ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 265
บทที่ 265
เธอไม่ได้เห็นไป๋ยี่เฟยมาหลายวันแล้ว
ไป๋ยี่เฟยไม่ต้องการเธอแล้วใช่หรือไม่? เธอไม่อยากถูกทอดทิ้ง……
พอคิด ตาของหลี่เสว่ก็แดงขึ้นมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
ตอนนี้หลงหลิงหลิงสีหน้าก็ไม่สู้ดีเช่นกัน ถลึงตามองเย่อ้ายอย่างไม่พอใจ
“เรื่องของประธานกรรมการ ยังไม่ถึงคราวที่พวกคุณจะมาพูด”
เย่อ้ายยิ้ม “แต่ที่ฉันพูดคือเรื่องจริง!”
ซุนฮุยพยักหน้าเห็นพ้อง “ใช่แล้ว พวกคุณปิดบังเรื่องที่ประธานกรรมการแหกคุกและทำผิดกฎหมายมาตลอด ทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรมกับกรรมการท่านอื่นๆ เลย คุณดูสิตอนนี้โหวจวี๋ขาดทุนลงทุกวัน หากไม่มีกรรมการเหล่านี้คอยพยุงไว้ โหวจวี๋คงจบสิ้นไปนานแล้ว”
“ผมว่าพวกคุณคงจงใจสินะ? อยากให้กรรมการเหล่านี้มาแบกหายนะให้ประธานกรรมการของพวกคุณ!”
“เหลวไหล” หลงหลิงหลิงกล่าวอย่างโกรธๆ “พวกเราไม่ทำแบบนั้น!”
พวกกรรมการต่างโกรธกันมาก
“คุณนายประธานกรรมการ คุณพูดอะไรหน่อยสิ!”
แต่ตอนนี้ไหนเลยหลี่เสว่ยังจะพูดอะไรออกมาได้? เย่อ้ายเห็นดังนี้แววตาก็วาวโรจน์ “ฉันว่าพวกคุณถูกหลอกอีกแล้ว”
“อะไรนะ?”
พวกเขาไม่เข้าใจความหมาย
เย่อ้ายกวาดตามองไปที่ทุกคน พลางกล่าวว่า “คุณนายประธานกรรมการคนนี้ของพวกคุณ ภายนอกดูไม่มีอะไร แต่ความเป็นจริงนั้น……”
พอพูดมาถึงตรงนี้ เย่อ้ายก็หยุดชะงักไป
หัวใจของหลงหลิงหลิงพลันเต้นโลดมาถึงคอหอย เย่อ้ายรู้เรื่องของหลี่เสว่แล้ว!
“กรรมการเย่ ไม่ใช่จะมาพูดเรื่องรับซื้อโหวจวี๋หรือคะ?” หลงหลิงหลิงส่งเสียงห้ามไว้ทันที
เย่อ้ายยิ้มพลางกล่าวว่า “ผู้ช่วยหลง เรื่องนี้กับการรับซื้อโหวจวี๋มีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก ฉันรู้สึกว่าจำเป็นต้องพูดออกมาให้ทุกคนรู้อย่างชัดเจน”
หลงหลิงหลิงร้อนใจอย่างมาก “กรรมการเย่……”
เย่อ้ายไม่ให้โอกาสหลงหลิงหลิงได้พูด เธอกล่าวว่า “คุณนายประธานกรรมการ หลี่เสว่ สติปัญญาตอนนี้ของเธอเท่ากับเด็กห้าถึงหกขวบเท่านั้น ล้วนเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่รู้ความอะไร!”
“พวกคุณทุกคนถูกพวกเธอหลอกแล้ว!”
“อะไรนะ?”
ทุกคนเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง
หลงหลิงหลิงสีหน้าซีดขาว
ทั้งห้องเงียบกริบ หลังผ่านไปพริบตาเดียวก็ระเบิดเสียงเซ็งแซ่
“นี่มันคือเรื่องอะไรกัน?”
“ผู้ช่วยหลง คุณนายประธานกรรมการมีสติปัญญาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งจริงๆ หรือ?”
“ผู้ช่วยหลง เรื่องสำคัญอย่างนี้ คุณถึงกับปิดบังพวกเรา แถมยังพาเธอมาแทนตำแหน่งประธานกรรมการอย่างออกนอกหน้าอีก คุณมีเจตนาอะไรกันแน่?”
