ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 1028
ซึ่งในตอนนี้จู่ๆ ตระกูลหวังก็โผล่ออกมา คุณชายตระกูลหวังผู้นี้ใช้เงินมือเติบเพื่อตามจีบเธอ ตามหลักแล้วด้วยหน้าตาและฐานะชาติตระกูลอย่างคุณชายหวัง มาคอยตามตื๋อหลงหลิงหลิง พูดอย่างไรหลงหลิงหลิงก็ควรจะหวั่นไหวบ้างสิ
แต่หลงหลิงหลิงไม่มี เธอกลับรู้สึกว่าคนอย่างหวังเจียจุ้นอวดดีเกินไปแทน พูดกันตามตรง เธอยังไม่ถูกใจใคร
อีกทั้งหลงหลิงหลิงรู้สึกว่าสาเหตุที่หวังเจียจุ้นตามจีบเธอ นอกจากเธอหน้าตาดีแล้ว ที่มากกว่านั้นเป็นเพราะเฟยเสว่กรุ๊ป
ดังนั้นหลงหลิงหลิงจึงยิ่งไม่มีทางมีความรู้สึกด้วย และเธอก็ลอบสาบานว่าเธอจะไม่ทรยศไป๋ยี่เฟยเป็นอันขาด
หลงหลิงหลิงกำลังอยู่ในห้วงความคิด จู่ๆ หลิวเสี่ยวอิงที่อยู่ด้านข้างก็ถามว่า “หลิงหลิง กลิ่นหอมมาจากไหน? หรือว่าเธอฉีดน้ำหอม?”
หลงหลิงหลิงดมดู ก็ตอบว่า “ไม่รู้ หลับกันหมดแล้ว ยังจะมาฉีดน้ำหอมอะไรอีก?”
“งั้นนี่คือ……”
หลิวเสี่ยวอิงกับหลงหลิงหลิงสองคนผ่อนคลายลงพร้อมกัน จากนั้นก็ค่อยๆ จมสู่การหลับไหล
ผ่านไปสักพัก เงาดำร่างหนึ่งก็กระโดดเข้ามาจากหน้าต่าง มาหยุดตรงข้างเตียง
เงาดำพลันลังเล
เพราะบนเตียงมีสาวสวยนอนอยู่สองคน ไม่เพียงแค่นี้ หญิงสาวอีกคนยังสวยกว่าตัวเป้าหมายของเขาเสียอีก
เงามืดคิด: ที่คุณชายต้องการคือคนคนนี้ อย่างนั้นคนที่สวยกว่าคนนี้ หากพากลับไปพร้อมกันล่ะก็……ช่างเถอะๆ ยังคงไม่โลภมากจะดีกว่า
ดังนั้นเงาดำจึงใช้ผ้าห่มแบกหลงหลิงหลิงขึ้นมา แล้วหนีออกไปทางหน้าต่าง
หลังเงาดำจากไปแล้ว หลิวเสี่ยวอิงก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
เธอรีบประคองร่างกายมาหยุดตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ค้นยาเม็ดหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าตัวเอง จากนั้นก็กินเข้าไป แล้วก็หยิบมือถือออกมา
ทว่าตอนที่เธอกำลังต่อสายโทรศัพท์ก็พบว่า อีกฝ่ายกำลังติดสายอื่นอยู่
หลิวเสี่ยวอิงร้อนใจอย่างยิ่ง ไม่สนมากขนาดนั้นแล้ว สวมรองเท้าได้ก็วิ่งออกไปข้างนอกทั้งๆ ที่ยังสวมชุดนอน วิ่งไปพลางโทรหาไป๋ยี่เฟยไปพลาง
“ขอโทษค่ะ! สายที่ท่านกำลังติดต่อติดสายคู่สนทนาอื่นอยู่……”
……
ไป๋ยี่เฟยในเวลานี้กำลังรับสายจางหัวปินอยู่ จางหัวปินพูดว่า “ข่าวคราวสักนิดก็สืบไม่เจอ”
หลังไป๋ยี่เฟยได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตระกูลหวังนี่ราวกับปรากฏตัวออกมาจากอากาศอย่างไรอย่างนั้น ไม่เพียงแค่นี้ ยังมีความมั่นใจและมือเติบมากขนาดนี้ มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ธรรมดา แต่กลับสืบหาไม่เจอข้อมูลใดๆ
ไป๋ยี่เฟยถามอีกว่า “แม้แต่คนที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาก็สืบหาไม่เจอหรือ?”
จางหัวปินพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หาไม่เจอ ฉันสืบบริษัทที่มีการติดต่อกับบริษัทเฟิงหั่วกรุ๊ปทั้งหมดแล้ว ยังมีข้อมูลทางโทรศัพท์ ก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ”
“เพียงแต่……มีเบอร์หนึ่งที่ดูคุ้นตามาก เดี๋ยวฉันส่งให้นายดู”
“ได้”
ไป๋ยี่เฟยได้รับข้อความจากจางหัวปินอย่างรวดเร็ว
ซึ่งหลังจากที่เขาเห็นเบอร์นี้ก็ตกใจขึ้นมาทันที เบอร์นี้คุ้นมากจริงๆ เพราะเขาเคยให้จางหัวปินสืบ
ตอนที่เขาเตรียมจะไปจากหลันเต่า หยุนอิงพูดกับเขาว่า มีคนมาหาต้องการร่วมงานกับเธอ หยุนอิงเอาเบอร์ให้ไป๋ยี่เฟยดู ก็คือเบอร์นี้
ซึ่งผลที่จางหัวปินสืบมาได้คือเบอร์เป็นของตระกูลฉุงแห่งเมืองหลวง
ตอนนั้นเขายังสงสัยว่าเป็นฉุงเฉ่าเจว๋ ต่อมาเรื่องราวที่เกิดขึ้นทำให้เขาสงสัยฉุงโยวหมิงอีก แต่ตอนนี้ทุกอย่างล้วนกระจ่างชัดแล้ว เรื่องเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นแผนที่หยุนอิงวางไว้ เช่นนั้นเบอร์นี้ควรที่จะเป็นของปลอม เพื่อให้เขากับตระกูลฉุงเกิดความขัดแย้งกันมากขึ้น
แต่ว่า ตอนนี้เบอร์นี้ปรากฏขึ้นมาอีกแล้ว
นั่นแสดงถึงว่าตระกูลหวังกับตระกูลฉุงมีความเกี่ยวข้องกัน แล้วก็มีความเกี่ยวข้องกับสหพันธ์วรยุทธด้วยใช่หรือไม่
ไป๋ยี่เฟยสูดควันบุหรี่หนึ่งครั้ง แล้วพ่นออกมายาวเหยียด กล่าวเสียงเรียบว่า “พี่จาง เรื่องนี้คุณอย่าเพิ่งไปสนใจ ผมจะไปสืบเอง”
“ได้ งั้นนายก็ระวังให้มากๆ ด้วย” จางหัวปินตอบ
เพิ่งจะวางสาย โทรศัพท์เขาก็ดังขึ้นมาอีก
ไป๋ยี่เฟยรับสายอย่างรวดเร็ว เพราะว่าสายนี้หลี่เสว่โทรมา
หลี่เสว่พูดว่า “ที่รัก กลับบ้านได้แล้ว”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาส่งเสียงร้องอย่างดีใจแล้วพูดว่า “เมียจ๋ารอผมด้วยนะ!”
