ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 610
บทที่ 610
“ดังนั้นพวกรถที่ขับไปที่ท่าเรือ ไม่มีสักคันเลยที่เป็นของพวกเขา”
เต้าจ่างหรี่ตาลงเล็กน้อย “งั้น พวกเขา…”
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ก๊อกๆ…”
เต้าจ่างและ จิงหลัวทั้งสองตะลึง และจ้องหน้ากัน
ในเทียนเป่ย ทั้งสองไม่ได้มีคนรู้จักเลยและคนที่รู้จักโรงแรมนี้ก็ไม่มากด้วย จึงไม่ควรมีใครมาเคาะประตู
จากนั้นพยักหน้าให้จิงหลัวเล็กน้อย และจิงหลัวเองก็พยักหน้าเช่นกันจึงลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู
ในความคิดของพวกเขานั้น ตราบใดที่ไม่ใช่ จื่ออีกับซินชิว ไม่ว่าจะเป็นใครมาก็ตาม รู้ความลับของพวกเขา และพวกเขาทั้งสองคน ไม่คนใดคนหนึ่งก็สามารถทำให้คนคนนี้หุบปากได้ทั้งนั้น
เมื่อจิงหลัวเปิดประตู เขาก็ตะลึง
คนที่ยืนอยู่นอกประตูนั้น คือชายที่สวมหน้ากากไว้
ทั้งสองสบตากัน และในสายตาของฝ่ายตรงข้ามก็เต็มไปด้วยประหลาดใจและงุนงง
จิงหลัวถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณเป็นใคร?”
ชายสวมหน้ากากนั้นตอบอย่างเฉยชาว่า “คนที่จะส่งพวกคุณออกเดินทาง”
จิงหลัวได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม “คุณรู้หรือเปล่าว่าคนที่อยู่ในห้องนั้นคือใคร?”
“เต้าจ่าง” ชายหน้าสวมหน้ากากตอบโดยไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น
จิงหลัวหัวเราะไม่ออกขึ้นมาทันที ในเทียนเป่ย เต้าจ่างแทบจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ได้เปรียบที่ยังมีอยู่เลยนะ แต่ชายสวมหน้ากากกลับดูเหมือนไม่เกรงกลัวใดๆเลย
จากสิ่งนี้ก็สามารถแสดงให้เห็นว่า คนคนนี้จะต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
ชายสวมหน้ากากไม่อยากเสียเวลา จึงเดินไปในห้อง
จิงหลัวรีบยื่นมือและหยุดเขาไว้ทันที
การขัดขวางนี้ ทำให้ทั้งสองสู้กันโดยสิ้นเชิง
จากนั้นจิงหลัวก็กระเด็นออกไปในพริบตาเดียว
และก่อนที่จิงหลัวจะทรงตัวได้และยังไม่ได้ทันได้ตกใจ ชายสวมหน้ากากก็ปรากฏตัวต่อหน้าจิงหลัวทันทีและชกเขาไปหมัดหนึ่ง
ความเร็วของชายหน้ากากนั้นเร็วมากหากไม่มองให้ดีๆ ก็แทบจะคิดว่ามันเป็นการเทเลพอร์ตเลย
มันช่างน่าหวาดกลัวมาก ซึ่งมันเกินขอบเขตความเข้าใจของมนุษย์ไปแล้ว
เมื่อเต้าจ่างที่อยู่ในห้องเห็นฉากนี้ก็ไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขาจึงลุกขึ้น และมาถึงต่อหน้าชายสวมหน้ากากนั้นในพริบตา
เมื่อกำปั้นของชายสวมหน้ากากนั้นกำลังจะชกไปที่จิงหลัว เต้าจ่างก็เข้ามา และโจมตีหลังของชายสวมหน้ากากนั้น
ชายสวมหน้ากากต้องยอมละทิ้งการโจมตีจิงหลัว แล้วหันกลับมาเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีของเต้าจ่างจากนั้นเขาก็เอียงตัวลง และไหล่ทั้งสองข้างก็ชนเข้าที่อกของเต้าจ่าง
เต้าจ่างตกใจทันที
“เตะไม่ยั้ง…”
หลังจากการโจมตีครั้งใหญ่เต้าจ่างก็ไม่สามารถทรงตัวได้และถอยหลังไปหลายก้าว
จิงหลัวถือโอกาสยืนขึ้น และหลีกเลี่ยงการโจมตีของชายสวมหน้ากาก
แม้แต่เต้าจ่าง ตอนนี้ก็ไม่สามารถรักษาสีหน้าที่เฉยเมยของเขาได้ เขาเบิกตากว้างและจ้องไปที่ชายสวมหน้ากากคนนั้น
แม้จะเพิ่งเริ่มลงมือเมื่อสักครู่ แต่มันก็เพียงพอแล้ว
ความแข็งแกร่งของชายสวมหน้ากากแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทั้งสองคน
แต่มันก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ชายที่อยู่ตรงหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือเสียง ล้วนไม่ใช่ จื่ออีและ ซินชิวและนอกเหนือจากสองคนนี้แล้ว จิงหลัวและเต้าจ่าง ก็ไม่อาจรู้เลยว่า ยังมีคนที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา!
