ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 59
บทที่ 59
พานหุ้ยหุ้ยเห็นคนกลุ่มนี้ ในใจก็เป็นกังวล คนเยอะขนาดนี้ ไป๋ยี่เฟยกับเจ้าร่างยักษ์จะสู้ไหวเหรอ?
ไป๋ยี่เฟยมองแวบเดียวก็จำไอ้หน้าแผลมีดได้ แล้วก็หัวเราะออกมา
ซุนเฉิงเห็นไอ้หน้าแผลมีดแล้ว รีบวิ่งเข้าไปหา “พี่เตา พี่มาแล้ว”
พี่เตาตอบกลับมาคำหนึ่งว่าอืม ถอดแว่นดำออก พูดว่า “สองแสน จะขาดไปแม้แต่สลึงก็ไม่ได้ ”
ซุนเฉิงยิ้มและพูดว่า “พี่เตาไว้ใจได้!”
พูดจบ ซุนเฉิงก็พูดกับไป๋ยี่เฟยอย่างโอ้อวดว่า “ไป๋ยี่เฟย พี่เตานั้นเป็นพี่ใหญ่ของเขตเหนือของเมืองเทียนเป่ย หมาอย่างแกก็รอการสั่งสอนซะดีดีเถอะ ?แต่ว่าถ้าเกิดแกกลัวแล้ว ก็รีบคุกเข่าขอขมา ไม่แน่พี่เตาอาจจะใจดีไว้ชีวิตแก ”
ไป๋ยี่เฟยนั้นก็ไม่ได้พูดว่าอะไร
พี่เตากลับเป็นฝ่ายถามว่า “เป็นเขาคนนี้หรือ?”
ซุนเฉิงพยักหน้า“ครับ!พี่เตา!คือไอ้สวะตัวนี้แหละ ไม่เห็นพี่เตาอยู่ในสายตาเลย”
“พี่เตา สั่งสอนเจ้านี่หน่อย ทำให้มันพิการไปเลย จะดูซิว่ามันจะกร่างยังไงอีก ?”
“พี่เตา ถ้าเสร็จเรื่องแล้ว ผมจะเลี้ยงพี่น้องทุกคนดื่มเหล้า ”
พี่เตาฟังสิ่งที่ซุนเฉิงพูด ก็ได้ผล เขาเองก็ฮึกเหิม สีหน้าเต็มไปด้วยความโอหัง
“ไอ้น้อง ยังไม่หันมาอีก?ต้องให้กูมาเชิญหรือไง?”
ไป๋ยี่เฟยนั้นหันหลังให้พวกเขา ฉะนั้นพี่เตาเลยไม่ได้เห็นว่าเขาเป็นใคร
ไป๋ยี่เฟยพูดและก็หันหลังมา ยิ้มและมองไปที่ไอ้หน้าแผลมีด“ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
ไอ้หน้าแผลมีดยังอยากจะบอกว่า“ไม่เจอกันนานบ้านป้าแกสิ ”แต่กำลังจะอ้าปาก ก็หยุดกึกไป ปากยังไม่ทันจะได้หุบลง
ซุนเฉิงได้ยินที่ไป๋ยี่เฟยพูด จึงพูดเยาะว่า “ไป๋ยี่เฟย!แกกลัวขึ้นมาแล้วล่ะสิ?ยังมาทำสนิทกับพี่เตา แกคิดว่าแกเป็นใครเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้สนใจซุนเฉิง แต่ว่ายิ้มให้ไอ้หน้าแผลมีด
ไอ้หน้าแผลมีดหัวเราะหึหึ หัวเราะแล้วพูดว่า “สวัสดีครับเจ้านาย ไม่เจอกันนานเลย ไม่เจอกันนานเลย……”
ซุนเฉิงนั้นอึ้งตาแตก
คนอื่นก็พากันอึ้ง
ไป๋ยี่เฟยพูดเรียบเฉยว่า “ได้ยินแกบอกว่าจะทำให้ฉันพิการเหรอ ?”
ไอ้หน้าแผลมีดยิ้มและกล่าวขอโทษ
“เอ่อ เข้าใจผิด เข้าใจผิด ……”
ไป๋ยี่เฟยนั้นก็ตอบรับสั้น ๆ ว่าอืม แล้วก็มองไปที่ ซุนเฉิง
ไอ้หน้าแผลมีดเห็นแล้วก็รีบยืนตรง ตบ“เพี๊ยะ”ไป
“ให้สารเลว แกกล้าเล่นตลกกับฉันหรือไง ?”
ซุนเฉิงเอามือจับที่หน้า สีหน้าซีดเผือด “พี่เตา……”
ไอ้หน้าแผลมีดไม่ให้โอกาสเขาได้พูด “ซ้อมมัน เอาให้มันพิการไปเลย !”
