ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 2
บทที่ 2
หลี่เสว่เองก็จ้องหลิวจื่อหยุนกลับอย่างสงบนิ่ง : “หนูไม่ได้โง่นะคะ! ตอนนี้มีเพียงต้องขายบ้านหลังนั้นเพื่อที่จะได้เงินมา ไม่อย่างนั้น แม่จะให้หนูทำอย่างไรล่ะคะ?”
คนนะ ไม่ใช่ต้นไม้ ที่จะไม่มีความรู้สึกรู้สาอะไร
สองปีมานี้ ไป๋ยี่เฟยทำตัวหนักเอาเบาสู้มาตลอด แถมยังคอยดูแลเอาใจใส่เธอทุกกระเบียดนิ้ว จนมีครั้งหนึ่งเขายอมโดนต่อยจนจมูกแดงหน้าบวมไปหมด ก็เพื่อเธอ แต่เขากลับยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นอะไร นี่เป็นเรื่องที่เธอไม่มีทางลืมไปชั่วชีวิตแน่ๆ
และยิ่งไปกว่านั้น ช่วงสองปีที่ผ่านมา เธอรู้สึกอย่างชัดเจนว่าไป๋ยี่เฟยเองก็ค่อยๆ มีการเปลี่ยนแปลงจากจุดเริ่มต้น จนสภาพทรุดโทรมอยู่มาก สิ่งที่เขาเองต้องต่อสู้มานั้นมันมากเกินไปจริงๆ
จนปัจจุบัน ถ้าหากน้องสาวเพียงคนเดียวของเขาไม่อยู่ล่ะก็ เธอเองก็ไม่รู้ว่าไป๋ยี่เฟยจะเป็นอย่างไรไป
“จะทำอย่างไรงั้นหรือ? เจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นมันยืมเงินไปเอง ถ้าจะคืนก็ให้เขาเป็นคนคืนเองสิ เอาอะไรมาขายบ้านของตระกูลพวกเรากกัน?” หลิวจื่อหยุนยิ่งพูดกก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น
“แม่คะ! แม่ช่วยใจเย็นๆ หน่อย! สิ่งที่พี่หลี่ฝานทำมันดูไม่มีเมตตาเลยสักนิด หนูไม่อยากให้เขาต้องไปตกหลุมพรางของพี่หลี่ฝานของนะคะ!”
เป็นเพราะน้องสาวของเขาเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เขาต้องไปยืมเงินอย่างไร้หนทางจริงๆ!
แต่เห็นชัดๆ เลยว่าหลี่ฝานตั้งใจทำให้ไป๋ยี่เฟยลำบากและขายขี้หน้า แล้วแบบนี้เธอจะทำเพียงมองเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรได้อย่างไรล่ะ?
“หึ! หลี่ฝานจะมีเมตตาหรือไม่มี แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราล่ะ? สิ่งที่เกิดขึ้นก็เพราะเจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นเลือกเองทั้งนั้น! กลับกันไม่ว่าจะพูดอย่างไร แม่ก็ไม่เห็นด้วยให้ขายบ้านไปหรอกนะ!”
“แม่คะ!” หลี่เสว่เบิกตาจ้องไปยังแม่ของตัวเองเขม็ง เธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่า แม่ของตัวเองจะจริงจังถึงขนาดนี้
ส่วนไป๋ยี่เฟยที่ยืนอยู่ด้านนอกตอนนี้ก็ยืนตะลึงอึ้งไป คิดไม่ถึงเลยว่าหลี่เสว่จะออกปากแทนเขาถึงขนาดนี้
พลันหลี่เสว่ก็พูดเกลี้ยกล่อมขึ้นอีกรอบ : “แม่คะ บ้านน่ะ หลังจากนี้ค่อยซื้อใหม่ก็ได้ แต่ถ้าชีวิตคนหายไปแล้ว มันเอากลับมาไม่ได้นะคะแม่!”