คนคนนี้ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา และก็ไม่ใช่แค่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยเท่านั้น เห็นท่าทางที่ผ่อนคลายของเขาแล้วก็จะสามารถรู้ได้
จิงหลัวพูดอย่างไม่น่าเชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้ทำไมในเทียนเป่ยมียอดฝีมือแบบนี้ได้!”
ต่อหน้าชายคนนี้พวกเขาก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะโจมตี แต่กลับยืนอยู่ที่นั่นอย่างสบายๆและพูดอย่างเฉยชาว่า “ออกไปจากที่นี่สะ ไม่เช่นนั้นฉันก็จะฆ่าพวกคุณทิ้งไป”
แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะสงบมาก แต่สิ่งที่ทำให้พวกนั้นแฝงไปด้วยการฆ่า ทำให้ทั้งเต้าจ่างและจิงหลัวต่างก็พากันตกใจซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกอย่างเดียวกับในตอนที่ไป๋ยี่เฟยเผชิญหน้ากับเต้าจ่าง
เต้าจ่างจ้องไปที่ชายสวมหน้ากากนั้นและถามว่า “จะสามารถบอกฐานะของคุณกับเราได้ไหม?”
ชายสวมหน้ากากนั้นไม่ได้ตอบกลับ เพียงแต่หันกลับมา และเดินออกไปข้างนอก พร้อมกับพูดว่า “ให้เวลาพวกคุณ 1 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ออกจากเทียนเป่ยล่ะก็ อย่าออกจากเมืองเทียนเป่ยอีกเลย
เมื่อชายสวมหน้ากากจากไปประตูก็ปิดลงอีกครั้งและบรรยากาศในห้องก็เริ่มรุนแรงขึ้น
เต้าจ่างขมวดคิ้วอย่างหาได้ยาก สุดท้ายจึงพูดว่า “ออกไปจากที่นี่ก่อน”
จิงหลัวอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจออกมา “เทียนเป่ยนั่นก็ยังซ่อนเสือเร้นมังกรจริงๆ! ถึงกับมีบุคคลที่เก่งกาจเช่นนี้! ”
เต้าจ่างมองไปที่เขา และถามอย่างกะทันหันว่า “ฉินหัวคนนั้นไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาลเหรอ?”
หลังจากพูดจบ จิงหลัวก็เข้าใจในความหมายของเขาทันที “เขาอยู่ที่โรงพยาบาลแน่นอน กระดูกสันหลังของเขาได้รับบาดเจ็บ และเละจนกลายเป็นผักไปแล้วไม่มีทางที่จะลุกขึ้นยืนได้อีก”
“นอกจากนี้ ผมขอยอมรับว่า ผมกับฉินหัวเคยประมือกันมาก่อน เขาเก่งกว่าผมจริงๆ แต่ต่อให้ฉินหัวจะลุกขึ้นยืนได้ คนคนนี้ก็คงจะไม่ใช่เขาอีกต่อไป”
เต้าจ่างนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ออกไปก่อนเถอะ”
……
ในขณะเดียวกันนั้น ท่าเรือเทียนเป่ยก็มีรถคันหนึ่งที่ออกจากโรงพยาบาลโว่หลงจอดลง
เมื่อเพิ่งจะจอดลงก็มีพนักงานรักษาความปลอดภัยมาขวางพวกเขาไว้
“ที่นี่จอดรถไม่ได้รีบขับไปเร็วเข้า”
คนขับรถเปิดหน้าต่างรถแล้วสูบบุหรี่ไปม้วนหนึ่งพร้อมกับยื่นให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัย “พี่ชาย ช่วยรองรับหน่อยสิครับ ผมมารับคน”
“ไม่ได้!” พนักงานรักษาความปลอดภัยปฏิเสธบุหรี่ของคนขับ และพูดอย่างเคร่งครึ้มว่า “รีบออกไปจากที่นี่ วันนี้ผู้นำของเรากำลังจะมา”
คนขับเห็นดังนั้นก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่สตาร์ทรถแล้วกลับรถจากไป