ซุนเฉิงไม่ทันได้พูดอะไร “พี่เตา……อ๊ะ……” ก็โดนคนเข้ามารุมซ้อม แล้วก็มีเสียงร้องโหยหวนตามมา
ซุนเฉิงยังไงก็ไม่ได้คาดคิด พนักงานธรรมดาคนหนึ่งของบริษัท จะมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่ขนาดนี้ รู้จักแม้กระทั่งพี่เตา ไม่สิ ต้องพูดว่า แม้แต่พี่เตายังเคารพนอบน้อมขนาดนั้น
“พี่เตา……ผมเพิ่มเงินให้อีก ……ผมให้อีก1แสน……” ซุนเฉิงทนต่อการซ้อมและก็พูดขึ้นอีก
พี่เตาถุยใส่ ต่อให้บวกอีก1แสนก็สู้เจ้านายคนนี้ไม่ได้ คนอื่นให้ทีเริ่มต้นก็ให้ 5 แสนจนถึงล้านแล้ว แค่หลักแสนจะมาเทียบอะไร มีแต่คนโง่ที่จะเลือกหลักแสน !
พี่เตายิ้มและพูดว่า “เจ้านาย คุณดูสิว่าพอใจหรือยัง ?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “พอแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว ”
พี่เตาพูดไป “ได้แล้ว!” แล้วก็โบกมือ คนทั้งกลุ่มก็ถอยออกมา
รอคนไปแล้ว ไป๋ยี่เฟยมองไปที่ลูกน้องเหล่านั้นและก็คนที่มาจากสถาบันเทควันโด “ยังไม่ไปอีก ?”
คนจากสถาบันเทควันโดก็อุ้มต้าหลางที่ยังสลบอยู่ และก็พวกลูกน้องก็ทยอยกรูกันวิ่งหนีไป
ใครจะรู้ว่าคนที่ดูอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วนั้นแข็งแกร่ง?
แน่นอน ที่ว่าแข็งแกร่งนั้น หมายถึงเบื้องหลังของเขาและอำนาจอิทธิพลที่เขามี
เขาไม่เพียงมีลูกน้องอย่างไป๋หู่ ยังรู้จักพี่ใหญ่พี่เตาของเขตเหนือของเมืองเทียนเป่ย พี่เตาเองก็ยังให้ความเคารพกับไป๋ยี่เฟยอีก เมื่อทั้งสองนี้มารวมกัน ใครจะกล้ามาหาเรื่องอีก ?
คนก็ไปหมดแล้ว เหลือแค่พานหุ้ยหุ้ยและก็ซุนเฉิงที่ร้องโหยหวนอยู่อีกด้านของดาดฟ้า
ไป๋ยี่เฟยเดินไปถึงข้าง ๆ ของพานหุ้ยหุ้ย แก้มัดให้เธอ “คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
พานหุ้ยหุ้ยมองไป๋ยี่เฟยอย่างงง ๆ ส่ายหัวเบา ๆ
ไป๋ยี่เฟยพูดขอโทษว่า“ขอโทษ เป็นเพราะผม ไม่อย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องถูกจับ ……”
พานหุ้ยหุ้ยก็ส่ายหัวอีก
ไป๋ยี่เฟยจึงได้แต่พูดว่า “ถ้าหากไม่เป็นอะไร พวกเราก็ลงไปกันเถอะ !”
ลงจากดาดฟ้า พานหุ้ยหุ้ยจึงได้รู้สึกตัว ชายตัวใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของไป๋ยี่เฟยไม่อยู่แล้ว “คนที่อยู่กับคุณเมื่อกี๊ไปไหนแล้วล่ะ ?”
ไป๋ยี่เฟยตอบอย่างเรียบเฉยว่า “อ้อ ไม่ต้องสนใจเขาหรอก”
พานหุ้ยหุ้ยก็ไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะว่าเธอเชื่อไป๋ยี่เฟยจนหมดใจแล้ว
เพราะว่าไป๋ยี่เฟยยังมีเรื่องต้องไปจัดการ เพราะฉะนั้นทั้งสองคนก็แยกกันโดยเร็ว
เดินออกจากตึก ไป๋ยี่เฟยหันกลับไปมองตึกนิวซีกรุ๊ปอีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
เขาในก่อนหน้านี้ ถ้าหากได้ทำงานที่นิวซีกรุ๊ป พูดออกไปก็มีหน้ามีตา อีกอย่างหลังแต่งงานกับหลี่เสว่ ก็คงจะไม่โดนใครหัวเราะเยาะ คงไม่ถูกใครมองอย่างดูถูกแบบนั้น
แต่ว่าเขาในตอนนั้น ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถจนสามารถได้เข้าทำงานที่นี่ได้ แต่เข้าก็ไม่มีเส้นสายอยู่ดี ก็คงจะเข้าทำงานที่ไม่ได้อยู่ดี ?
