว
“กลับไปเกิดใหม่! เมื่อใช้ศาสตร์ฝืนลิขิตฟ้า นางจะกลับชาติไปเกิดใหม่อีกครั้ง และเมื่อถึงเวลานั้น…เจ้าจะจำนางไม่ได้”
ศาสตร์ฝืนลิขิตฟ้า ผู้ที่ร่ายคาถานี้ก็ต้องสละชีวิตของตัวเองเช่นกัน
แต่ทว่านางยินดี
เพราะในเวลานี้นางจะได้เห็นความล้ำลึกของธรรมชาติ การแลกชีวิตของนางกับความอยู่รอดของอูเหมียวถือว่าคุ้มค่า
แต่ที่สำคัญคือไม่รู้ว่าบุรุษหนุ่มตรงหน้าจะรู้สึกว่าคุ้มค่ากับนางด้วยหรือไม่ เพราะหากเขามีความลังเลแม้แต่นิดเดียว ศาสตร์นี้จะไม่มีทางสำเร็จได้เลย
เมื่ออวี้จิ่นได้ยินสิ่งที่หัวหน้าผู้อาวุโสบอกว่าเขาจะต้องลืมเจียงซื่อ ชายหนุ่มก็กำหมัดแน่ “หัวหน้าผู้อาวุโสอย่าเอ่ยให้มากความเลย จะเริ่มใช้คาถาเมื่อใด”
“ย่ำค่ำของวันนี้”
“ย่ำค่ำของวันนี้?” อวี้จิ่นเงยหน้ามองฟ้า และท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป “เช่นนั้นก็ยังมีเวลา ข้าฝากหัวหน้าผู้อาวุโสดูแลคนของข้าด้วย”
อวี้จิ่นวางร่างของเจียงซื่อลงบนเตียงอย่างเบามือ สาวเท้าก้าวใหญ่ออกไปทางประตู กระโดดขึ้นหลังม้า มุ่งหน้าสู่จวนฉีอ๋อง
สายลมที่พัดเข้าไปในลำคอประหนึ่งเปลวเพลิงเผาไหม้ลามเลียจากลำคอไปถึงช่องท้อง
เขาเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงหน้าประตูใหญ่
“ท่านอ๋องและพระชายาของพวกเจ้าอยู่หรือไม่”
เมื่อคนเฝ้าประตูเห็นสีหน้าดุดันของอวี้จิ่นก็รีบตอบทันควัน “ท่านอ๋องและพระชายาเพิ่งเสด็จกลับมาจากวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีอวี้จิ่นต้องออกไปทำธุระที่นอกเมือง แต่เมื่อคำนวณเวลาตั้งแต่เจียงซื่อตกลงไปในหน้าผาจนกระทั่งเขาได้ทราบข่าวคาดว่ากินเวลายาวนานอยู่พอตัว น่าจะประจวบเหมาะกับฉีอ๋องและชายาที่กลับมาจากรายงานที่วังหลวงพอดี
“ไปแจ้งว่าข้าต้องการพบพวกเขา” อวี้จิ่นกล่าวเสียงเรียบ
ฉีอ๋องได้รับรายงาน จึงพาพระชายาฉีอ๋องไปรอต้อนรับอวี้จิ่นที่ห้องบุปผา
ฉีอ๋องเผยสีหน้าย่ำแย่ “น้องเจ็ด เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคาดคิด พี่กำลังคิดอยู่ว่าจะไปเยี่ยมเจ้า”
พระชายาฉีอ๋องดวงตาแดงก่ำ สีหน้าเศร้าสร้อย “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง หากข้ามิได้เชิญน้องสะใภ้เจ็ดไปถวายธูปด้วยกันคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้…”
อวี้จิ่นฟังทั้งสองกล่าวจนจบแล้วจึงชักดาบออกมา
“น้องเจ็ด เจ้าจะทำอะไร”
อวี้จิ่นตวัดปลายดาบฉับไว
ฉีอ๋องที่ถูกประคบประหงมอย่างดีมีหรือจะสู้อวี้จิ่นที่เคยตะเกียกตะกายออกมาจากกองซากศพ เขาหลบได้เพียงสองครั้งก่อนที่คมดาบจะทิ่มเข้าที่ตำแหน่งของหัวใจ