“……”
จางหรงไม่ได้เข้าร่วมซักถามกับพวกเขา ทำเพียงแค่มองหลี่เสว่อย่างตกตะลึง เมื่อวานไม่ได้สังเกต ตอนนี้พอมองดูก็มีปัญหาจริงๆ ด้วย หลี่เสว่ไม่กล้าพูดอะไรโดยสิ้นเชิง ดวงตาก็แดงก่ำ
หากไม่ใช่เย่อ้ายพูดออกมา บางทีพวกเขาอาจจะไม่มีทางรู้ก็ได้
อารมณ์ของจางหรงสับสนอย่างมาก
เย่อ้ายโค้งมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม “ทุกท่านสงบลงก่อน”
“ตอนนี้สถานการณ์ชัดเจนมากแล้ว ประธานกรรมการของโหวจวี๋ไป๋ยี่เฟยทำผิดกฎหมายแหกคุก ส่วนคุณนายประธานกรรมการก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ยากจะจัดการเรื่องใหญ่ได้ ตอนนี้โหวจวี๋กำลังเผชิญหน้ากับการขาดทุนกว่าร้อยล้านทุกวัน ถ้าอย่างนั้น การถูกรับซื้อจึงเป็นทางออกเพียงทางเดียวของพวกคุณ”
สิ้นคำ ทุกคนต่างมองกันไปมา
เวลานี้ ซุนฮุยก็ยืนขึ้น “เป็นเช่นนี้จริงๆ พวกคุณอย่าลังเลอีกเลย ลังเลนาทีหนึ่ง ก็คือการขาดทุนร่วมแสน”
เย่อ้ายมองไปที่กลุ่มนักกฎหมายของตัวเอง จากนั้นก็ส่งสายตาบอกเป็นนัย
นักกฎหมายหยิบสัญญาฉบับหนึ่งจากในกระเป๋าเอกสารยื่นไปตรงหน้าหลงหลิงหลิงอย่างรู้งาน
“นี่เป็นสัญญาการรับซื้อ”
หลงหลิงหลิงไม่ได้รับไป นักกฎหมายจึงวางมันไว้บนโต๊ะแทน โดยวางตรงหน้าหลี่เสว่พอดี
เย่อ้ายเห็นเช่นนี้ก็พูดอีกว่า “ตอนนี้ สามารถเซ็นสัญญาการรับซื้อฉบับนี้ได้แล้วใช่ไหม?”
พวกกรรมการเห็นเช่นนี้ก็ไม่มีใครส่งเสียงคัดค้านใดๆ เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว ก็แค่เป็นการเปลี่ยนเจ้านายคนใหม่เท่านั้น ขอเพียงผลประโยชน์ของพวกเขายังอยู่ เรื่องอื่นใดก็ไม่สนใจ
หลี่เสว่มองสัญญาที่วางอยู่ตรงหน้าอย่างมึนงง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
หลงหลิงหลิงมองใบหน้าของเจ้าตัว สูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง “กรรมการเย่ หากต้องการรับซื้อโหวจวี๋ จำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบจากประธานกรรมการก่อน”
“แต่คุณนายประธานกรรมการ คุณเองก็บอกแล้วตอนนี้เธอเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องของโหวจวี๋ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจเซ็นแทนประธานกรรมการได้”
“หากคุณยืนกรานจะให้คุณนายประธานกรรมการเซ็น ถ้าอย่างนั้นฉันคงทำได้เพียงไปแจ้งตำรวจแล้ว”
ชักจูงเด็กน้อยที่ไม่รู้ประสาคนหนึ่งให้เซ็นเอกสาร เพื่อให้ได้โหวจวี๋กรุ๊ปบริษัทยักษ์ใหญ่มาไว้ในกำมือ นี่เท่ากับเป็นการต้มตุ๋นไม่ใช่หรือ?
