ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 612
บทที่ 612
“แต่ว่า ไป๋ยี่เฟยไม่เชื่อใจพวกเรา”
ไป๋หู่ได้ยิน ก็พูดว่า “พวกเราไม่เหมือนกัน”
สวีลั่งถาม “ไม่เหมือนตรงไหน?”
ไป๋หู่พูดจริงจัง “ถ้าวันหนึ่งจำเป็นต้องเลือก ฉันจะ…..”
“จะทำอะไร?” เฉินอ้าวเจียวกับสวีลั่งมองไป๋หู่อย่างสงสัย
เวลานี้ ประตูถูกเปิดออก หยางเฉียวจูงมือหลี่โย่วเซิงเดินเข้ามา
พวกเขาเปลี่ยนเสื้อแล้ว หยางเฉียวแต่งตัวเรียบร้อย เป็นชุดออกกำลังกายสีขาว มีความสวยงามสดใสคนเด็กผู้หญิงวัยนี้ควรมี
หลี่โย่วเซิงกับหยางเฉียวใส่ชุดแม่ลูก อาบน้ำสะอาดแล้วยิ่งดูหล่อเหลา ตอนนี้ดูสดชื่นขึ้นเยอะ
หลี่โย่วเซิงมองสวีลั่งวิ่งเข้าไปหา หมุนตัวต่อหน้าสวีลั่ง “พ่อ เป็นยังไงบ้าง?”
เขาไม่ค่อยกลัวคนแปลกหน้า ผ่านไปแค่วันเดียว ก็สนิทสนมกับพวกเขาแล้ว และยอมรับสถานะใหม่ของตัวเอง
สวีลั่งพยักหน้า “หล่อ”
หลี่โย่วเซิงหัวเราะเหอะเหอะ “แม่ซื้อให้ผม ยังซื้ออีกหลายชุดเลย ผมไปลองให้พ่อดูนะครับ”
พูดจบ ก็วิ่งเข้าไปในบ้าน
หยางเฉียวหน้าแดง ทักทายไป๋หู่กับเฉินอ้าวเจียวก็กลับเข้าไปในบ้าน
พอคนไปแล้ว ไป๋หู่กับเฉินอ้าวเจียวก็หันไปมองสวีลั่ง
บอกว่าไม่ตกใจนั้นโกหก
สวีลั่งเป็นคนยังไง พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้ ทำไมถึงมีลูกชายแล้ว? ยังมีภรรยาอีก?
โดนพวกเขามองแบบนี้ สวีลั่งก็ทนไม่ไหว หูแดงก่ำ พูดเสียงเรียบ “ไม่ใช่อย่างที่พวกนายคิด”
“อย่างไหน? นายรู้ว่าพวกเราคิดยังไง?” เฉินอ้าวเจียวมองเขาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ไป๋หู่พยักหน้า
สวีลั่งเกาหัวด้วยความเขิน แล้วพูดอธิบาย “เด็กไม่รู้เรื่องเรียกไปเลื่อย ฉันกับหยางเฉียวไม่ได้มีอะไร”
ไป๋หู่เพิ่งรู้จักชื่อหยางเฉียว “ที่แท้ชื่อหยางเฉียวหรือเนี่ย”
เฉินอ้าวเจียวพยักหน้า “ชื่อเพราะดี”
สวีลั่งเริ่มโมโห “พวกนายจับใจความที่พูดเป็นไหม? ฉันพูดเรื่องนี้เหรอ?”
เฉินอ้าวเจียวเห็นแล้วก็โบกมือ “พวกเราได้ยินแล้ว พวกนายไม่มีความสัมพันธ์อะไร”
สวีลั่งถึงรู้สึกโล่งใจ อธิบายชัดเจนแล้ว ไม่อย่างนั้นก็ต้องโดนล้อแน่
เวลาเดียวกัน หยางเฉียงยื่นหัวออกมาจากประตู พูดกับไป๋หู่และเฉินอ้าวเจียวว่า “คืนนี้อยู่กินข้าวด้วยกันนะคะ ฉันทำกับข้าวเผื่อ”
ไป๋หู่กับเฉินอ้าวเจียวตอบพร้อมกันว่า “ครับ พี่สะใภ้”
“พี่สะใภ้” คำนี้ทำให้หยางเฉียวหน้าแดง กลับเข้าไปอย่างเขินอาย
สวีลั่ง “……”
เฉินอ้าวเจียวตบก้นตัวเอง ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันต้องไปให้ของขวัญลูกขายคนใหม่แล้ว”
ไป๋หู่นึกขึ้นได้ พยักหน้ายืนขึ้น “ถ้าอย่างนั้นฉันให้พี่สะใภ้…..”