พระชายาฉีอ๋องกรีดร้องเตรียมจะวิ่งออกหนี “ช่วยด้วย…”
ยังไม่ทันจะสิ้นคำ พระชายาฉีอ๋องก็ถูกฟันเข้าที่ร่างก่อนจะล้มลง
อวี้จิ่นเพิกเฉยเหล่าคนที่กรูกันมา เขากล่าวเสียงเรียบ “อย่าคิดว่าจะหลอกข้าได้”
“เยี่ยนอ๋องสังหารท่านอ๋องและพระชายา…” จวนฉีอ๋องตกอยู่ในความอลหม่าน
อวี้จิ่นถือดาบรอท่า ใครก็ตามที่ขวางทางจะได้รับคมดาบเป็นการตอบแทน และเขาไม่สนว่าคนผู้นั้นจะเป็นหรือตาย
ปลายดาบอาบด้วยโลหิตสีสด ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้
เมื่อออกมาจากจวนฉีอ๋อง อวี้จิ่นโยนดาบทิ้งก่อนจะควบม้าจากไป คนที่ไล่ตามถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง เมื่อจากมาไกลแล้ว เขาจึงทิ้งม้าแล้วเดินต่อ
ข่าวที่เยี่ยนอ๋องสังหารฉีอ๋องและพระชายาถูกลือออกไปในเวลาอันรวดเร็ว เสียนเฟยได้ยินดังนั้นก็สำลักเป็นเลือด หมดสติไป
จิ่งหมิงฮ่องเต้โกรธขึ้ง สั่งหน่วยองครักษ์จิ่นหลินให้ออกตามหาอวี้จิ่น และประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วทั้งเมืองหลวง
อวี้จิ่นมิได้สนใจสิ่งเหล่านั้น
ประกาศภาวะฉุกเฉินแล้วอย่างไร หากซ่อนตัวรอให้ผ่านพ้นคืนนี้ไป ทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติ
ไม่นานก็ถึงแก่เวลา
“หัวหน้าผู้อาวุโส เริ่มเถิด”
“คิดมาอย่างดีแล้วใช่หรือไม่”
“ข้าไม่จำเป็นต้องคิดอีกแล้ว”
หัวหน้าผู้อาวุโสพยักหน้ารับ จุดธูปรูปร่างประหลาดและเริ่มร่ายคาถา
อวี้จิ่นไม่เข้าใจ แต่สายตายังคงจ้องตรงไปที่ร่างของเจียงซื่อที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง
ทันใดนั้น หัวหน้าผู้อาวุโสก็ควักกริชธรรมดาเล่มหนึ่งออกมาส่งให้พลางกล่าวฉะฉาน “รีบใช้กริชนี้แทงเข้าไปที่หัวใจของเจ้า ปล่อยให้โลหิตจากหัวใจไหลออกมาให้ได้สองเหลี่ยง[1]”
อวี้จิ่นไร้ซึ่งท่าทีลังเล ยกกริชขึ้นแทงเข้าที่ตำแหน่งหัวใจ โลหิตสดใหม่ไหลออกมาเป็นทาง โลหิตส่วนหนึ่งไหลลงในชามหยกในมือหัวหน้าผู้อาวุโส
บุรุษหนุ่มใช้มืออีกข้างค้ำกำแพง แม้ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวแต่ยังคงเห็นว่าหัวหน้าผู้อาวุโสใช้โลหิตสดปาดลงบริเวณหว่างคิ้วของเจียงซื่อ
โลหิตนั้นมิได้ซึมลงไปในชั้นผิว
อวี้จิ่นยิ้มจาง เปลือกตาปิดลง
เขาเชื่อว่าไม่ว่าจะกลับชาติมาเกิดใหม่กี่ครั้ง หรือต่อให้สูญเสียความทรงจำทั้งหมด หรือต่อเขาจะไม่ใช่เขาในตอนนี้ เขาก็จะยังคงจำได้ว่าเขารักอาซื่อ
อาซื่อ แล้วเจอกันใหม่ภพหน้า
(จบบริบูรณ์)
[1] เหลี่ยงมีค่าเท่ากับ 100 กรัม