เมื่อพวกเขาจากไป พนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นก็หยิบอินเตอร์โฟนขึ้นมา และกระซิบว่า “ไม่พบเป้าหมาย”
ฉากนี้โดนหลายคนของทัวร์กลุ่มนั้นเห็นเข้า
พวกเขาสวมหมวกกะโล่ และยืนอยู่ในรถทัวร์ พร้อมกับไกด์นำเที่ยวของพวกเขาเป็นผู้หญิงอายุ 20 ปีกว่า ซึ่งในมือของหล่อนถือธงเล็กๆ และลำโพงเล็กๆ ไว้
“ไม่นานหลังจากที่เรือมาถึงพวกเขาก็เข้าแถวและขึ้นเรือ โดยป้ายที่แจกให้พวกคุณนั้นเป็นตั๋วเรือนะคะ อย่าทำหายนะเด็ดขาด ถ้าทำหายก็ต้องไปซื้อใหม่เองค่ะ”
ไม่ว่าไกด์จะพูดอะไรไป คนเมื่อครู่พวกนั้นกลับเอาแต่มองไปรอบๆ
คนที่สวมหมวกกะโล่ก็คือจางหัวปินนั่งเอง เขากระซิบกับไป๋ยี่เฟยว่า “ที่จริงแล้วพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ท่าเรือนั้นเป็นคนของเต้าจ่างจริงๆ”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “เป้าหมายของเต้าจ่างก็คือรถของพวกเราที่มุ่งหน้าไปที่เมืองอื่น”
“เขาคิดว่าเราจะขึ้นเรือในเมืองอื่น แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่า เราจะไม่ขึ้นเรือที่เทียนเป่ย ยังใช้วิธีนี้มาคิดอีกเหรอ” จางหัวปินหัวเราะพร้อมกับพูดออกมา
ไป๋ยี่เฟยได้ยินดังนั้นก็หัวเราะตามไปเช่นกัน
ในขณะนั้นเอง เขาก็รู้สึกว่าการมีจางหัวปินอยู่ข้างๆช่างเป็นอะไรที่โชคดีจริงๆ!
ไป๋ยี่เฟยก็ไม่ได้ถนัดในเรื่องการทำลายสถานการณ์ และเรื่องแผนการ ส่วนจางหัวปินถนัดในเรื่องการรู้สถานการณ์ของศัตรู วิเคราะห์สถานการณ์ คู่หูอย่างพวกเขาสองคนจึงไม่ได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้น
จางหัวปินยิ้มและชื่นชมว่า “พูดตามจริงนะ นายนี่เก่งมากเลยนะ” สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดพวกเขาคงคิดไม่ถึงเลยว่าเราจะขึ้นเรือในเทียนเป่ยอย่างนี้”
เมื่อไป๋ยี่เฟยได้ยินคำพูดนั้นเขาก็เป่าหูว่า “คุณสามารถเรียนรู้กลยุทธ์ของเต้าจ่าง คุณเก่งกว่าอีก”
หลังจากพูดจบ ทั้งสองก็มองหน้ากันและยิ้ม
ในขณะนั้นเอง ฉีฉีที่อยู่ข้างๆพวกเขามาโดยตลอดก็พูดด้วยความรังเกียจว่า “ต่ำช้าไร้ยางอาย! น่าขยะแขยง!”
ฉีฉีไม่คุ้นเคยกับพฤติกรรมของพวกเขา หล่อนจึงพูดประชดประชันอย่างนั้นไป
และ ฉีฉีเองก็อยู่ในสภาพร่างกายที่ดีมากแล้ว และอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ก็หายเป็นปกติ แต่หล่อนไม่มีเรี่ยวแรงเท่านั้น
ฉีฉีรู้ดีว่า ในบรรดายาที่หล่อนมักจะทานนั้น เป็นยารักษาโรคที่ทำให้หล่อนหมดเรี่ยวแรง
และหล่อนก็รู้ด้วยว่า เพราะทองคำพวกนั้น ไป๋ยี่เฟยจะไม่ยอมปล่อยหล่อนไปอย่างแน่นอน ดังนั้นหล่อนจึงไม่สามารถตอบโต้และต่อต้านได้
หลังจากไปถึงชายหาด เฉินห้าวก็จากไปอย่างเงียบๆ แล้ววิ่งไปที่ข้างๆเรือหาปลาพร้อมกับพูดอะไรบางอย่างกับผู้คนที่นั่น และไม่นานก็กลับไปมา
“เจรจาเสร็จแล้ว และน้ำมันบนเรือก็เพียงพอแล้ว เจ้าของเรือพูดว่า เดิมทีพวกเขาคิดว่าจะออกทะเลในวันพรุ่งนี้ แต่ลูกเรือไม่อยู่จึงรออยู่ที่ท่าเรือ”