ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 511
บทที่511
หลังจากที่สวี่ชางเรียกคนหลายคนให้ขึ้นไปแล้ว เขาก็เรียกขึ้นว่า “คนต่อไป เย่ฮวน”
ทุกคนมองตามเสียงไป เย่ฮวนที่อยู่ในชุดสูทสีเงิน เดินขึ้นเวทีไปด้วยความสง่าผ่าเผย
ทันทีที่เห็นเย่ฮวนทุกคนต่างก็ซุบซิบกันว่า :ตำแหน่งประธานสหพันธ์ธุรกิจในครั้งนี้ แปดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องเป็นของเขาแน่ๆ
การปราศรัยของเย่ฮวนได้รับเสียงปรบมือจากผู้คนอย่างล้นหลาม และตอนที่เขาเดินลงมาจากเวที ทุกคนก็ปรบมือให้เขาอีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าเขาได้รับการยอมรับขนาดไหน
ส่วนไป๋ยี่เฟยกลับไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขาแค่มองดูอย่างนิ่งเฉยเท่านั้น
ในตอนนั้นเอง ไป๋หู่ก็ได้กลับมาแล้ว
“หายเจอมั้ย?” ไป๋ยี่เฟยถาม
ไป๋หู่ส่ายหน้า “ไม่ครับ”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้ว “หาต่อไป”
เรือถูกขับออกทะเลไปแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะหาไม่เจอหรอก มันจะต้องอยู่ที่ไหนสักแห่งของเรือแน่ๆ
“เข้าใจแล้วครับ”
พอไป๋หู่ออกไป เสียงของสวี่ชางก็ดังขึ้นอีกรอบ “คนต่อไป……ไป๋ยี่เฟย”
ตอนที่เขาเห็นชื่อของไป๋ยี่เฟย เขาก็ชะงักไปวิหนึ่งก่อนจะอ่านชื่อนั่นออกมา ทันทีที่อ่านจบเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองไปรอบๆ
พอหลี่เสว่ได้ยินชื่อของไป๋ยี่เฟยเธอก็พูดขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “ถึงคุณแล้วค่ะ”
ไป๋ยี่เฟยตบมือของเธอเบาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“คุณจะไปจริงๆ เหรอคะ? คนๆ นั้น……” ที่หลี่เสว่กังวลก็คือสิ่งที่คนๆ นั้นเคยพูดไว้ เขาบอกว่าห้ามไป๋ยี่เฟยเข้าร่วมการชิงตำแหน่งในครั้งนี้เด็ดขา
ไป๋ยี่เฟยรู้ดีว่าเธอกำลังเป็นห่วงโจวฉวี่เอ๋อ เขาจึงพูดให้กำลังใจไปว่า “คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ยังไงผมก็ไม่มีทางชนะอยู่แล้ว ผมแค่ขึ้นไปพูดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น ที่สำคัญ การทำแบบนี้อาจจะทำให้เขาเข้ามาหาผมเองก็ได้”
หลี่เสวยเม้มปาก จากนั้นก็ค่อยๆ พยักหน้า
ไป๋ยี่เฟยปล่อยตัวหลี่เสว่ จากนั้นก็เดินขึ้นเวทีไป
แต่เย่ฮวนที่อยู่บนที่นั่งกลับมีแววตาที่ประหลาดใจออกมา พร้อมกับขมวดคิ้วไปด้วย “นี่มันเรื่องอะไรกัน? ไป๋ยี่เฟยมันมีสิทธิ์อะไรถึงมาที่นี่?”
หลิ่วจาวเฟิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมาทันที “ใครจะไปรู้ล่ะว่าไปได้บัตรเชิญมาจากไหน?”
เย่ฮวนขมวดคิ้วหนักยิ่งกว่าเดิมอีก แต่เพียงครู่เดียวเขาก็กลับมามีใบหน้าที่ยิ้มแย้มอีกครั้ง “หึ ก็แค่สร้างภาพเท่านั้น”
“มันก็ไม่แน่นะ?” หลิ่วจาวเฟิงพูดสนับสนุน “คนที่ไม่มีอะไรเลยยังคิดจะมาชิงตำแหน่งประธานธุรกิจอีก ช่างน่าขันสิ้นดี!”
เย่ฮวนไม่ได้ตอบ ได้แต่นั่งดูไป๋ยี่เฟยบนเวทีอย่างเงียบๆ
“สวัสดีครับ ทุกท่าน ผมชื่อไป๋ยี่เฟย” ไป๋ยี่เฟยทำตัวเป็นธรรมชาติ ไม่มีความตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย
“เขานะเหรอไป๋ยี่เฟย!”
“ที่เป็นประธานกรรมการของโหวจวี๋กรุ๊ปรุ่นก่อนไง!”
