ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 391
บทที่ 391
“คุณ ตื่นแล้วเหรอ!” น้ำเสียงของหญิงสาวคนนั้นดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าเบาๆ
หญิงสาวคนนั้นส่งเสียงเย็นชา แล้วหันหลังไปเรียกหัวหน้าที่อยู่ห้องข้างๆ
ไป๋ยี่เฟยพูดขึ้นทันที “เดี๋ยวก่อน … ”
“มีอะไร? ” หญิงสาวหันกลับมาอย่างหงุดหงิด ดวงตาที่กลมโตคู่นั้นจ้องไปที่ไป๋ยี่เฟย “มีเรื่องอะไรก็รีบพูดมา! ”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้ว และพูดอย่างเขินอายว่า “คุณรอผมเข้าห้องน้ำก่อนได้ไหม?”
หญิงสาวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตะโกนว่า “ไอ้โรคจิต! ให้ผู้หญิงคนเดียวรอนายเข้าห้องน้ำเนี่ยนะ? ไม่มีทางหรอก! ”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!
“ผมหมายถึง … รอผมไปเข้าห้องน้ำ … ” ไป๋ยี่เฟยยังไม่ทันพูดจบ หญิงสาวก็ส่งเสียงเย็นชา “เข้าห้องน้ำกับตูดอะไร! กลั้นไว้สิ!”
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกอึดอัด เพราะเขากลั้นไว้นานมากแล้ว แต่ผู้หญิงคนนี้กำลังรีบที่จะไปแจ้งหัวหน้าของเขา ซึ่งหากไปช้ากว่านี้ พวกเขาจะต้องโดนซักถามอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกลั้นตลอดได้
“เดี๋ยวก่อน รอผมเข้าห้องน้ำให้เสร็จก่อน แล้วคุณค่อยไปเรียกหัวหน้าของพวกคุณก็ได้” ไป๋ยี่เฟยสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามอย่างมาก ที่จะพูดประโยคนี้ให้จบอย่างรวดเร็วที่สุด
พอพูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็หอบหายใจอย่างหนัก เพราะเขามีอาการเจ็บที่หน้าอก ปอด และหลัง ดังนั้นจึงทําให้ทั้งใบหน้าของเขาซีดเป็นอย่างมาก
หญิงสาวนิ่งอึ้งไป เมื่อเห็นไป๋ยี่เฟยอาการหนักขนาดนั้น ก็ทำให้หล่อนรู้สึกผิดไปครู่หนึ่ง แต่พอคิดขึ้นว่าเขาก็เป็นแค่ฆาตกรโรคจิตคนหนึ่ง กลับทำให้หล่อนรู้สึกว่าปล่อยให้เขาทรมานจนตายนั่นแหละเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว
“งั้นนายก็ไปเข้าซะ!” หญิงสาวส่งเสียงเย็นชา และยืนอยู่ข้างๆ
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า และดึงผ้าห่มออกเตรียมจะลงจากเตียง แต่อาการบาดเจ็บบนร่างกายของเขานั้นเจ็บปวดเกินไป เขายังไม่ทันได้ขยับตัวเลย ก็รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว แค่เพิ่งลุกขึ้นนั่ง ก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงที่จะเดินไปเข้าห้องน้ำแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้นหญิงสาวก็เม้มปากและพูดว่า “นี่นาย ให้ช่วยไหม?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น “ขอบคุณ”
“เฮ้อ เสียเวลาคุยฉิบหาย!” หญิงสาวเดินเข้าไปอย่างไม่พอใจ ประคองไป๋ยี่เฟยให้ลุกขึ้นยืน แล้วพาเขาไปที่ห้องน้ำในห้องผู้ป่วย
ระหว่างนั้น ไป๋ยี่เฟยเดินอย่างเชื่องช้ามาก เนื่องจากเจ็บแผลเกินไป
หญิงสาวคนนั้นเริ่มหงุดหงิด “ เดินให้เร็วกว่านี้หน่อยจะได้ไหม ทำไมชักช้าอย่างนี้ คิดเรื่องเลวๆอีกแล้วใช่ไหม? ฉันจะบอกให้นะ นายอย่าได้คิดหนีอีก เพราะไม่ว่ายังไงนายก็หนีไม่ได้หรอก!”
