ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 43
บทที่ 43
จะเอาคืนเหรอ?
จ้าวเผิงสีหน้าโมโห “ไป๋ยี่เฟยอย่านึกว่าตอนนี้มีเงินหน่อยจะอวดดี นายมันก็แค่ไอ้บ้านนอก รวยขึ้นมาก็แค่นั้น ไม่มีวันเข้าถึงสังคมไฮโซหรอก”
“ฉันเข้าไม่ถึง แล้วนายล่ะ? นายทำได้เหรอ?” ไป๋ยี่เฟยยิ้มถาม
จ้าวเผิงทำเสียงที่ปาก พูดอวด “นายรู้ไหมว่าวันนี้ฉันมาที่นี่ทำไม? วันนี้ฉันนัดกับประธานของโหวจวี๋กรุ๊ป ถ้าวันนี้ฉันคุยเรื่องร่วมงานกันสำเร็จ แบ็คอัพบริษัทฉันก็คือโหวจวี๋กรุ๊ป อีกหน่อยเงินกี่ร้อยล้านถึงขั้นพันล้านสำหรับฉันมันเรื่องเล็กน้อย เงินนายนั่นเหรอ กูไม่สนใจหรอก”
ไป๋ยี่เฟยยักคิ้ว เข้าใจทันที “ประธานโหวจวี๋กรุ๊ปเหรอ?”
“ใช่ กลัวแล้วซิ” จ้าวเผิงพูดอย่างได้ใจ “ฐานะโหวจวี๋กรุ๊ปในเมืองเทียนเป่ยไม่ต้องพูดนายก็น่าจะรู้ เพราะฉะนั้นนายก็ระวังตัวไว้ อย่ามาทำให้กูโมโห”
ไป๋ยี่เฟยพ่นลมออกจมูก “นายวางใจได้ นายอย่ามายุ่งกับฉันละกัน และสองหมื่นนั่น ก็ถือทำทานให้ขอทานไป”
นึกว่าเขาไป๋ยี่เฟยจะเป็นคนให้คนอื่นรังแกฝ่ายเดียวเหรอ?
“แก” จ้าวเผิงหน้าแดงด้วยความโกรธจากคำพูดของไป๋ยี่เฟย “ไป๋ยี่เฟย”
ไป๋ยี่เฟยหัวเราะเสียงเบา “ทำไม? ฉันพูดผิดตรงไหน?”
จ้าวเผิงโกรธมาก ครั้งที่เขายืมเงินสองหมื่นกับไป๋ยี่เฟยเป็นเรื่องจริง ใครก็ลบไม่ได้ ตอนนี้ไป๋ยี่เฟยพูดแบบนี้ เขาก็ไม่รู้จะปกปิดยังไง
แต่วันนี้จ้าวเผิงไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ไปคุยเรื่องร่วมงานที่หลันโปกั่ง แต่โดนปฏิเสธ เขาก็หาช่องทางเส้นสายมาตลอด หวังอยากเกาะต้นไม้ต้นใหญ่อย่างโหวจวี๋กรุ๊ป
วันนี้เขาเสียเงินไปมากพอและเส้นสายต่าง ๆ กว่าจะได้โอกาสนี้มา ขอให้ได้เจอประธานของโหวจวี๋กรุ๊ป ได้คุยเรื่องร่วมงานกัน บริษัทเขาก็สามารถฟื้นตัวได้
“ไป๋ยี่เฟย นายคอยดูนะ รอกูคุยเรื่องร่วมงานสำเร็จ กูจะให้นายรู้ คนอะไรที่นายไม่ควรเป็นอริด้วย” จ้าวเผิงพูดจาโอ้อวดจบก็เดินจากไป
ไป๋ยี่เฟยมองตามหลังจ้าวเผิงที่เดินเข้าห้องอาหาร ในใจลังเล ห้องอาหารนี้จะเข้าไปดีไหม?
ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ก้าวขาเดินเข้าไป
งานกินข้าวแบบนี้เขาไม่อยากมาอีกแล้ว เพราะฉะนั้นพูดให้มันจบไปในครั้งเดียวเลย
ดังนั้น จ้าวเผิงนั่งลงไปไม่นาน ไป๋ยี่เฟยก็ผลักประตูห้องอาหารเดินเข้ามา
จ้าวเผิงที่อยู่ข้างในลุกขึ้นทันที “ไป๋ยี่เฟย นายตามเข้ามาทำไม?”