“พูดง่ายจังนะ แล้วลูกไม่ดูสภาพของตระกูลเราตอนนี้บ้างล่ะ? พ่อของลูกก็เป็นคนไร้ประโยชน์เหมือนกัน แทบไม่มีตำแหน่งอะไรในตระกูลหลี่เลยด้วยซ้ำ!” หลิวจื่อหยุนหันไปจ้องหลี่เฉียงตงตาเขม็ง ก่อนจะส่งเสียงหึ : “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าคนไร้ค่าอย่างไป๋ยี่เฟยเลยด้วย! ถ้าหากว่าเจ้านั่นซื้อบ้านได้ล่ะก็ ตอนนั้นหมูก็คงปีนต้นไม้ได้แล้วล่ะ!”
ทางด้านหลี่เฉียงตงก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาอะไร
หลี่เสว่กำหมัดทั้งสองข้างแน่น พลางคิดอยากจะพูดอะไรขึ้นอีก แต่เธอก็ได้ยินหลิวจื่อหยุนพูดก่อนว่า : “เสว่เอ๋อ! ลูกกับเจ้าคนไร้ประโยชน์นั่นเดิมทีก็แค่ทำข้อตกลงแต่งงานกัน ไม่ได้มีความรักอะไรกันไม่ใช่หรือไง ลูกจะไปสนใจอะไรเขามากมายทำไมกัน? อีกอย่างพอข้อตกลงนั้นสิ้นสุด พวกลูกก็หย่ากันแล้ว แล้วเขาก็แทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับลูกเลยสักนิด!”
“ค่ะ พวกเราทำข้อตกลงแต่งงานกัน แต่แม่เคยคิดบ้างหรือเปล่าคะ ว่าพวกเราเองก็อยู่ร่วมกันมาตั้งสองปีแล้ว อีกอย่างหนูก็ไม่ใช่สัตว์เลือดเย็น ที่จะไม่มีความรู้สึกรู้สาอะไรหรอกนะคะ” หลี่เสว่พูดอย่างโมโห “และยิ่งไปกว่านั้น จะพูดอย่างไรก็ตาม เขาก็เป็นถึงสามีในนามของหนูนะคะ!”
ไป๋ยี่เฟยที่ยืนอยู่ด้านนอก พอได้ยินหลี่เสว่พูดคำว่า “สามี” ดวงตาของเขาก็ฉายแววประกายออกมา พร้อมกับสั่นไหวเล็กน้อย ที่แท้เขาที่อยู่ในใจเธอนั้น ก็ยังคงถูกให้ความสำคัญอยู่เสมอ
หลิวจื่อหยุนก็ส่งเสียงหัวเราะอย่างเยาะเย้ย ซึ่งไป๋ยี่เฟยเห็นเสียจนชินไปแล้ว แต่ด้วยหลี่เสว่ที่ยังคงรักษาท่าทีเหมือนเดิมนั้น กลับทำให้เขาแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าอย่างชัดเจน
“หึ! เขาเหมาะที่จะเป็นสามีของลูกหรือไง? ก็แค่เป็นคนไร้ประโยชน์ที่มาเกาะกินตระกูลเราจนตายเท่านั้น! ถ้าหากไม่ใช่เพราะพวกเราคอยอุ้มชูล่ะก็ เขาก็คงจะหิวตายไปนานแล้วล่ะ!” หลิวจื่อหยุนยังคงพูดอย่างจงเกลียดจงชัง “ลูกดูสิว่าจะมีผู้ชายคนไหนที่จะดูสิ้นหวังเหมือนกับเจ้านั่นหรือเปล่า? ถ้าไม่มีข้อตกลงนั้นล่ะก็ แม่ก็คงจะให้ลูกหย่ากับเจ้านั่นไปนานแล้วล่ะ!”
หลี่เสว่รู้สึกทุกข์ใจขึ้นมาทันที พอได้ยินคำพูดเสียดสีจากหลิวจื่อหยุน แต่เธอเองก็เข้าใจดี ว่าไป๋ยี่เฟยไม่ได้อยากจะเปลี่ยนไปเป็นคนแบบนี้จริงๆ!
“แม่คะ! แม่ฟังที่หนูพูดนะ พวกเราจะขายบ้านไปก่อน ส่วนเรื่องหลังจากนี้ก็ค่อยมาว่ากันทีหลังนะคะ!” เธอควรต้องจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นหากผ่านไปหลายวันแล้วล่ะก็ ถึงแม้จะขายบ้านได้ก็ตาม แต่ก็คงจะเอากลับคืนมาไม่ได้แน่นอน
หลิวจื่อหยุนก็ตะโกนลั่นอย่างไม่ยอม : “แม่พูดไปตั้งหลายรอบแล้วนะ แต่ลูกก็ยังจะขายบ้านอยู่อีกหรือ? ลูกแน่ใจแล้วหรือไง? ก็ดี! แต่แม่จะบอกอะไรให้นะ หากลูกกล้าจะขายบ้านจริงล่ะก็ แม่จะกระโดดตึกให้ดู!”