ไป๋ยี่เฟยเจ็บจนพูดไม่ออก คิดแต่เพียงว่าจะแก้ไขทุกอย่างให้เร็วที่สุดแล้วกลับไปนอนพัก
หญิงสาวคนนั้นยังคงพูดต่อไปว่า “ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกลูกคนรวยคิดยังไงกันอยู่ มีเงินก็แค่ใช้จ่ายไปเรื่อยแค่นั้น ทำไมต้องไปฆ่าคนด้วย การฆ่าคนเท่ากับการฆ่าตัวเองเลยนะ”
“สมองคงมีปัญหามั้งถึงได้ไปฆ่าคน!”
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงประตูห้องน้ำ หญิงสาวคนนั้นก็ปล่อยเขาไป จากนั้นไป๋ยี่เฟยก็เดินเข้าไปด้วยความยากลำบาก ปิดประตู พร้อมกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก และคิดว่า โอ้แม่เจ้า นี่มันตำรวจอะไรกัน? ทำไมถึงบีบบังคับเก่งขนาดนี้?
ไม่กี่นาทีต่อมา ในที่สุดไป๋ยี่เฟยก็กลับมาถึงที่เตียงผู้ป่วยอีกครั้ง โดยเขานั้นพิงตัวพักผ่อนตรงหัวเตียง ทำให้เขารู้สึกค่อยสบายตัวขึ้นมาหน่อย ซึ่งตราบใดที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เขาก็จะไม่รู้สึกเจ็บขนาดนั้น
หลังจากที่หญิงสาวคนนั้นประคองไป๋ยี่เฟยไว้บนเตียงสีเทาแล้ว หล่อนจึงหยิบกุญแจมือออกมาคู่หนึ่ง เพื่อเป็นการป้องกันความปลอดภัย
เสียงล็อกกุญแจมือดังขึ้น ไป๋ยี่เฟยถูกใส่กุญแจมือไว้กับหัวเตียง
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าคุณไม่ใส่กุญแจมือผม ผมก็จะไม่หนีไปหรอก”
“ฉันไม่เชื่อในสิ่งที่นายพูดหรอก!” หญิงสาวส่งเสียงเย็นชาเบาๆ แล้ววิ่งไปหา กู่หรงที่อยู่ในห้องข้างๆ
หล่อนเพิ่งจะออกไป ก็เห็นกู่หรงเดินออกมาแล้ว ทั้งตําแหน่งที่ยืนอยู่ก็ใกล้มาก แค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงหน้าประตูแล้ว
ฝั่งตรงข้ามของกู่หรง มีคนเจ็ดแปดคนยืนอยู่ โดยคนที่เป็นผู้นํานั้นคือคนที่สวมเสื้อโค้ต และมีหนวดเครารุงรัง ส่วนด้านหลังเขานั้นตามมาด้วยผู้หญิงสองคนและบอดี้การ์ดอีกหกคน
“ขอโทษด้วยนะครับ พอดีไม่สามารถเข้าพบผู้ต้องสงสัยได้ในขณะนี้ ” กู่หรงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง ฉุงเฉ่าเจว๋ พูดขึ้นว่า “ทำไมถึงเข้าพบไม่ได้? รู้ไหมว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าคุณคือใคร?”
กู่หรงไม่รู้ และการคาดเดาฐานะของเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน
ฉุงเฉ่าเจว๋พูดด้วยตัวเองว่า “คุณตํารวจครับ ผมเป็นพ่อของผู้ตาย แค่ดูหน้าคนที่ฆ่าลูกชายผม คงไม่ผิดใช่ไหมครับ”
กู่หรงผงะ “ผู้ตายคนไหนครับ?”