“เธอ!” เย่อ้ายหน้าง้ำ เมื่อกี้เธอคิดถึงเพียงอาการของหลี่เสว่ เพื่อให้กรรมการมาอยู่ฝ่ายตน จึงมองข้ามในจุดนี้ไป
ซุนฮุยเห็นเช่นนี้ก็รีบเอ่ยปากทันที “ในเมื่อเธอเซ็นไม่ได้ งั้นก็ให้กรรมการคนอื่นๆ ของพวกคุณมาเซ็นสิ หลังกรรมการทุกคนเซ็นแล้ว ยังไม่เพียงพอให้ตัดสินใจในเรื่องของโหวจวี๋อีกหรือ?”
หลงหลิงหลิงได้ยินก็เย้ยหยันออกมา “ไม่ได้แน่นอน”
“อะไรนะ?”
ซุนฮุยชะงักไป
ตามหลักแล้ว ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ประธานกรรมการคือผู้ที่ถือหุ้นมากที่สุด แต่ตอนที่กำลังประชุมกรรมการ ผู้ที่ถือหุ้นน้อยจะต้องฟังมากกว่าพูด เว้นเสียแต่ว่าจะถือหุ้นมากกว่าประธานกรรมการห้าสิบเปอร์เซ็นต์
พอพวกกรรมการของโหวจวี๋ได้ยินก็หลบสายตาอย่างกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง
หลงหลิงหลิงกล่าวอย่างราบเรียบว่า “พวกกรรมการทุกคนที่อยู่ที่นี่เมื่อนำหุ้นมารวมกันแล้วยังได้แค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น จึงตัดสินใจในเรื่องของโหวจวี๋ไม่ได้โดยสิ้นเชิง”
ซุนฮุยไม่เข้าใจการแบ่งหุ้นในโหวจวี๋มากเท่าไหร่นัก หลังฟังมาถึงตรงนี้ จึงยากที่จะเชื่อ
แสดงว่าไป๋ยี่เฟยคนเดียวถือหุ้นของโหวจวี๋ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์?
นี่……จะเป็นไปได้อย่างไร?
เย่อ้ายกลับไม่ได้สนใจ คราวก่อนตอนที่ให้หลี่ฝานมาเขาก็รู้แล้ว อีกอย่างหุ้นแปดสิบเปอร์เซ็นต์นั่นไม่ได้อยู่ภายใต้ชื่อของไป๋ยี่เฟยด้วยซ้ำ
ครั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องอย่างคราวก่อน เธอจึงตั้งใจพากลุ่มนักกฎหมายฝีมือฉกาจมาที่นี่โดยเฉพาะ ขอเพียงเซ็นแล้ว ก็สามารถพูดดำให้กลายเป็นขาวได้
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร? เพราะไป๋ยี่เฟยไม่มีหุ้นแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว”
สิ้นคำ ซุนฮุยชะงักไปอีกครั้ง
ไม่มีหุ้น นี่มันอะไรกัน?
เย่อ้ายกล่าวอีกครั้ง “แต่ ไป๋ยี่เฟยเป็นประธานกรรมการ ควรจะให้เขาเป็นผู้ตัดสินใจจริงๆ แต่สำคัญตรงที่ตอนนี้เขาแหกคุกออกมาแล้ว ต่อไปไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว”
พอพูดถึงตรงนี้ ซุนฮุยก็ไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นแล้วเช่นกัน กล่าวรับคำว่า “กรรมการเย่พูดถูก คนที่แหกคุกมาครั้งหนึ่งแล้ว ต่อไปจะได้กลับมาหรือไม่ก็ยังคงเป็นปัญหา ไม่แน่ว่าวันไหนอาจจะตายอยู่ข้างนอกด้วยสาเหตุอะไรก็ยังไม่รู้
“กรรมการซุน คุณหมายความว่ายังไง?” หลงหลิวหลิงมองซุนฮุยอย่างโกรธเคือง
ซุนฮุยเลิกคิ้ว “ที่ผมพูดมาคือเรื่องจริง ปกติแล้วชีวิตของนักโทษหลบหนีไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างพวกคุณจะจินตนาการได้ ยิ่งกว่านั้น ต่อให้เขาไม่ตายอยู่ข้างนอก ถูกจับกลับมาก็ต้องถูกตัดสินโทษอยู่ดี!”
“แหกคุก ถือเป็นโทษร้ายแรง!”
หลงหลิงหลิงกำมือตัวเองแน่น คำพูดนี้ เธอโต้แย้งไม่ได้โดยสิ้นเชิง