ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 592
บทที่ 592
สวีลั่งยังคงมีท่าทีเช่นเดิม “นั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน!”
ไป๋ยี่เฟยสีหน้าเคร่งขรึม “คำพูดฉันคือที่สุด!”
ทุกคนรู้ดีว่าเรื่องนี้อันตรายมาก แต่ไม่ใช่อันตรายก็ไม่ไปทำเสียแล้ว เรื่องนี้จำเป็นต้องไปทำ
ไม่อย่างนั้น ภายหลังพอคนที่ไล่ตามมาถึงที่นี่ เปิดฉากยิงได้ทุกเมื่อ ทุกคนก็ต้องตายกันหมด
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้อยากไปเสี่ยงอันตราย แต่ถ้าเขาไม่ไป แล้วใครจะไป?
พวกไป๋หู่กับสวีลั่ง ติดตามตัวเขามานานขนาดนี้ เขาเห็นพวกนั้นเป็นพี่น้องมานานแล้ว เหมือนกับฉินหัว ดังนั้น เขาจึงไม่ต้องการให้พวกเขาไปเสี่ยงอันตราย
หากมีคนคนใดคนหนึ่งในหมู่พวกเขาต้องมาตายเพราะตัวเอง คงจะทำให้ไป๋ยี่เฟยรู้สึกผิดไปตลอด
และหากให้ลูกเรือที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านั้นไป แล้วเขามีสิทธิ์อะไรกันเล่า?
สวีลั่งเองก็ไม่ใช่คนไม่รู้ความ เขารู้ว่าที่ไป๋ยี่เฟยพูดมานั้นถูก สุดท้ายจึงได้แต่กัดฟัน ไม่พูดอะไรอีก
ส่วนลูกเรือเหล่านั้น ต่างมองหน้ากันไปมา ไม่มีใครส่งเสียง
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนของสวีลั่งกับไป๋ยี่เฟยได้ก่อตัวขึ้น
ไป๋ยี่เฟยเองก็รู้ว่า ไม่อาจฝืนใจใคร แต่ก็ไร้วิธี จึงได้แต่พูดว่า “ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันอันตราย ทำให้เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของทุกคน หากตัวผมขับเรือเป็นล่ะก็ จะต้องถามทุกคนอยู่ตรงนี้ไปทำไม?”
“แต่ผมขับเรือไม่เป็น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนที่ขับเรือเป็นตามไปกับผมด้วย”
“ผมขอสัญญาไว้ตรงนี้ คนที่ตามไปกับผม หากรอดกลับมา ผมขอมอบเงินเป็นรางวัลให้เขาสิบล้าน หากโชคร้ายพบหายนะ ผมจะชดเชยให้กับครอบครัวเขาห้าสิบล้าน”
สิ้นคำ ทุกคนต่างมองกันไป มองกันมา
เผชิญหน้ากับเงินทองมหาศาลอันแสนเย้ายวนใจ จึงรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาบ้าง
แต่นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แม้จะเสนอราคาขนาดนี้ ก็ยังคงไม่มีใครก้าวออกมา
ตอนที่ไป๋ยี่เฟยกำลังร้อนใจและสิ้นหวังอยู่นั้น กัปตันเรืออายุห้าสิบก็ถอนหายใจออกมา กล่าวว่า “ให้ผมไปกับคุณเถอะ”
“พวกเขาอายุยังน้อย ผมมันไม่เหมือนกัน ห้าสิบกว่าแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าอย่างหนักแน่น “เชิญ”
กัปตันเรือขึ้นเรืออีกครั้ง ไป๋ยี่เฟยตามไปที่ห้องโดยสารเรือกับเขา
“พลั่ก!”
สวีลั่งสับเข้าที่หลังคอของไป๋ยี่เฟย ต่อมาไป๋ยี่เฟยที่ไม่ได้ระวังตัวใดๆ ก็สลบไปทันที
“พี่ใหญ่ไป๋!” หยางหลินร้องเสียงหลง
ทุกคนที่เห็นฉากนี้ต่างชะงักนิ่งกันหมด
คนที่มีดวงทางด้านลอบโจมตีคือสวีลั่ง หากเปลี่ยนเป็นไป๋หู่ บางทีก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จ
หยางหลินแย่งไป๋ยี่เฟยที่อยู่ในมือสวีลั่งมา ถามว่า “คุณทำอะไร?”