นั่นคือสิ่งที่ผมถาม แต่ในความจริงมันมีการคาดเดาไว้แล้ว
“ฉุงโยวเวย。”
กู่หรงคิดในใจว่า “ที่แท้เขาก็คือครอบครัวของฉุงโยวเวยนั่นเอง
อย่างไรก็ตามกู่หรงก็ยังยืนยันที่จะพูดว่า “ขอโทษด้วยครับ ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะครับ แต่ยังไม่สามารถเข้าพบได้จริงๆครับ ในการสอบสวนที่ผ่านมา คนในครอบครัวของผู้ตายยังไม่พร้อมที่จะพบผู้ต้องสงสัย หากอยากเข้าพบจริง คงต้องรอจนกว่าจะมีการ เปิดศาลพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการนะครับ”
ฉุงเฉ่าเจว๋สีหน้ามืดครึ้ม “ผมแค่มาเยี่ยม ไม่ทำอะไรเขาหรอก”
กู่หรงรู้สึกเสียหน้า “นี่คุณ…”
“ผมจะเข้าไปคนเดียว คนอื่นๆจะอยู่รอข้างนอก ส่วนพวกคุณเข้าไปกับผม ทำอย่างนี้คุณคงวางใจได้แล้วนะ?”
กู่หรงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “ได้ ! งั้นผมจะพาคุณเข้าไปเอง”
ในตอนนั้นเอง หญิงสาวคนนั้นก็เดินเข้ามา แล้วมองไปที่ กู่หรง กู่หรงก็เข้าใจได้ในทันที และรู้ว่าไป๋ยี่เฟยฟื้นแล้ว
ทั้งสามคนนั้นก็เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยด้วยกัน
เมื่อไป๋ยี่เฟยเห็นคนมา เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กู่หรงกับตํารวจหญิงคนนี้นั้นเขารู้จักดี แต่คนที่ใส่เสื้อโค้ต และใบหน้าที่มืดครึ้มคนนี้ล่ะเขาเป็นใครกันแน่? หรืออาจเป็นผู้กอง?
ไม่แปลกใจเลยที่ไป๋ยี่เฟยจะคิดอย่างนี้ เพราะในการฆาตกรรมครั้งนี้เขาฆ่าคนไปหกคน ซึ่งหนึ่งในนั้นยังเป็นคุณชายของตระกูลฉุงในเมืองหลวงอีก การที่จะทําให้ผู้กองตกใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ไป๋ยี่เฟยคิดผิดไปเอง
“คุณคงเป็นไป๋ยี่เฟยสินะ? “ฉุงเฉ่าเจว๋ เดินไปที่ข้างเตียง และยังอยากเข้าไปใกล้ให้มากกว่านี้ แต่ถูกกู่หรงสกัดไว้ซะก่อน
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “ใช่ ผมเอง”
ฉุงเฉ่าเจว๋กำหมัดของเขาไว้แน่น ดูเหมือนว่าเขากำลังระงับความโกรธของเขาอยู่
ในตอนนั้นเอง ไป๋ยี่เฟยก็รู้ได้ในทันที ว่าเขาคิดผิดไปเอง คนคนนี้มีเจตนาร้ายกับเขาอย่างเห็นได้ชัดเลย ไม่สิ ควรพูดว่าเป็นเจตนาฆ่ามากกว่า
นี่ไม่ใช่ผู้กองอย่างแน่นอน แต่เป็นคนของฉุงโยวเวยมากกว่า
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ฉุงเฉ่าเจว๋ก็เอ่ยปากขึ้น “ฉันคือฉุงเฉ่าเจว๋พ่อของฉุงโยวเวย ”
ฉุงเฉ่าเจว๋มีชื่อเสียงมากในตระฉุง ซึ่งคนในตระกูลฉุงจะให้ความเคารพและยำเกรงต่อเขามาก แล้วจะนับประสาอะไรกับคนนอกล่ะ