กล่าวจบไป๋ยี่เฟยก็วางสาย ดับบุหรี่ แล้วเดินไปยังข้างรถ
ออกไปข้างนอกเที่ยวเดียว ก็เป็นเวลาพักหนึ่งแล้ว เขาคิดถึงหลี่เสว่ คิดถึงลูก ในที่สุดก็ได้ปลดเปลื้องเสียที
ดังนั้น คืนนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ไม่อาจหยุดยั้งเขาไม่ให้ถ่ายทอดความรู้สึกคิดถึงของตัวเองไปยังหลี่เสว่ได้
แต่เพิ่งจะเดินไปถึงข้างรถ ก็มองเห็นเงาคนร่างหนึ่งปรากฏตรงจุดที่ไม่ไกลนัก
คนคนนั้นห่างจากเขาไม่ไกลนัก อีกทั้งยังยืนอยู่ตรงนั้นมาตลอด เห็นได้ชัดว่ากำลังรอเขาอยู่
ไป๋ยี่เฟยอาศัยไฟถนนจึงมองเห็นหน้าตาคนคนนั้นได้ชัด เป็นบอดี้การ์ดของหวังเจียจุ้น
หลังคนคนนั้นมองเห็นไป๋ยี่เฟย ก็กล่าวกับไป๋ยี่เฟยด้วยสายตาที่ใช้มองคนตาย “คืนนี้แกต้องตาย!”
ไป๋ยี่เฟยหยุดเดินมองเขา ถามอย่างแปลกใจว่า “แกรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่?”
บอดี้การ์ดคนนั้นพูดว่า “คนตายไม่จำเป็นต้องรู้มากขนาดนั้น”
ไป๋ยี่เฟยยังคงแปลกใจมาก เพียงแต่เขาเปลี่ยนจุดที่แปลกใจใหม่แล้ว “ตัวนายดีร้ายอย่างไรก็เป็นยอดฝีมือระดับที่หนึ่ง ทำไมถึงยอมไปเป็นบอดี้การ์ดให้คนอื่น?”
“หรือว่านายขัดสนเงินทอง? หากเป็นอย่างนี้ล่ะก็ มาติดตามฉันเป็นยังไง? ฉันมีเงินมากมายนะ”
“เหอะ!” คนคนนั้นแค่นเสียงเย็น “ฉันไม่ได้ทำเพื่อเงิน แต่ทำเพราะเลื่อมใสต่างหาก!”
“ฉันไม่จำเป็นต้องพูดกับแกมากขนาดนั้น ไม่ว่าแกถามคำถามอะไร แกก็ไม่จำเป็นต้องรู้เช่นกัน เพราะอีกเดี๋ยวแกก็จะตายแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยเห็นเช่นนี้ก็พูดอีกว่า “งั้นก็เอาเถอะ ฉันถามอีกคำถามสุดท้าย แกเป็นบอดี้การ์ดให้กับตระกูลหวังตั้งแต่เมื่อไหร่ ตระกูลหวังสถานการณ์เป็นยังไงกันแน่? ที่แกบอกว่าเลื่อมใสคืออะไร?”
บอดี้การ์ดคนนั้นพลันโกรธขึ้นมาแล้ว “แกหูหนวกหรือไง? ฟังภาษาคนไม่เข้าใจใช่ไหม? ฉันบอกแล้วไงว่า ไม่ว่าแกจะถามคำถามอะไร ฉันก็ไม่มีทางอธิบายให้คนตายคนหนึ่งฟังหรอก!”
ไป๋ยี่เฟยยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ดูท่าจะถามอะไรออกมาไม่ได้”
บอดี้การ์ดเห็นไป๋ยี่เฟยทำท่าทางสงบนิ่งและผ่อนคลายเช่นนี้ พลันโกรธขึ้นมาทันที “แกไม่เข้าใจหรือไง? ฉันมาเพื่อฆ่าแก ไม่อยู่ข้างกาย แกไม่ควรจะกลัวหรอกหรือ? ไม่ควรคุกเข่าขอชีวิตหรอกหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยกลับไม่เข้าใจไปใหญ่ “ทำไมฉันต้องกลัวด้วย?”
บอดี้การ์ดพลันเงียบไป จากนั้นความโกรธก็แผ่ลามไปทั่ว “ฉันขี้เกียจจะพูดไร้สาระกับแกแล้ว ตายซะเถอะ!”