หลี่เสว่ที่ได้ยินหลิวจื่อหยุนพูดแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอ เธอสูดหายใจเข้าลึกโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ก่อนที่จะหันหลังเดินออกมาทางประตูทันที
ไป๋ยี่เฟยรีบไปแอบอยู่มุมหนึ่ง มองดูแผ่นหลังของหลี่เสว่ที่เดินจากไป พลางรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก ที่หลี่เสว่ยอมทะเลาะกับคนในตระกุลเพื่อเขาแบบนี้ แถมยังจะขายบ้านเพื่อเขาอีก แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขารู้สึกซาบซึ้งได้อย่างไร?
หลังจากจดๆ จ้องๆ อยู่นาน ไป๋ยี่เฟยก็พูดอย่างแน่วแน่ว่า : “เสว่เอ๋อ ผมจะให้คุณกลายเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกนี้ให้ได้!”
แต่ก่อนหน้านั้น เขาจำเป็นต้องพยายามทำให้หลี่เสว่หลงรักเขาเสียก่อน แถมยังต้องทำให้พ่อตาแม่ยายยอมรับเขาด้วยใจจริงอีก แบบนั้นถึงจะได้
หลังจากออกมา ไป๋ยี่เฟยก็มองเห็นหลี่เสว่กำลังนั่งสตาร์ทรถอยู่บนรถที่เก่าจนไม่รู้จะเก่ายังไงแล้ว แถมยังต้องสตาร์ทอยู่หลายรอบกว่าจะติด
รถคันนี้ยังเป็นรถมือสองคันแรกที่พวกเขาทั้งสองคน ร่วมใช้เงินกว่าหนึ่งหมื่นเพื่อที่จะซื้อมา แต่ตอนนี้มันก็แทบจะกลายเป็นเศษเหล็กไปแล้ว รถมักจะไปดับกลางทางเสมอ เบรกเองก็แทบจะเบรกไม่อยู่แล้ว
เขามองดูรถคันนั้นขับออกไปไกลแล้ว ในใจของไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกสั่นไหว ก่อนที่เขาจะเรียกรถนั่งไปที่ร้าน 4S ทันที
ตอนนี้ตัวเขาเองก็มีเงินแล้ว อย่างน้อยก็สามารถทำให้ผู้หญิงที่ตัวเองรัก มีรถสักคันที่ปลอดภัยได้ก็ยังดี
ที่หน้าร้าน ไป๋ยี่เฟยยืนมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไป
ขณะนั้นเอง มีผู้หญิงที่สวมกระโปรงครึ่งเข่าดูเซ็กซี่ นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ผ่านมาเห็นไป๋ยี่เฟยเข้าพอดี เธอจึงรีบหันไปตะโกนเรียกคนขับรถ : “หยุดรถด้วยค่ะ เดี๋ยวฉันจะลงตรงนี้ล่ะ”
หลังจากที่จ่ายเงินไป ฝ่ายหญิงก็เดินมาหาเขาด้วยรองเท้าส้นสูง จนเกิดเสียงดังต๊อกแต๊ก จนในที่สุดก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าของไป๋ยี่เฟย “ไป๋ยี่เฟย? นี่นายจริงๆ หรือนี่!”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินแบบนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง “โจวฉวี่เอ๋อหรือ?”
โจวฉวี่เอ๋อมองสำรวจไป๋ยี่เฟยไปมา ก่อนจะพูดอย่างรังเกียจหน่อยๆ : “นี่นายมาทำอะไรที่นี่กันน่ะ?”
โจวฉวี่เอ๋อเป็นเพื่อนสนิทของหลี่เสว่ ซึ่งมิตรภาพของทั้งสองคนดีอย่างมาก
แต่โจวฉวี่เอ๋อก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ดูถูกไป๋ยี่เฟย
“มาที่นี่แล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะ?” ไป๋ยี่เฟยแทบจะหมดคำพูด มาถึงที่นี่ก็ต้องมาซื้อรถไม่ใช่หรือไง?