สวีลั่งได้ยินก็ขึงตาใส่ ไป๋หู่รีบแก้คำพูด “ของลูกชาย ให้ขอขวัญการพบกันครั้งแรก”
ไป๋หู่กับเฉินอ้าวเจียวพูดไปก็เดินเข้าไปห้องรับแขก สวีลั่งได้แต่นั่งอยู่ที่เดิม มองเขาสองคน
“โถ พี่สะใภ้น่าเสียดายจัง อยู่กับคนหน้าตาขี้เหร่แบบนี้”
“ชีวิตดีจริงๆ ผมเริ่มอิจฉามันแล้ว”
เสียงของทั้งสองคนไม่ได้ดังมาก แต่ระยะไม่ห่างมาก สวีลั่งก็ต้องได้ยินอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นโมโหจนอยากวิ่งเข้าไปแทงคนละครั้ง
สวีลั่งคิด สองคนนี้อธิบายยังไงก็อธิบายไม่ชัดเจน แน่นอน อาจเป็นเพราะว่าตัวเองจัดการเรื่องแบบนี้ไม่เป็น อธิบายแล้วก็เหมือนไม่ได้อธิบาย
เขายังคิด ตัวเองไม่ชอบผู้หญิงอ่อนแอแบบนี้หรอก
ผม…..
“อ้าก”
เสียงกรีดร้องของหยางเฉียวดังมา
ไป๋หู่กับเฉินอ้าวเจียวเดินเข้าไปในห้องรับแขก ได้ยินเสียงร้อง ก็รู้สึกตกใจ
ขณะที่พวกเขากำลังตกใจ สวีลั่งก็วิ่งผ่านพวกเขาเข้าไปในครัว เหลือเพียงเงาที่วิ่งผ่าน
สวีลั่งเข้าไปแล้วก็เห็นหยางเฉียวล้มอยู่กับพื้น กับข้าวก็สาดเต็มพื้น
หยางเฉียวเห็นสวีลั่งแล้ว อยากจับตู้แล้วลุกขึ้นเอง “ขอโทษ ขอโทษค่ะ ฉัน…..”
จากนั้นใช้แรงแล้ว ก็ล้มลงไปอีก
สวีลั่งรีบพยุงไว้ “อย่าขยับ”
ย่อตัวลง สวีลั่งพูดเสียงเรียบ “ผมดูหน่อย”
สวีลั่งเห็นข้อเท้าของหยางเฉียวบวมขึ้นเป็นปุ่ม สีหน้าหดหู่ลง รู้สึกเป็นห่วง มือก็ยิ่งระวังขึ้น ถอดรองเท้าของเธอออก แล้วดูอีกรอบ
ถึงหยางเฉียวจะเขินจนหน้าแดง แต่ที่มากกว่านั้นคือความเจ็บที่ขา
ไป๋หู่กับเฉินอ้าวเจียวก็เดินเข้ามา ดูไปรอบหนึ่ง เฉินอ้าวเจียวพูดว่า “น่าจะขาพลิก ไม่เป็นไรมาก สวีลั่งรักษาได้”
สวีลั่งเป็นนักฆ่า ต้องรักษาได้แน่นอน
สวีลั่งพูดกับหยางเฉียวเสียงเบา “ทนหน่อยนะ”
หยางเฉียวกัดฟันพยักหน้า แอบมองไปที่สวีลั่ง
สวีลั่งมือข้างหนึ่งกดขาของหยางเฉียวไว้ อีกข้างหนึ่งจับเท้าของเธอไว้ หมุนเบาๆ
แต่เพียงไม่กี่ครั้ง สีหน้าสวีลั่งก็เปลี่ยนทันที ในตามีความเย็นชา สีหน้าซีดขาว
เพราะว่าสวีลั่งเห็นฝ่าเท้าของหยางเฉียว มีไฝสองเม็ด
……
การเดินเรือสองวันหนึ่งคืน พวกเขาก็มองเห็นเกาะได้จากที่ไกลได้แล้ว
หลันเต่า เกาะที่ไม่เคยปรากฏอยู่ในแผนที่ใดๆเลย
ในเมืองเทียนเป่ย ไป๋ยี่เฟยค้นหาข้อมูลมากมาย แต่หาข้อมูลของหลันเต่าไม่เจอเลย ไม่มีร่องรอยแม้แต่น้อย
แต่ตั้งแต่ไป๋ยี่เฟยพบว่าฉีฉีอาจเป็นน้องสาวแท้ๆของสวีลั่งแล้ว ก็ไม่ได้บังคับอะไรฉีฉีอีก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
เขาไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงกับเธอดี
คืนนั้น ไป๋ยี่เฟยถามฉีฉี “ถ้าวันหนึ่ง คุณรู้ว่าพี่ชายกับครอบครัวคุณมีปัญหากัน คุณจะเลือกใคร?”