แต่ตอนนี้ล่ะ ?
ตอนนี้การเงินของนิวซีกรุ๊ปเผชิญวิกฤติ และเขาเองก็กำลังจะเข้าซื้อนิวซีกรุ๊ป สำหรับเขาแล้วนิวซีกรุ๊ป เป็นกรุ๊ปที่ไม่ได้น่าสนใจในสายตาเขาอีกต่อไปแล้ว สู้เค๊กชิ้นเดียวยังไม่ได้ มากสุดก็คงเป็นได้แค่ครีม
ไป๋ยี่เฟยส่ายหัว ขึ้นนั่งบนรถบีเอ็มของตัวเอง
ตอนนี้ ลูกพี่ลูกน้องของหลี่เสว่ชื่อหลี่ชิวหยิ่งโทรมา
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วอย่างสงสัย หลี่ชิวหยิ่งกับหลี่เสว่นั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ไม่ได้สนิทกับตัวเอง นอกจากการเจอกันในครอบครัวแล้ว แทบจะไม่ได้มีการติดต่อกันเลย ทำไมถึงโทรมาหาเขาล่ะ?
“ฮัลโหล ไป๋ยี่เฟยใช่ไหม?”
“ครับ มีธุระอะไรครับ?”
“เสว่เอ๋อป่วยใช่ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยยิ่งงงเข้าไปใหญ่แล้ว “เปล่านี่ครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”
หลี่ชิวหยิ่งพูดอย่างเป็นห่วงว่า “เสว่เอ๋อไม่ได้มาทำงานสองวันแล้ว ฉันนึกว่าเธอป่วย ตอนนี้ก็เป็นช่วงที่บริษัทมีปัญหา เธอไม่มา ทุกคนต่างกระวนกระวายใจ ยังมีอีกหลายคนที่กัดลิ้นแล้ว คุณถามเธอหน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
ไป๋ยี่เฟยก็ร้อนรนในใจ “ไม่ได้มาทำงานสองวันแล้วเหรอ ?”
หลี่ชิวหยิ่งถามขึ้น “ใช่ คุณไม่รู้เหรอว่าเสว่เอ๋อเป็นอะไรช?”
ไป๋ยี่เฟยชงักไป รู้สึกผิด “ผมจะไปถามดูนะครับ” พูดจบแล้วก็วางสายไป
วันสองวันนี้เขามัวแต่ยุ่งเรื่องนิวซีกรุ๊ป จนละเลยหลี่เสว่ไป
ตอนนี้เพิ่งนึกได้ว่า ลืมคิดว่าเรื่องนั้นจะส่งผลกระทบต่อหลี่เสว่มากขนาดไหน
คืนนั้นเขาค้างที่บ้านของโจวฉวี่เอ๋อ เลยทำให้หลี่เสว่เข้าใจผิด เขาคิดว่าเขาอธิบายแล้ว หลี่เสว่จะเข้าใจ แต่ดูท่าตอนนี้ หลี่เสว่อาจจะไม่ได้ดูสิ่งที่เขาอธิบายไป !
หรือว่า หลี่เสว่นั้นไม่ได้เชื่อเขาเลยแม้แต่น้อย !
คิดถึงตรงนี้ ไป๋ยี่เฟยก็ปวดหัวจนต้องนวดขมับ ถ้าจะโทษก็ให้โทษตัวเอง ถ้าเขาท่าทีขึงขังหน่อย เรื่องนี้คงไม่ยุ่งยากแบบนี้แล้ว !
……
ด้านนอกบาร์ที่มีแสงสีเสียง หลี่เสว่นั้นยืนโซซัดโซเซพิงอยู่ที่รถ สองแก้มแดงก่ำ ปากแดงสวย ดูแล้วก็ค่อนข้างยั่วยวนคนที่พบเห็น
หลิ่วจาวเฟิงนั้นผ่านมา บังเอิญไปเจอหลี่เสว่ที่อยู่ริมฟุตบาท ในตาเป็นประกายแล้วก็จอดรถ
“เสว่เอ๋อ?”
หลี่เสว่นั้นเมาจนไม่ได้สติ ไม่ได้สนใจอะไรหลิ่วจาวเฟิง
หลิ่วจาวเฟิงเห็นหลี่เสว่ในสภาพนี้ ก็พูดอะไรไม่ออก แต่มือก็ไปกอดหลี่เสว่ไว้แล้ว “เสว่เอ๋อ คุณเมาแล้ว ผมส่งคุณกลับบ้านนะ !”
หลี่เสว่ไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ
หลิ่วจาวเฟิงอุ้มหลี่เสว่ไปถึงที่รถ จากนั้นก็ออกรถ ไปถึงเขตวิลล่าหลันโปกั่ง