“เขาไม่ได้เป็นประธานกรรมการของโหวจวี๋กรุ๊ปแล้วนี่ ทำไมเขายังมีสิทธิ์มาชิงตำแหน่งอีกล่ะ?”
“ไม่รู้สิ……”
ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีคนแย้งออกมา พูดในสิ่งที่ทุกคนกำลังคิด
“แกไม่ใช่ประธานกรรมการของโหวจวี๋กรุ๊ปแล้วนี่ แล้วแกมีคุณสมบัติอะไรถึงมาเข้าร่วมการชิงตำแหน่งในครั้งนี้?”
ไป๋ยี่เฟยมองตามเสียงไป แล้วได้พบว่าคนๆ นี้ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหลิ่วจาวเฟิงนั่นเอง”
หลิ่วจาวเฟิงพูดออกมาอย่างเสียงดังว่า “คนที่อยู่ในนี้ต่างก็เป็นมหาเศรษฐีกันทั้งนั้น มีแต่แกเท่านั้นที่ไม่มีอะไรเลยแล้วแกยังมีหน้าไปยืนอยู่บนเวทีอีก? ยังไม่รีบลงมาอีก!”
ทุกคนที่ได้ยินอย่างนั้นต่างพาก็พยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร
พอไป๋ยี่เฟยเห็นแบบนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะขำออกมาอย่างดูแคลน จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “แล้วคุณสั่งให้ผมลงไปด้วยฐานะอะไรเหรอครับ?”
แม้แต่สวี่ชางยังไม่บอกให้เขาลงไปเลย และมันมีสิทธิ์อะไรมาสั่งให้เขาลงไป?
หลิ่วจาวเฟิงชะงักไป จากนั้นก็หันไปมองสวี่ชาง แล้วชี้ไปที่ไป๋ยี่เฟย “ประธานสวี่ครับ ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าไป๋ยี่เฟยมันไม่ใช่ประธานกรรมการของโหวจวี๋กรุ๊ปอีกต่อไปแล้ว มันไม่มีอะไรทั้งนั้น มันไม่มีคุณสมบัติที่จะขึ้นมาชิงตำแหน่งในครั้งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว”
“ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้ว่ามันไปเอาบัตรเชิญมาจากไหน จนสามารถเข้ามาในงานได้ แล้วตอนนี้ยังเสนอหน้าขึ้นไปชิงตำแหน่งอีก ตามหลักแล้วมันไม่ถูกนะครับแบบนี้”
พอสวี่ชางได้ยินอย่างนั้น เขาก็หันไปมองหลิ่วจาวเฟิงอย่างเอื่อยเฉื่อย จากนั้นก็หันมามองไป๋ยี่เฟยด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยและดูไม่ได้ร้อนรนอะไร
“ไป๋ยี่เฟย จากที่คุณผู้ชายคนนี้พูดมา เหมือนการได้บัตรเชิญของคุณมามันจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นะครับ”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มออกมา “มันก็ไม่ชัดเจนจริงๆ นั่นแหละครับ”
“ดูสิครับ แม้แต่มันยังยอมรับเลย มันได้บัตรเชิญมาอย่างไงก็ไม่รู้ ไม่แน่อาจจะไปเอาของใครมาใช้แทนก็ได้!” หลิ่วจาวเฟิงพูดใส่อารมณ์
สวี่ชางขมวดคิ้วเบาๆ แววตาแสดงความไม่ชอบใจออกมา
ไป๋ยี่เฟยพูดออกมาอย่างใจเย็นว่า “ถึงการได้มาจะไม่ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ใช่ของผมนี่ครับ”
“และมันก็เป็นแบบนั้นพอดี เพราะบัตรเชิญนี้มันเป็นของผมจริงๆ”
“โกหก!” หลิ่วจาวเฟิงตำหนิออกมาด้วยเสียงที่ดังลั่น “นี่แกเห็นคนของสหพันธ์เป็นพวกหน้าโง่รึไง? แกมันไม่มีคุณสมบัติเลยสักนิด สหพันธ์ไม่มีทางเชิญแกแน่นอน!”
ไป๋ยี่เฟยทำเสียงฮึดฮัด “ใครบอกล่ะครับว่าผมไม่มีคุณสมบัติ?”
“ฮ่าฮ่า……” หลิ่วจาวเฟิงหัวเราะเยาะเย้ย “ไป๋ยี่เฟย แกไม่ใช่ประธานกรรมการของโหวจวี๋กรุ๊ปอีกแล้ว แล้วแกคิดว่าแกยังมีคุณสมบัติที่เหมาะสมอยู่รึเปล่าล่ะ? คนที่มาร่วมงานในวันนี้ต่างก็เป็นคนที่มีกิจการเป็นของตัวเองทั้งนั้น แล้วแกล่ะมีอะไรดี?”