แต่โจวฉวี่เอ๋อกลับแสดงออกว่าไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด “มาซื้อรถงั้นหรือ? นายมีเงินที่จะซื้อหรือไง?”
ไป๋ยี่เฟยคิดอยู่ครู่หนึ่ง : “พอดีว่าฉันถูกรางวัลมาน่ะ แล้ววันเกิดของเสว่เอ๋อก็ใกล้จะมาถึงแล้ว ก็เลยจะซื้อรถเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดให้พอดี ฉันอยากให้เธอมีความสุขน่ะ หวังว่าเธอจะเก็บเป็นความลับนะ”
แต่โจวฉวี่เอ๋อกลับส่งเสียงจิ๊อย่างไม่พอใจ “นี่นายเห็นฉันเป็นเด็กสามขวบหรือไง! นายมีโชคอะไรแบบนั้นด้วยหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยก็พูด : “…จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่เธอละกันนะ หากเธอไม่มีธุระอะไร ฉันขอตัวเข้าไปก่อนแล้วกัน”
โจวฉวี่เอ๋อเห็นว่าไป๋ยี่เฟยกำลังจะเดินเข้าไป เธอก็เอื้อมมือไปรั้งเขาไว้ ก่อนจะถามขึ้นอีกครั้งว่า : “นี่นายจะมาซื้อรถให้เสว่เอ๋อจริงๆ หรือ?”
“ใช่น่ะสิ” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้ารับ
โจวฉวี่เอ๋อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า : “ก็ได้ ฉันจะไปกับนายด้วย ดูซิว่านายจะซื้อจริงๆ หรือเปล่า!”
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินเข้าไป ไป๋ยี่เฟยก็กวาดตาไปมองรอบๆ ก็เห็นว่าพนักงานขายในร้านทุกคน ต่างก็กำลังต้อนรับแขกอยู่ทุกคนพอดี
ตอนนี้ในร้านมีคนค่อนข้างมาก ทำให้ไม่มีใครมาคอยต้อนรับพวกเขา หลังจากที่เขาดูเสร็จ เขาก็เดินไปที่โซนรถพิเศษที่เขาพอจะเดินไปได้ทันที
โจวฉวี่เอ๋อก็เดินตามหลังเขาไป พร้อมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ไป๋ยี่เฟยนี่นายไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม? นี่นายกำลังจะเดินไปไหนน่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยหันกลับมา พลางมองดูไปที่รถที่มียี่ห้อเหล่านั้น “ไม่ได้ผิดหรอก!”
โจวฉวี่เอ๋อยกมือขึ้นกุมขมับ “นี่นายไม่ได้ดูป้ายราคาหรือไง? อย่างถูกที่สุดก็ตั้งเป็นล้านเลยนะ!”
ในมุมมองของเธอ ถึงแม้ไป๋ยี่เฟยจะมีเงินซื้อรถก็ตาม แต่อย่างมาก ก็คงจะซื้อรถที่ราคาแค่แสนหรือไม่สองแสนก็เต็มกลืนแล้ว
“ฉันรู้แล้วล่ะน่า” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าพูดอย่างเรียบเฉย
โจวฉวี่เอ๋อเองก็ฉุนเฉียวจนคำรามอย่างเบาๆ “นี่นายมีเงินมากขนาดนั้นเลยหรือไง? รถพวกนี้ราคาล้านกว่าเลยนะ ไม่ใช่ราคาร้อยเดียวสักหน่อย! พอถึงเวลาไม่ใช่ว่าซื้อไม่ได้นะ แบบนั้นมันดูขายขี้หน้าไปหน่อย!”
ไป๋ยี่เฟยรู้ดีว่า ไม่ว่าจะพูดอย่างไรโจวฉวี่เอ๋อก็คงไม่เชื่อแน่ สู้ไปซื้อก่อนสักคันเลยจะดีกว่า
โจวฉวี่เอ๋อที่เห็นไป๋ยี่เฟยทำท่าทางแบบนั้น เธอก็โมโหเสียจนอยากจะตบหน้าเขา นี่เขาอยากจะมาทำตัวขายขี้หน้าต่อคนอื่นจริงๆ หรือเนี่ย?