แต่ในทางกลับกันฉุงโยวเวยกลับเป็นได้แค่ รองประธานสหพันธ์ธุรกิจของเมืองเป่ยไห่ เขาไม่ค่อยมีโอกาสได้ทําอะไรเลย อีกทั้งยังเป็นที่ถูกชื่นชอบน้อยที่สุดอีกด้วย
ก็ยังดีที่ฉุงโยวเวยเป็นลูกชายคนเดียวของฉุงเฉ่าเจว๋ แม้จะไม่ค่อยเป็นที่ถูกชื่นชอบมากเท่าไหร่ แต่ก็ยังถูกครอบครัวเอาใจเสมอ
ไป๋ยี่เฟยมองไปที่ฉุงเฉ่าเจว๋ อย่างสงบ โดยไม่มีความเกรงกลัวหรือตื่นตระหนกเลยสักนิด “สวัสดีครับ”
ฉุงเฉ่าเจว๋มองเขาด้วยความโกรธ แต่พอเห็นไป๋เฟยที่ทำท่าทีสงบนิ่งอย่างนี้ ความโกรธในใจของเขาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น “แกฆ่าลูกชายฉัน ใครมอบความกล้าให้แก? ”
“ฉุงโยวเวย” ไป๋ยี่เฟยตอบกลับ
ฉุงเฉ่าเจว๋หรี่ตาลงเล็กน้อย “แกว่าอะไรนะ? ”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเฉยเมยว่า “ถ้าเขาไม่แตะต้องผม แล้วผมจะแตะต้องตัวเขาได้ยังไงกันล่ะ?” เหตุผลของการปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่เขาทำกับตัวเอง ท่านฉุงสามคงรู้ดีไม่ใช่เหรอครับ? ”
“ดีมาก!” ฉุงเฉ่าเจว๋ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “จําสิ่งที่แกพูดให้ดีก็แล้วกัน”
“ฉันจะให้แกได้รู้ว่าอะไรคือการปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นเดียวกับที่เขาทำกับตัวเอง!”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างไร้เดียงสาว่า ” ขอบคุณ แต่ผมไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น”
ฉุงเฉ่าเจว๋กําหมัดแน่น เส้นเลือดเริ่มพวยพุ่งออกมา เกลียดจนแทบอยากจัดการไป๋ยี่เฟยในทันที
“แกต้องชดใช้ สิ่งที่แกพูดในวันนี้!”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้พูดกับเขาต่อ แต่กลับพูดกับกู่หรงว่า “คุณตํารวจครับ นี่นับว่าเป็นการแสดงเจตนาข่มขู่อยู่หรือเปล่า? ”
“นี่แก!” ฉุงเฉ่าเจว๋รู้สึกว่าไป๋ยี่เฟยก็ไม่ต่างอะไรพวกอันธพาล
กู่หรงไร้ซึ่งคำพูดใดใด เหมือนเขาไม่ได้อยู่ที่นี่? แต่เขากลับได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว
ฉุงเฉ่าเจว๋ส่งเสียงเย็นชา แล้วหันหลังกลับเตรียมจะเดินจากไป
ในตอนนั้นเอง ไป๋ยี่เฟยก็พูดขึ้นอย่างกะทันหันว่า “ ท่านสามอยากเอาคืนผมงั้นเหรอ ผมกำลังรออยู่นะ แต่ผมขอบอกไว้ก่อนว่า คุณทำอะไรผมไม่ได้หรอก ! ยิ่งไปกว่านั้น คนของคุณจะกลับไปอย่างเชื่อฟัง และจะไม่มีวันแตะต้องตัวผมได้อย่างแน่นอน! ”
ฉุงเฉ่าเจว๋หันกลับมา และมองเขาด้วยสายตาเย็นชา “จะแตะต้องได้หรือไม่ได้นั้น ไว้ถึงเวลาแล้วแกก็จะรู้เอง!”
พอพูดจบฉุงเฉ่าเจว๋ก็เดินจากไป