“แค่คนธรรมดาคนหนึ่งยังกล้ามาชิงตำแหน่งประธานสหพันธ์ธุรกิจ?”
พูดจบก็มีคนพยักหน้าเห็นด้วย
“ถูกต้อง แค่คนทั่วไปจะมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าชิงตำแหน่งได้ยังไง?”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน? คนธรรมดาจะได้รับเชิญได้ยังไง?”
“ในเมื่อไม่มีคุณสมบัติ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย ต่อให้เขามีบริษัทเล็กๆ ก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ดี!”
“……”
ไป๋ยี่เฟยยังคงสีหน้าเรียบเฉย รอจนหลิ่วจาวเฟิงพูดจบเขาค่อยพูดขึ้นมาอย่างใจเย็นว่า “ผมคิดว่า พวกคุณคงยังไม่มีใครรู้สินะว่านอกจากโหวจวี๋กรุ๊ปแล้ว ผมยังมีธุรกิจส่วนตัวอย่างอื่นอยู่อีก”
“อะไรนะ?”
“ธุรกิจส่วนตัวเหรอ?”
หลิ่วจาวเฟิงชะงักไป แล้วแย้งขึ้นมาโดยอัตโนมัติ “เป็นไปไม่ได้!”
ไป๋ยี่เฟยค่อยๆ พูดออกมาอย่างใจเย็น ท่ามกลางความสนใจของทุกคนที่ส่งตรงมา “ผมยังไม่ทันแนะนำตัวเสร็จเลยก็ถูกชายวุ่นวายคนนี้ขัดเอาไว้ก่อน เดี๋ยวผมขออนุญาตแนะนำตัวใหม่อีกรอบนะครับ”
เมื่อหลิ่วจาวเฟิงได้ยินอย่างนั้นสีหน้าก็บูดเบี้ยวไปทันที จนอยากจะขึ้นไปอัดไป๋ยี่เฟยสักที แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ เขาก็ทำได้แค่จ้องเขม็งมาที่ไป๋ยี่เฟยเท่านั้น
“สวัสดีครับทุกท่าน ผมชื่อไป๋ยี่เฟย เป็นประธานกรรมการของโรงพยาบาลโว่หลงกับโรงพยาบาลเอกชนเทียนเป่ยครับ”
“อะไรนะ?”
ทุกคนต่างพากันตกใจ
ส่วนหลิ่วจาวเฟิงก็อึ้งตาค้างไปเลย
โรงพยาบาลโว่หลงกับโรงพยาบาลเอกชนนั้นเป็นของไป๋ยี่เฟยอย่างนั้นเหรอ?
มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?
หลิ่วจาวเฟิงยังคงดึงดัน “มันเป็นไปไม่ได้! โรงพยาบาลทั้งสองที่นั่นมันเป็นของเอกชน ไม่มีทางที่จะเป็นของแกไปได้หรอก!”
ไป๋ยี่เฟยขำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินอย่างนั้น “ข้อมูลแบบนี้มันปลอมแปลงกันไม่ได้อยู่แล้ว พวกคุณสามารถเข้าไปเสิร์ชดูได้เลยครับ”
สิ้นเสียง ก็ได้มีหลายคนหยิบมือถือออกมาเสิร์ชดูทันที จากนั้นก็เห็นว่าแม่งเป็นไป๋ยี่เฟยจริงๆ ด้วย
ส่วนเย่ฮวนสีหน้าเริ่มไม่ดีแล้ว เพราะเขาคิดมาตลอดว่าไป๋ยี่เฟยมีแค่โหวจวี๋กรุ๊ปเท่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับไปซื้อโรงพยาบาลเอกชนไว้อีกสองที่และปกปิดได้มิดมากด้วย ถ้าไป๋ยี่เฟยไม่ได้พูดออกมาเองคงไม่มีใครสังเกตเห็นแน่นอน
ส่วนหลิ่วจาวเฟิงนั้นเอ๋อไปแล้ว
เขาเองก็เสิร์ชดูแล้วเหมือนกัน ในนั้นมันบอกไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นชื่อของไป๋ยี่เฟย
แต่ มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?
สวี่ชางเองก็ลองเช็คแล้วเหมือนกัน แล้วมองไป๋ยี่เฟยด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง และค่อยๆ พูดออกมาว่า “ใช่เขาไม่ผิดแน่ ถ้าอย่างนั้น เชิญคุณพูดต่อเลยครับ”
พอเห็นแบบนั้นหลิ่วจาวเฟิงก็จำเป็นต้องเงียบปากลง
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดต่อ “ความจริงผมไม่ได้จะพูดอะไรมาก ส่วน……”
“เดี๋ยวก่อน!” มีคนลุกขึ้นมาขัดขวางไป๋ยี่เฟยอีกแล้ว