ขณะนั้นเอง ในที่สุดก็มีพนักงานขายที่ว่างแล้วคนหนึ่งเดินเข้ามาหา แต่พอมองเห็นการแต่งตัวของไป๋ยี่เฟยกับโจวฉวี่เอ๋อเข้า รอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูจอมปลอมขึ้นเยอะทีเดียว
“ไม่ทราบว่ามาดูรถกันใช่ไหมคะ คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง?” พนักงานขายที่พูดว่ามาดูรถ เธอก็หมายความว่าแบบนั้นจริงๆ
แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ได้เข้าใจในความหมายนั้น จึงพยักหน้าพูดว่า : “ครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่น่ะครับ มีรุ่นไหนที่ระบบความปลอดภัยดีที่สุดบ้างไหมครับ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของพนักงานขายก็แข็งทื่อไปหน่อย แต่ก็ยังพยายามพูดตามหน้าที่ : “ถ้าอย่างนั้นระบบของรถรุ่น Levante นี่ดีที่สุดเลยล่ะค่ะ มีระบบความปลอดภัยระดับสูง แถมยังเป็นรุ่นพิเศษ ปัจจุบันนี้ร้านเรามีเหลือแค่คันเดียวเท่านั้นนะคะ”
โจวฉวี่เอ๋อที่มองตามมือของพนักงานขายไป เธอก็เบิกตาโตขึ้นทันที
สองล้าน! นี่เขาบ้าไปแล้วหรือไง!
แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก ก่อนจะพยักหน้าพูดขึ้นต่อ : “โอเคครับ ถ้าอย่างนั้นพอจะเปิดรถ ให้ผมลองไปนั่งดูหน่อยได้ไหมครับ?”
สีหน้าของพนักงานขายก็ยิ่งแข็งทื่อลงไปอีก “แน่ใจหรือคะคุณผู้ชาย?”
“แน่ใจสิครับ” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า
พนักงานขายสูดลมหายใจเข้าลึก พร้อมทั้งพยายามรักษารอยยิ้มบนใบหน้าอย่างสุดกำลัง “คุณผู้ชายคะ สำหรับลูกค้าท่านอื่นน่ะได้ แต่สำหรับคุณคงไม่ได้หรอกนะคะ”
“หืม? ทำไมล่ะครับ?” ไป๋ยี่เฟยนิ่งอึ้งไป
โจวฉวี่เอ๋อเองก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา ก่อนจะรีบออกห่างจากเขาทันที
ซึ่งตอนนี้ใบหน้าของพนักงานขายไร้ซึ่งรอยยิ้มไปแล้ว “คุณผู้ชายคะ รถคนนั้นใช้เพื่อเปิดให้คนอื่นทดลองนั่งด้วย แถมยังเป็นรุ่นพิเศษ หากคุณขึ้นไปลองแล้วเกิดมีกลิ่นอะไรติดขึ้นมา หรือทำให้รถเสียหาย ดิฉันกลัวว่าคุณจะชดใช้ไม่ไหวนะคะ”
ทันใดนั้นไป๋ยี่เฟยก็เข้าใจได้ทันที ว่าอีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเขาเองนั้น เหมือนกับคนที่สกปรกมอมแมมเท่านั้น ก่อนที่เขาจะยิ้มให้อย่างไม่ใส่ใจ “ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่ลองแล้วล่ะ แต่ให้เธอลองได้หรือเปล่าครับ?”
พนักงานขายมองตามไป ก็เห็นโจวฉวี่เอ๋อที่มาด้วยกันกับไป๋ยี่เฟยพอดี
โจวฉวี่เอ๋อที่เห็นดังนั้นก็ประหลาดใจ “ให้ฉันเป็นคนลองหรือ?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “นอกจากเธอ ก็คงไม่มีคนอื่นแล้วล่ะ”
โจวฉวี่เอ๋อเดินเข้ามาใกล้ ทำให้พนักงานขายคนนั้นขมวดคิ้วแน่น แต่ขณะที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ด้านหลังของพวกเขาก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น
“รีบมาดูรถคันนั้นสิที่รัก มันดูดีมากๆ เลยนะ!”