บอดี้การ์ดหยิบมีดโค้งเล่มหนึ่งออกมาแล้วพุ่งเข้าหาไป๋ยี่เฟยทันที
“ปัง!”
หลังเกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้นเสียงหนึ่งบอดี้การ์ดก็กระเด็นออกไป
ไป๋ยี่เฟยเดินอย่างแช่มช้ามาหยุดตรงหน้าเขา มองลงมาที่เขาอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า แล้วพูดว่า “ทำไมแกถึงคิดว่าฉันไม่มีบอดี้การ์ดแล้วก็ต้องตายอย่างแน่นอนล่ะ?”
บอดี้การ์ดเงยศีรษะขึ้นด้วยความไม่อยากจะเชื่อเต็มใบหน้า มุมปากของเขายังทิ้งรอยเลือดไว้ “นี่เป็นไปไม่ได้……”
เมืองเทียนเป่ยสำหรับทั่วทั้งประเทศหวาแล้วยังนับว่าเป็นเมืองเล็กๆ ในเมืองเล็กเช่นนี้แม้แต่ยอดฝีมือระดับที่สองจะน้อยจนน่าสงสารแล้ว จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงยอดฝีมือระดับที่หนึ่ง
แต่วันนี้ เริ่มแรกพบผู้หญิงคนนั้น ก็เตะยอดฝีมือระดับที่หนึ่งสองคนจนกระเด็นได้อย่างสบายๆ แล้ว
ต่อมาก็รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนหนานเหมิน พวกเขาพอเข้าใจได้
แต่ตอนนี้ผู้ชายคนนี้เกิดอะไรขึ้นกัน? ชัดเจนว่าเขาเป็นคนแผ่นดินใหญ่ภาคเหนือ ฝีมือของเขาถึงกับเหนือกว่าระดับที่หนึ่งชั้นต่ำ!
ดังนั้น บอดี้การ์ดจึงตกใจมาก หลังตกใจแล้วก็คือความกลัว
ไป๋ยี่เฟยย่อตัวลง กล่าวเสียงเรียบว่า “ดูท่าทางแกจะไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร แต่แกสามารถรู้ว่าฉันอยู่ที่ไหนได้ ไม่แกสืบดูกล้องวงจรปิดตามทางอย่างง่ายดาย ก็ที่ภัตตาคารมีปัญหา”
สีหน้าท่าทางของบอดี้การ์ดยิ่งตกใจมากขึ้นกว่าเดิม พร้อมกันนั้น เขาก็ตระหนักถึงปัญหาหนึ่งได้เสียที จึงรีบถามว่า “แกเป็นใคร?”
ไป๋ยี่เฟยไม่ตอบเขา แต่มองปฏิกิริยาของบอดี้การ์ดแทนแล้วกล่าวว่า “ดูท่าจะเป็นที่ภัตตาคารมีปัญหา”
ตอนที่พวกเขาเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อยแล้ว ในอากาศมีกลิ่นชนิดหนึ่งคล้ายมีคล้ายไม่มี แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้คิดมากถึงขนาดนั้น
ไป๋ยี่เฟยยืนขึ้น กล่าวว่า “ไปกับฉันเถอะ”
บอดี้การ์ดมีความหวาดกลัวเต็มใบหน้า “ไป? ไปไหน?”
ไป๋ยี่เฟยกล่าวเสียงเรียบว่า “นายนี่แปลกจัง นายมาฆ่าฉันไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้แรงจะตอบโต้ยังไม่มี หรือยังหวังว่าฉันจะปล่อยนายไป?”
บอดี้การ์ดได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็ลอบเก็บแรงไว้แล้วยืนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ถือมีดโค้งพุ่งเข้าหาไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยยันเข่าข้างหนึ่ง ถูกที่ข้อมือของบอดี้การ์ด
“ปัง!”
มีดโค้งตกลงบนพื้น พร้อมกับเสียงหนึ่งดังขึ้นมา มือของบอดี้การ์ดหักเสียแล้ว
“อ๊าก!”