คนในห้องอาหารตามมองตาม เห็นไป๋ยี่เฟยใส่สูทที่ธรรมดามาก ทันใดนั้นก็ไม่ใส่ใจ ในใจคิดว่านี่เป็นพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ยังไงแล้วก็ไม่ใช้คนใหญ่คนโตที่ไหน
เวลาเดียวกัน ประธานบริษัทหัวล้านคนหนึ่งพูดขึ้น “คุณเป็นใคร? ที่นี่ห้องอาหารส่วนตัว ไม่ใช่สถานที่ใครเข้ามาก็ได้”
“ไป๋ยี่เฟย นายออกไปเดี๋ยวนี้” จ้าวเผิงสีหน้าเคร่งเครียด วันนี้สถานที่สำคัญแบบนี้ เขาไม่อยากทำพัง
“พวกคุณจะให้ผมออกไปจริงใช่ไหม?” ไป๋ยี่เฟยมองไปรอบห้อง พูดขึ้นอย่างสนุก
“ไม่งั้นล่ะ” ประธานบริษัทอีกคนลุกขึ้นยืน
“พ่อหนุ่ม พวกเราไม่รู้ว่าคุณรู้มาจากไหนว่าเรากินข้าวที่นี่ แต่วันนี้เราจะมาพบกับแขกคนสำคัญ ถ้าคุณอยากคุณเรื่องร่วมงานหรือเรื่องลงทุน ให้ไปบริษัทโดยตรงเดินตามขั้นตอน”
พวกเข้าล้วนเป็นคนมีประสบการณ์ช่ำชอง จึงคิดว่าไป๋ยี่เฟยเป็นพนักงานบริษัทเล็ก ๆ คนหนึ่ง เพราะอยากได้ผลงาน จึงหาโอกาสที่มีงานเลี้ยงกินข้าวของเหล่าประธานบริษัทเพื่อเข้าคุยกับพวกประธานบริษัท แบบนี้ก็สามารถไต่เต้าได้อย่างรวดเร็ว
“เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ก็มาแรงกันเกินเหตุ ไม่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเลย”
จ้าวเผิงรีบพูดเสียดสีขึ้น “พวกท่านทั้งหลายคงยังไม่รู้ ไป๋ยี่เฟยเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับผม เขาไม่มีงานทำ วัน ๆ ก็อยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร”
“อะไรนะ?”
ทุกคนพอได้ยินแบบนี้ ยิ่งดูถูกไป๋ยี่เฟย สายตาที่มองเขายิ่งดูเหยียดหยามขึ้น
ไป๋ยี่เฟยมองจ้าวเผิงไปทีหนึ่ง คิดในใจ ถ้านายไม่ยอมปล่อยฉัน ถ้าอย่างนี้ฉันก็ไม่ปล่อยนายแน่
“พวกคุณกำลังรอประธานโหวจวี๋กรุ๊ปไม่ใช่หรือ?”
“ใช่แล้วจะทำไม? เกี่ยวอะไรกับนาย?” จ้าวเผิงจ้องไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยสีหน้าใจเย็น “ออ วันนี้ผู้ช่วยหลงบอกผมว่า ที่โรงแรมจิ่วโจวมีประธานหลายบริษัทจะเชิญท่านประธานบริษัทผมกินข้าว ให้ผมมาแทน”
“แค้วง”
ประธานคนหนึ่งกำลังดื่มชาอยู่ แก้วในมือตกลงไปที่โต๊ะ
ทุกคนต่างหน้าแตกกันไปทีเดียว
จ้าวเผิงยิ่งเหมือนโดนค้อนทุบ
เงียบ
ทั้งห้องอาหารต่างเงียบไปหนึ่งนาที
สุดท้าย ประธานหัวล้านก็พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ “คุณเป็น ประธานบริษัทโหวจวี๋กรุ๊ป?”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินก็ส่ายหัว “ผมไม่ใช่ ผม……”
เวลาเดียวกับที่ไป๋ยี่เฟยบอกว่าไม่ใช่ จ้าวเผิงก็โล่งออกไปทันที “ไป๋ยี่เฟย นายไม่ใช่ แล้วนายมาอยู่นี่ทำไม? ยังไม่รีบออกไปอีก”
ประธานคนอื่น ๆก็โล่งอกกันไป ถ้านี่เป็นประธานบริษัทโหวจวี๋กรุ๊ป อาหารมื้อนี้พวกเขาก็ไม่ต้องกินแล้ว บริษัทก็เกรงว่าไม่ต้องบริหารกันต่อไปแล้ว
หนึ่งในนั้นตกใจจนโกรธขึ้นมาทันที “ไม่ใช่ก็รีบไสหัวออกไป อย่าอยู่ขวางหูขวางตาที่นี่”
“ได้ยินรึยัง รีบออกไป” จ้าวเผิงยิ่งอุกอาจเป็นพิเศษ
ไป๋ยี่เฟยก็ยังรู้สึกเฉย “คำพูดผมยังพูดไม่จบ พวกคุณก็ด่วนสรุป นี่มันจะไม่ประมาทไปหน่อยเหรอ?”