ฉีฉีไม่ได้ตอบไป๋ยี่เฟย
เพราะฝั่งหนึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของตัวเอง อีกฝั่งเป็นคนที่เลี้ยงเธอมาจนโต ไม่ว่าจะเลือกใครก็ต้องเจ็บปวด
เพราะฉะนั้นไป๋ยี่เฟยจึงไม่ได้ถามต่อ
บนหัวเรือ ไป๋ยี่เฟยมองไปที่ทะเล ถอนหายใจไม่รู้กี่ครั้ง
“เฮ้อ…..”
จางหัวปินเทน้ำชาให้ไป๋ยี่เฟยแก้วหนึ่ง ยิ้มพูด “มีคนเคยบอกนายไหม ว่านายคิดมากเกินไป?”
“อะไร?” ไป๋ยี่เฟยหันไปมองจางหัวปิน
จางหัวปินยิ้มจางๆ ชี้ไปที่ทะเล “นายดูที่ทะเล ผิวน้ำสงบเรียบไร้คลื่น”
“ความจริงก็รู้กันดี ภายใต้ความเงียบสงบนี้ มีคลื่นแรงแอบซ่อนอยู่”
“ในทะเล ปกติก็ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ปลาเล็กกินกุ้งเล็ก พวกมันไม่ไปคิดเรื่องอื่น ขอแค่อิ่มท้องก็พอ”
“นี่เป็นกฎความอยู่รอดของธรรมชาติอยู่แล้ว หลีกเลี่ยงศัตรูตัวเอง ไปกินอาหารของตัวเอง”
ไป๋ยี่เฟยมองดูเขาอย่างสงสัย “พูดให้ชัดเจนหน่อยได้ไหม?”
“ถึงแม้คนกับปลาไม่เหมือนกัน แต่หลักการมันเหมือนกัน ล้วนอยากหลีกเลี่ยงสิ่งที่แข็งแกร่งกว่าตัวเอง และถ้าดีที่สุดก็คือให้สิ่งที่แข็งแกร่งกว่าเราหายไป”
“สำหรับพวกเราแล้ว สิ่งที่แข็งแกร่งกว่าพวกเรา ก็คือคนและเรื่องที่พวกเราจัดการไม่ได้ แน่นอนรวมทั้งการเลือกด้วย”
“มัวแต่เครียดอยู่ตรงนี้ คิดไม่ตก สู้หลีกเลี่ยงดีกว่า ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
“ฉันช่วยนายปิดความลับนี้”
ไป๋ยี่เฟยมองดูทะเลอย่างสงบ ในใจเหมือนมีคลื่นซัดไปมา
เขาเข้าใจความหมายของจางหัวปิน
ฉีฉีเป็นปัญหาที่แก้ไม่ได้สำหรับเขา เขาไม่สามารถจัดการได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือหลีกเลี่ยง ให้เธอหายไป เหมือนไม่เคยมีตัวตน