สวีลั่งถือโอกาสมอบไป๋ยี่เฟยให้หยางหลินเสียเลย กล่าวเสียงเรียบว่า “พาเขากลับไป ฉันจะไปเอง”
“ฉันกับเขาไม่เหมือนกัน เขามีภรรยา มีครอบครัว และยังมีพี่น้องที่พร้อมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายร่วมกับเขา ส่วนฉัน ไม่มีอะไร”
จู่ๆ สวีลั่งก็ยิ้มออกมา “หากเขาตาย จะมีคนมากมายที่เสียใจ หากฉันตาย……คงไม่มีใครสนใจ”
“ดังนั้น ฉันจะไปเอง”
สิ้นคำ สวีลั่งหมุนตัวอย่างแน่วแน่ เดินเข้าไปที่ห้องโดยสารเรือ
ทว่า คำพูดของสวีลั่ง กลับทำให้หยางเฉียวสะเทือนใจ
จู่ๆ เธอก็คิดถึงตัวเองขึ้นมา คิดแล้ว หากตัวเองตายอยู่ที่เมืองหลันแล้ว เกรงว่าคงมีเพียงน้องชายที่เสียใจ ส่วนคนอื่นๆ คงไม่มีใครสนใจ
คำพูดประโยคนี้ของสวีลั่ง ไม่มีความรู้สึกอะไร แต่ที่พูดมาล้วนเป็นความจริง บางที คงมีเพียงไป๋ยี่เฟยที่เสียใจเพื่อเขา นอกจากนี้แล้ว ก็ไม่มีใครสนใจอีก
เพราะคำพูดประโยคนี้ หยางเฉียวจึงเกิดความรู้สึกร่วมกับสวีลั่ง หัวใจจึงอดที่จะเต้นรัวเร็วขึ้นมาอย่างอัตโนมัติไม่ได้
“พี่ใหญ่สวี!” จู่ๆ หยางเฉียวก็ร้องเรียกออกมา
สวีลั่งที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องโดยสารหยุดชะงัก
หยางเฉียวร้องตะโกนต่อว่า “พี่ใหญ่สวี คุณต้องรอดกลับมานะ ฉันจะรอคุณกลับมา”
ชั่วขณะนี้ หยางเฉียวกล้าหาญหาใดเปรียบ โยนความเขินอายและขี้เกรงใจเหล่านั้นทิ้งไป ร้องตะโกนออกมาอย่างกล้าหาญ
สวีลั่งได้ยินคำพูดนี้ ก็สั่นเทาขึ้นมาทันที
“ฉันจะรอคุณกลับมา”
คำพูดประโยคนี้ทำให้สวีลั่งรู้สึกไม่คุ้นชินนัก แต่ฟังแล้วกลับรู้สึกอบอุ่นถึงเพียงนั้น
ไม่เคยมีใครพูดกับเขาแบบนี้มาก่อน วันนี้ เขาได้ยินแล้ว ภายในใจมีความรู้สึกแปลกใหม่พาดผ่าน แต่ไม่ได้รู้สึกรังเกียจ กลับชอบอยู่บ้างด้วยซ้ำ
สวีลั่งค่อยๆ กระตุกมุมปากขึ้น แต่เขาไม่ได้ตอบอะไรหยางเฉียว เดินเข้าไปในห้องโดยสารเรือต่อ
หลังเข้าไปในห้องโดยสารเรือแล้ว กัปตันในวัยห้าสิบกว่าปีกำลังเริ่มเดินเครื่องเรือสำราญ พอเห็นเขา ก็ถามว่า “แฟน?”
“ไม่ใช่” สวีลั่งรู้สึกเก้อกระดากอยู่บ้าง พลางส่ายหน้าตอบ
ถึงอย่างไรก็รู้โชคชะตาของตัวเองแล้ว ตอนนี้กัปตันเรือจึงไม่ได้เคร่งเครียดเท่าไหร่นัก กลับผ่อนคลายอย่างมากแทน กระทั่งความหวาดกลัวที่มีต่อคนของไป๋ยี่เฟยก็น้อยลงบ้างแล้ว
เขายิ้มพลางกล่าวกับสวีลั่ง “เด็กสาวคนนั้นไม่เลว ผมคิดว่า หากพลาดหนนี้ไป คุณต้องเสียใจภายหลังแน่”
“เหอะ!” สวีลั่งยิ้มเยาะอย่างเหยียดหยาม ต่อมาสายตากลับมองไปที่คนคนนั้นที่อยู่นอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว
คนคนนั้นยังยืนอยู่ที่ชายฝั่งดุจเดิม สองมือกุมแน่น จ้องมองเขาอยู่ตลอด
กัปตันเรือก็ไม่ได้สนใจ ตนเองพูดเรื่องของตนเอง “ตอนที่ผมยังหนุ่ม ทุกครั้งที่ผมจะออกทะเลภรรยาที่บ้านผมก็มักจะพูดว่าฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้าน”
“ทุกครั้งที่ได้ยินประโยคนี้ ในใจผมจะรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก ความรู้สึกที่มีคนกำลังรอเรากลับบ้าน มันดีขนาดไหน”
“และไม่รู้ว่าทำไม ตอนนี้ถึงไม่พูดแล้ว อาจจะเพราะอายุมากขึ้น เลยไม่อยากพูดแล้ว โธ่!”