“ผมไม่ใช่ประธานบริษัทโหวจวี๋กรุ๊ป แต่ผมเป็นผู้จัดการใหญ่ของโหวจวี๋กรุ๊ป ท่านประธานมอบหมายให้ผมมาแทน”
พูดจบ ทุกคนในห้องอาหารต่างอึ้งไป
จ้าวเผิงยิ่งเบิกตากว้างไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปไม่ได้”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้?” ไป๋ยี่เฟยยักไหล่
จ้าวเผิงรีบพูดขึ้น “นายก็แค่คนบ้านนอกคนหนึ่ง ไม่มีเส้นสายฐานะอะไร การศึกษาก็เท่าฉัน ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีงานทำ ตอนนี้กลายเป็นผู้จัดการใหญ่ของโหวจวี๋กรุ๊ป นายคิดว่าฉันโง่เหรอ ถึงเชื่อนาย?”
ถ้าพูดตามหลักแล้ว มันก็ใช่ แต่เพราะพ่อของไป๋ยี่เฟยไม่ใช่คนธรรมดานี่ซิ
ประธานหลายคนได้ยินแล้วก็รู้สึกสงสัย ประธานหัวล้านถามขึ้น “นายเอาอะไรมียืนยันว่านายเป็นผู้จัดการใหญ่ของโหวจวี๋กรุ๊ป”
“ใช่ นายบอกว่าใช่ก็ใช่หรือ? แล้วถ้าเกิดเป็นนักต้มตุ๋นล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยทำเสียงปาก แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหาหลงหลิงหลิง “อธิบายหน่อย”
พูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็เอาโทรศัพท์ให้ประธานหัวล้านคนนั้น
ประธานคนนั้นวางสายอย่างมีมารยาทแล้ว ก็รีบโค้งคำนับกล่าวขอโทษกับไป๋ยี่เฟย “ผู้จัดการใหญ่ไป๋ ต้องขอโทษอย่างยิ่งนะครับ เมื่อครู่เสียมารยาท ต้องขออภัยด้วยนะครับ”
ไป๋ยี่เฟยรับโทรศัพท์คืนมา สายตาไม่ใส่ใจ
คนอื่นเมื่อเห็นกิริยานี้แล้วก็รู้ได้ว่า คนตรงหน้านี้ต้องเป็นผู้จัดการใหญ่ของโหวจวี๋กรุ๊ปแน่นอน
ประธานพวกนี้ล้วนเป็นคนฉลาด พอเห็นแล้วก็ต่างยิ้มขอโทษไป๋ยี่เฟย
มีแต่จ้าวเผิง ที่ยังอยู่ในอาหารตกใจ
เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปได้ยังไง? ทำไมไป๋ยี่เฟยถึงกลายเป็นผู้จัดการใหญ่ของโหวจวี๋กรุ๊ป?
“นี่มันเป็นไปไม่ได้” จ้าวเผิงตะโกนเสียงดัง “ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ๆ”
ประธานหัวล้านคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที “เมื่อครู่ผู้ช่วยหลงอธิบายด้วยตัวเองแล้ว คุณสงสัยผมหรือสงสัยผู้ช่วยหลง?”
คำพูดนี้ออกมา จ้าวเผิงเสียงดังตุ้ม ล้มลงจากเก้าอี้
เขาเข้าใจดี ประธานคนนี้ไม่พูดโกหกแน่นอน ไม่จำเป็น ในสายนั่นเป็นผู้ช่วยหลงจริง แล้วไป๋ยี่เฟยก็ใช่ผู้จัดการใหญ่ของโหวจวี๋กรุ๊ปจริง
ความจริงนี้สำหรับเขาแล้ว มันเกินจะรับได้
เมื่อก่อนไป๋ยี่เฟย เป็นแค่เด็กยากจนคนหนึ่ง สำหรับเขาแล้วทางบ้านยังพอมีฐานะหน่อย ไม่อย่างนั้นคงไม่มาก่อตั้งบริษัทเอง แต่พูดไปแล้ว ก็ยังอยู่ในสังคมระดับล่าง