ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 202
บทที่202
“เรื่องมันยังไม่จบ พูดแบบนี้มันเร็วเกินไป จะทำให้ตัวเองหน้าแตกกว่าเดิมได้นะ”
“ไป๋ยี่เฟย คุณพูดพอแล้วยัง?”หลิ่วอู๋ฉงแทบจะหมดความอดทนแล้ว
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า“พูดพอแล้ว แต่ว่า คุณควรจะรับประกันสักหน่อย ว่าสิ่งที่คุณพูด เป็นเรื่องจริงหรือว่าโกหกกันแน่?”
หลิ่วอู๋ฉงสำลัก สบถหึออกมา“ได้ ผมจะให้คุณรู้อย่างแจ่มแจ้งเดี๋ยวนี้เลย ว่าสรุปแล้วสิ่งที่ผมพูดมันจริงหรือไม่?”
พูดจบ หลิ่วอู๋ฉงก็มองไปยังเซียวเถิงแห่งเยว่หยากรุ๊ป
เซียวเถิงพอเห็นแบบนี้ก็ยืดตัวตรงทันที กำลังจะพูดอะไร แต่มือถือของเขาก็ดังขึ้นมาก่อน เซียวเถิงก็รีบขอโทษทันที“ทานโทษด้วยครับ ผมขอรับโทรศัพท์ก่อน”
ผู้คนต่างจ้องมองเขา รู้สึกสงสัยไม่น้อย สายจากไหนกันถึงได้สำคัญกว่าในช่วงเวลาแบบนี้?
หลังจากที่เซียวเถิงรับสายแล้ว สีหน้าก็นิ่งลึกทันที ปากพูดขึ้น“ผมทราบแล้วครับ”
ผู้คนพอเห็นแบบนี้ก็ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก
ส่วนในใจของหลิ่วอู๋ฉงเต้นอย่างรุนแรง เหมือนพอจะคาดการณ์ได้ว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น
เป็นอย่างที่คิดไว้
หลังจากที่เซียวเถิงวางสายลง สีหน้าก็ขึงขังจริงจัง“เมื่อตะกี้การเงินมารายงานกับผม ว่าเงินทุนของเยว่หยา ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถูกธนาคารอายัดบัญชีไว้ทั้งหมดแล้ว”
“อะไร?”
ผู้คนเริ่มฮือฮาขึ้น
หลิ่วอู๋ฉงโกรธสุดๆ
โฮสต์อึ้งตะลึง
นี่มันอะไรกัน? หรือว่าเขาเลือกผิดคนกัน?
ผู้คนต่างหันหน้ามองกัน
บรรยากาศอึดอัดไม่น้อย
หลิ่วอู๋ฉงจ้องไป๋ยี่เฟยตาเขม็ง“เป็นเรื่องที่คุณทำขึ้นสินะ?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหัว“คุณหลิ่ว ผมไม่ได้มีความสามารถมากขนาดนั้น”
“นี่คุณ!”หลิ่วอู๋ฉงโกรธจนพูดไม่ออก แต่ด้วยเหตุนี้ก็สงบนิ่งลง ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ที่ความสามารถมากขนาดที่ถึงขั้นทำให้ธนาคารไปอายัดบัญชีเงินทุนของบริษัทไหนได้ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ตอนนี้ไม่ทันได้คิดถึงเรื่องพวกนี้ แต่ไม่เป็นไร ก็แค่เยว่หยากรุ๊ปบริษัทเดียวเท่านั้น ฉันยังมีบริษัทอื่นอีกตั้งห้าบริษัท เงินทุนก็เพียงพอแล้ว
ถึงยังไงก็ตาม ความคิดของหลิ่วอู๋ฉงใสซื่อเกินไป
“คุณหลิ่ว เงินทุนของบริษัทพวกเราก็ถูกอายัดแล้วเหมือนกัน” ตู้ไป่จุนลุกขึ้นยืนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หลิ่วอู๋ฉงสูดหายใจลึกๆไปหนึ่งที ยังไม่ได้พูดอะไร ต่อมาประธานจากสามบริษัทก็ลุกขึ้นยืน พูดด้วยประโยคเดียวกัน
“เงินทุนของบริษัทพวกเราก็ถูกอายัดเหมือนกัน……”
“ผมก็ด้วย……”
“ผมก็ด้วย……”
หลิ่วอู๋ฉงจ้องประธานทั้งห้าคน“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ประธานซานเฉินกรุ๊ปฝานถงพูดตอบกลับอย่างหมดความอดทน“พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกัน สาเหตุไม่แน่ชัด”
“ใช่ๆ!”สี่คนที่เหลือพูดเสริม
หลิ่วอู๋ฉงได้ยินประโยคนี้ เหมือนกับกำลังถูกแล่เนื้อเถือหนัง ทุกประโยค หลิ่วอู๋ฉงสามารถรู้สึกได้ถึงใจของตัวเองที่กำลังถูกกรีดด้วยมีดอย่างแรง
ผู้คนเห็นแบบนี้ก็พากันเอียงคอมองอย่างตั้งใจ สิ่งที่ไป๋ยี่เฟยเพิ่งจะพูดไปเมื่อตะกี้เป็นความจริง!