สวีลั่งฟังคำพูดเหล่านี้จบ ความรู้สึกภายในใจค่อยๆ ซับซ้อนขึ้นมา แต่ก็ไม่รู้ว่าซับซ้อนยังไงกันแน่
ความรู้สึกของการมีครอบครัวช่างดีจริงๆ
แต่ความรู้สึกนี้ สวีลั่งไร้หนทางจะเข้าใจมัน “ผมไม่เข้าใจ”
กัปตันเรือชะงักไป จากนั้นก็ส่ายศีรษะกล่าวว่า “คุณเองก็น่าจะอายุสามสิบแล้วสินะ? น่าจะเข้าใจแล้ว”
พูดจบ กัปตันเรือถึงกับชี้ไปที่ชายฝั่ง “ลงไปเถอะ ผมขับคนเดียวก็พอแล้ว ผมขับเรือไปเองได้”
สวีลั่งมองกัปตันเรืออย่างค่อนข้างประหลาดใจ จากนั้นก็ปฏิเสธความหวังดีของกัปตันเรือ “ไม่เป็นไร หากเป็นไป๋ยี่เฟย เขาไม่มีทางลงจากเรือแน่”
กัปตันเรือส่ายหน้า “เจ้าหนุ่ม คุณยังเด็ก หากต้องมาตายไปทั้งแบบนี้ มันน่าเสียดายมาก บางทีเด็กสาวคนนั้นอาจจะเสียใจมาก ฉันมันไม่เหมือนกัน ฉันอายุมากแล้ว และอยู่มาตั้งนานแล้ว ลูกชายก็อายุยี่สิบกว่าแล้วเช่นกัน ไม่กลัวหรอก”
“คุณไปเถอะ ต่อให้เจ้าหนุ่มคนนั้นฟื้นแล้ว ก็คงไม่ตำหนิคุณหรอก” กัปตันเรือกล่าวอย่างเร่งรัด
สวีลั่งยังคงปฏิเสธ “เมื่อก่อนเขามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เพื่อนคนนั้นเพื่อช่วยเขา เกือบเอาชีวิตไม่รอด เขารู้สึกผิดมาก เขาเป็นคนอ่อนไหวมากคนหนึ่ง”
“เขาไม่อยากให้พี่น้องของตัวเองมาตายเพื่อช่วยเขา เขาบอกว่า เขายินดีตายพร้อมกับพี่น้องของตัวเอง แต่ไม่ยินดีให้พวกเขามาตายเพื่อตัวเอง”
“ความรักอะไรพวกนั้น ผมไม่เข้าใจ แต่ว่า ผมไม่อาจทิ้งคุณไว้บนเรือคนเดียวอย่างไร้คุณธรรมได้”
สิ้นคำ รอยยิ้มของกัปตันเรือค่อยๆ เลือนหายไป
เขาไม่พูดอะไรอีก แต่เพิ่มความเร็วเรือแล่นสู่ใจกลางมหาสมุทรแทน
การเดินทางที่แสนยาวนานนี้ น่าเบื่ออยู่บ้าง กัปตันเรือจึงหาเรื่องคุย “เจ้าหนุ่มคนนั้นที่คุณพูดถึงเมื่อกี้ เป็นคนยังไงเหรอ?”
พอสวีลั่งได้ยินก็ยกมือขึ้นมาลูบกระเป๋าตัวเอง เมื่อคลำดูจึงพบว่า บุหรี่ของเขาได้ถูกไป๋ยี่เฟยขโมยไปแล้ว!
ดังนั้นจึงแค่นเสียงกล่าวว่า “เป็นคนสารเลวคนหนึ่ง!”
“หา?” กัปตันเรือไม่เข้าใจอยู่บ้าง
สวีลั่งจึงกล่าวว่า “เขาขโมยบุหรี่ของผมไป!”
กัปตันเรือได้ยินจึงอดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นก็หยิบบุหรี่ของตัวเองส่งให้สวีลั่ง
สวีลั่งยื่นมือไปรับมา “ขอบใจ”
จุดบุหรี่ให้ตัวเองเสร็จแล้ว จึงถามกัปตันเรือว่า “เอาสักมวนไหม?”
“ไม่ล่ะ” กัปตันเรือส่ายหน้าปฏิเสธ
สวีลั่งนั่งบนเก้าอี้ที่อยู่ด้านหลัง สูบบุหรี่ทีหนึ่งถึงกล่าวเสียงเรียบว่า “เขา เมื่อกี้ได้บอกแล้ว ว่าเป็นคนอ่อนไหวคนหนึ่ง ทุกเรื่องมักลังเลตัดสินใจไม่เด็ดขาด แต่ว่านะ ยังคงมีความฉลาดอยู่บ้างเล็กน้อย และความฉลาดเล็กๆ นี้ ยังขู่คนให้กลัวได้อีกด้วย”
“แต่ ผมอิจฉาเขามาก”
“เพราะอะไร?” กัปตันเรือถาม
สวีลั่งสูบเข้าไปอีกครั้ง แล้วพ่นออกมาจนสุด พลางกล่าวว่า “เขามีเป้าหมายของตัวเอง รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร แต่ว่า ผมไม่มี จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่รู้ว่า มีชีวิตอยู่เพราะอะไร?”
กัปตันเรือถามอีกครั้ง “เขาต้องการอะไร?”