รู้สถานการณ์ก่อนแล้ว ก็เลยเป็นแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?
เขาไม่ใช่มาถามนู้นถามนี่เพราะว่าสู้ไม่ชนะ แต่กำลังพูดความจริงอยู่ต่างหาก
น่าขำที่ก่อนหน้านี้ทุกคนยังหัวเราะเยาะไป๋ยี่เฟยอยู่เลย พอมาตอนนี้ขนาดตดยังไม่กล้าเลย
ส่วนหลงหลิงหลิงกับจางหรง สีหน้าปีติยินดี ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆหนึ่งเฮือก
ในที่สุดหลิ่วอู๋ฉงก็เริ่มตื่นตระหนกแล้ว
แม้ว่าเมื่อตะกี้ไป๋ยี่เฟยจะอธิบายไปแล้ว แต่สถานการณ์ในตอนนี้ อาจจะเป็นเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายของไป๋ยี่เฟย ไม่อย่างนั้นจะทำให้บริษัททั้งห้าแห่งเกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นมาในเวลาเดียวกันได้ยังไง?
ในขณะนี้เอง จู่ๆก็มีเสียงหัวเราะของหลิ่วอู๋ฉงดังขึ้นมา“ฮ่าๆๆ……ไป๋ยี่เฟย คุณลืมไปแล้วใช่ไหม ว่าผมไม่ได้ทำงานร่วมกับแค่บริษัทพวกนี้ ผมยังมีจู้ติ่งอยู่!”
พอพูดจบ ผู้คนก็พากันตื่นตกใจ ฉุกคิดขึ้นได้ทันที
ใช่ๆ เมื่อตะกี้ประธานจู้ติ่งยังชูป้ายให้กับหลิ่วอู๋ฉงอยู่เลยนี่นา!
โฮสต์พอเห็นแบบนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด“ใช่แล้ว!คุณหลิ่วมีจู้ติ่งเป็นแบคอยู่ข้างหลัง เงินสองพันล้านนี่มันจิ๊บๆอยู่แล้ว”
หลิ่วอู๋ฉงสบถหึ“ไป๋ยี่เฟย เขาก็เป็นคนของผมเหมือนกัน แค่ผมเปิดปากพูด เขาจะต้องเอาเงินให้ผมแน่นอน!”
“แต่ก็ต้องยอมรับนะ ว่าคุณยังมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ว่า ยังอ่อนหัดเกินไป!”
แต่ไป๋ยี่เฟยกลับไม่ได้มีสีหน้าท่าทางอะไร เพียงแค่พูดขึ้นอย่างนิ่งๆ“คุณพูดถูกต้อง ผมยังเด็กไปจริงๆ คุณแก่แล้ว มีประโยคหนึ่งบอกว่าในแม่น้ำฉางเจียงยังมีคลื่นลูกหลังไล่กระแทกคลื่นลูกหน้า บนโลกใบนี้ก็มีคนรุ่นใหม่ตามมากระทบคนรุ่นเก่าเช่นกัน”
หลิ่วอู๋ฉงแทบจะสำลัก
ไป๋ยี่เฟยพูดขึ้นต่อ“ที่จู้ติ่งชูป้ายให้คุณเมื่อตะกี้ถูกต้องแล้ว แต่ผมแนะนำถ้าให้ดีคุณลองถามประธานของจู้ติ่งดูสักหน่อย ตอนนี้เขาเต็มใจที่จะออกเงินแทนคุณหรือเปล่า”
หลิ่วอู๋ฉงหลังจากได้ยินก็ขำ“แน่นอนว่าเต็มใจอยู่แล้ว เขาเป็นคนของผม!”
“อย่างนั้นเหรอ?”ไป๋ยี่เฟยถามขึ้นอย่างลอยๆเบาๆ
หลิ่วอู๋ฉงพอได้ยินแบบนั้นก็หันไปมองข้างหลัง เห็นประธานของจู้ติ่ง ซุนเหว่ยกำลังนั่งอยู่ตรงนั้นพอดี เลยมองเขาอย่างมีเลศนัย ยิ้มพร้อมกับเรียก“ประธานซุน”
หลังจากที่ซุนเหว่ยได้ยิน ก็จงใจเพิกเฉยสายตาของเขา ลุกขึ้นพูด“คุณหลิ่ว ต้องขอประทานโทษด้วยจริงๆ เมื่อตะกี้เลขารายงานกับผมว่ามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการ ผมต้องขอตัวไปก่อนล่ะ”
หลิ่วอู๋ฉงพอได้ยินแบบนั้นสีหน้าก็นิ่งขรึม“ประธานซุน คุณต้องคิดให้ดีๆนะ ว่าเรื่องไหนมันสำคัญกว่ากัน? ”